ตอนที่แล้วบทที่ 14: ตำหนักอวี๋ชิง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 16: ไปเรียนที่ตำหนัก

บทที่ 15: วิญญาณโสม


ในขณะนี้จู่ ๆ ก็มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของมู่ไป๋ไป่ที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของมู่เทียนฉง เธอหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วส่งให้ท่านพ่อขี้โมโหพร้อมพูดขึ้นว่า

“ท่านพ่อ ชาที่ท่านแม่ชงอร่อยมากเลยเพคะ”

คำพูดส่งเสริมนั้นทำให้ผู้เป็นพ่อหยิบถ้วยชาอุ่น ๆ ขึ้นมาจิบเบา ๆ

ภายใต้สายตาที่คาดหวังของลูกสาวตัวน้อย เขาทำหน้าประเมิน ขณะเอ่ยว่า “ไม่เลว”

“ท่านแม่ ท่านอยู่คุยกับท่านพ่อไปก่อนนะเพคะ ข้าจะไปดูดอกไม้ตรงนู้นหน่อย”

มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าแม้ตอนนี้อารมณ์ของท่านแม่จะยังไม่ค่อยดีนัก แต่รูปร่างหน้าตาของนางก็นับได้ว่าโดดเด่นท่ามกลางเหล่าพระสนมของท่านพ่อขี้หงุดหงิดอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ซูหว่านก็ยังเป็นคนที่รู้ความ ดังนั้นเธอจึงวางใจที่จะปล่อยให้ท่านแม่ได้มีโอกาสอยู่ตามลำพังกับท่านพ่อ และพยายามเอาชนะใจเขาให้ได้

พูดจบแล้วมู่ไป๋ไป่ก็กระโดดลงจากตักมู่เทียนฉงก่อนจะวิ่งไปดูดอกไม้ที่ถูกดูแลรักษาอย่างดีริมหน้าต่าง

ดอกไม้ที่ยังคงเบ่งบานในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้นได้ส่งกลิ่นหอมออกมาทั่วบริเวณ

ตามปกติแล้วในตำหนักนี้บริเวณหน้าต่างจะถูกตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีสัน ดอกไม้ทุกต้นและใบไม้ทุกใบนั้นได้รับการดูแลอย่างทะนุถนอม

นี่บ่งบอกได้ว่าซูหว่านลงทุนลงแรงกับเรื่องนี้ไปมาก

หลังจากคนตัวเล็กเดินสำรวจไปได้ไม่กี่ก้าว สายตาของเธอก็ไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง

โสมเหรอ?

โอ้พระเจ้า ท่านแม่ผู้น่าสงสารคนนี้ปลูกโสมในกระถางงั้นเหรอ?

มู่ไป๋ไป่หันกลับไปมองผู้เป็นแม่และเห็นดวงตาของอีกฝ่ายกำลังจับจ้องมาที่เธอด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก

เด็กหญิงกลืนน้ำลายลงคอ ดูเหมือนว่าแม่คนนี้ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เธอคิด

สภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตของโสมนั้นมีข้อจำกัดมากมายและใช้เวลานานในการเพาะเลี้ยง นอกจากนี้โสมยังมีคุณสมบัติพิเศษ ดังนั้นมันจึงเป็นสมุนไพรที่มีค่าอย่างยิ่ง

จากนั้นคนตัวเล็กก็หันไปมองต้นโสมให้ดีอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าอีกไม่นานโสมต้นนี้คงจะมีหัวใหญ่เท่ากับแครอท

“เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?”

อะไร เสียงมาจากไหน?

มู่ไป๋ไป่รู้สึกสับสนขณะกวาดตามองไปรอบ ๆ

ตอนนี้ซูหว่านกับมู่เทียนฉงกำลังคุยกัน และนางกำนัลประจำตำหนักที่รออยู่ข้าง ๆ ต่างพากันก้มหน้านิ่ง ส่วนอันกงกงไม่ได้อยู่ในตำหนักนี้ด้วย ดังนั้นในเวลานี้จึงไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ

จากนั้นเด็กหญิงก็หันไปมองกระถางที่ปลูกต้นโสมอีกครั้ง

“ยังจะมองอยู่อีก! หากเจ้ายังมองข้าอีก ข้าจะกินเจ้าซะ!”

ในตอนแรกเธอยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าโสมต้นนี้กำลังคุยกับเธออยู่

เธอคิดว่าตัวเองจะฟังภาษาสัตว์ออกเพียงอย่างเดียว เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคุยกับต้นไม้รู้เรื่องด้วย?

หรือว่านี่คือวิญญาณโสม?

เคยมีตำนานเล่าว่าต้นโสมนั้นสามารถแปลงร่างกลายเป็นวิญญาณและพูดได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นพืชไม่ใช่หรือ ทำไมเธอถึงได้ยินเสียงที่มันพูดล่ะ?

“จะกินข้าอย่างนั้นหรือ เอาสิ ข้าจะเด็ดใบของเจ้าออกให้หมด ปล่อยให้เจ้าถูกลมเย็นพัดอยู่ตลอดทั้งวัน”

มู่ไป๋ไป่พูดยั่วโมโหอีกฝ่ายด้วยปากเล็ก ๆ นั้น

และนั่นก็ทำให้ใบโสมที่หนาแน่นสั่นเล็กน้อยก่อนที่มันจะหดลงด้วยความกลัว

“แม่ของเจ้าคอยฟูมฟักเลี้ยงดูข้ามากว่า 5 ปี เจ้าอย่าได้คิดทำอะไรตามอำเภอใจ หากเจ้าทำอะไรข้า แม่ของเจ้าเอาเจ้าตายแน่”

ต้นโสมรู้ว่าตัวมันกำลังตกอยู่ในอันตราย

“เช่นนั้นเจ้าก็แก่กว่าข้าน่ะสิ ทำไมเจ้าถึงยังเล็กแค่นี้เอง?” มู่ไป๋ไป่อุทานเสียงสูง

ต้นโสมตกตะลึงกับคำพูดของอีกฝ่าย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะพัฒนาวิญญาณของตัวเอง แต่กลับถูกคนอื่นดูหมิ่นเสียอย่างนั้น

ถ้ามันขยับได้ มันก็อยากจะเหวี่ยงกิ่งก้านของตัวเองใส่หน้าเจ้าตัวเล็กนี่สัก 2-3 ทีให้สาแก่ใจ!

“ตัวข้านั้นล้ำค่ายิ่งนัก เจ้าจงอยู่ให้ห่างจากข้า และสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการเจริญเติบโตของโสมก็คือความสงบ เจ้าอย่าได้มารบกวนข้า”

มู่ไป๋ไป่เอียงหัวเล็ก ๆ พลางถามอย่างสงสัยว่า “โสมอย่างเจ้ามีความพิเศษอะไรมากกว่าโสมทั่วไปอย่างนั้นหรือ?”

ใบโสมสั่นเล็กน้อยอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนว่ามันจะมีพลังมากกว่าเมื่อครู่

จากนั้นมันก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “ตัวข้านั้นสามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด หลังจากบำเพ็ญตบะนานกว่า 10 ปี ข้าจะมีความสามารถที่จะพาคนตายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ เจ้าเคยพบเห็นโสมที่ทรงพลังเช่นนี้มาก่อนหรือไม่ ทุกคนคิดว่าข้าเป็นเพียงสมุนไพรล้ำค่าที่ช่วยบำรุงร่างกายเพียงเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าข้าทำอะไรได้มากกว่านั้นเยอะ!”

“ทรงพลังขนาดนั้นเชียวหรือ?”

มู่ไป๋ไป่ยู่ปากเข้าหากันเพื่อเป่าลมเข้าใส่ต้นโสม ทำให้ใบไม้สั่นไหวแล้วต้นโสมดูเหมือนจะอับอาย มันจึงตะโกนขึ้นมาเสียงดุดัน

“นี่เจ้า!”

ก่อนที่มันจะทันได้พูดอะไรต่อ เด็กหญิงก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นไปคว้าใบสีเขียวเอาไว้เต็มมือ

เอ๊ะ?

ต้นโสมรู้สึกว่าส่วนใบของมันนั้นผ่อนคลายมากราวกับถูกรดด้วยน้ำทิพย์

ในไม่ช้าความรู้สึกดังกล่าวก็แพร่กระจายไปยังกิ่งก้านลงสู่ราก แม้แต่วิญญาณโสมก็รู้สึกเบาสบายมาก

เพียงแค่สัมผัสนางมันก็ช่วยให้ตัวข้าเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ?

ต้นโสมตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เจ้าบรรลุเป้าหมายโดยเร็วที่สุด มันคงจะยอดเยี่ยมมากหากเจ้าสามารถบำเพ็ญตบะจนแก่กล้าและกลายเป็นเซียนได้” มู่ไป๋ไป่เหยียดยิ้มร้าย

มันน่าจะเป็นความคิดที่ดีไม่น้อยหากเก็บต้นโสมนี้ไว้ข้างกายแล้วรอคอยให้มันพัฒนาตัวเอง พอถึงเวลาที่เหมาะสมก็นำมันมาใช้งาน

ต้นโสมคิดอยู่ครู่หนึ่ง และมันก็ตระหนักได้ว่าตัวมันนั้นสามารถบำเพ็ญตบะจนถึงขั้นบรรลุเป็นเซียน ทว่าการบรรลุเป็นเซียนมันไม่ต่างจากนิทานหลอกเด็กเลยสักนิด

แต่ต้นโสมไม่รู้ความคิดชั่วร้ายในใจของคนตัวเล็ก มันจึงพูดขึ้นอย่างสุภาพว่า “ข้าจะยอมรับคำอวยพรของเจ้าก็ได้ แต่เจ้าช่วยสัมผัสข้าอีกครั้งได้หรือไม่?”

“...” คำขอที่แปลกประหลาดทำให้มู่ไป๋ไป่ถึงกับพูดไม่ออก

คนตัวเล็กได้แต่จับจ้องต้นโสมเงียบ ๆ ไม่ยอมเคลื่อนไหว

นี่มันเป็นคำขอประเภทไหนกัน?

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองลอยขึ้นจากพื้นดิน ซึ่งซูหว่านมาอุ้มเธอออกไป

“เจ้าเด็กโง่ เจ้ามัวแต่จ้องมองกระถางต้นหญ้าทำไม ไปกินข้าวกันเถอะ”

มู่ไป๋ไป่เม้มปากพร้อมกับเถียงในใจว่า

นั่นไม่ใช่ต้นหญ้าสักหน่อย!

จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองซูหว่านอีกครั้งและเข้าใจได้ทันที

ในขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่ได้ยินสิ่งที่ต้นโสมพูดได้ไม่ชัดเจนนักแม้ว่ามันจะอยู่ห่างจากเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว ทำให้เธอได้รู้ว่าต้นโสมนี้ยังคงเป็นวิญญาณโสมที่มีระดับพลังค่อนข้างต่ำ

คนตัวเล็กยักไหล่ก่อนจะมองดูโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารอันโอชะที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว หากไม่นับรวมการจัดจานที่งดงาม เพียงแค่เห็นสีสันและได้กลิ่นหอมของพวกมันเพียงเท่านี้ก็ดึงดูดใจเธอได้มากแล้ว

แต่ไม่ว่าเธอจะหิวมากแค่ไหน แขนเล็ก ๆ ของเธอก็ยังขยับได้ไม่สะดวกนัก

ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถยกมือขึ้นได้บ้างแล้ว แต่การคีบอาหารก็ยังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ดี

นั่นทำให้คนตัวเล็กได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ มองผู้เป็นแม่ตาละห้อย

ทางด้านซูหว่านคีบเนื้อและผักใส่ชามของลูกสาว แล้วกำลังจะป้อนข้าวให้กับเด็กน้อย “เดี๋ยวแม่ป้อนข้าวให้เจ้าก่อน หลังจากเจ้ากินอิ่มแล้ว แม่ค่อยกิน”

“เจ้ากินข้าวก่อนเถอะ เดี๋ยวเราป้อนนางเอง”

มู่เทียนฉงคว้าถ้วยเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้วใช้ทัพพีตักซุปผัก จากนั้นก็ตักข้าวใส่ชามเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งข้างมู่ไป๋ไป่

ซูหว่านถึงขั้นตกตะลึงกับการกระทำของอีกฝ่าย ก่อนหน้านี้นางคิดว่าเขาเพียงแค่อารมณ์ดีจึงอุ้มมู่ไป๋ไป่ไว้ในอ้อมแขน แต่ตอนนี้เขากลับขันอาสาจะป้อนข้าวให้กับนางด้วยตัวเอง…

มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวจึงหยิกขาตัวเองเบา ๆ แล้วนางก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองไม่ได้กำลังฝันไป

ทางด้านอันกงกงที่เฝ้าดูการกระทำของฮ่องเต้มาทั้งวันเริ่มเคยชินจนไม่รู้สึกตกใจอีกแล้ว ในขณะที่หว่านกุ้ยเหรินกำลังตกตะลึง แต่เขาไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาอีก

“ท่านพ่อ ท่านดีกับไป๋ไป่มาก”

มู่ไป๋ไป่ที่เคี้ยวข้าวเต็มปากพูดขึ้นมาเป็นระยะ ๆ โดยที่ปากเล็ก ๆ นั้นเอ่ยแต่คำหวานออกมา

“ถ้าเจ้าชอบ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะป้อนข้าวเจ้าเอง”

ขณะนี้สีหน้าของมู่เทียนฉงผ่อนคลายมาก เขากำลังมองแก้มของคนตัวเล็กที่มีเศษข้าวติดอยู่ และแก้มที่เคี้ยวตุ้ย ๆ นั้นทำให้นางดูมีน้ำมีนวลมากขึ้น ซึ่งเป็นภาพที่ดูน่ารักมาก

ถึงแม้ว่าเขาจะมีกิจธุระให้ต้องสะสางมากมายในแต่ละวัน แต่เขาก็อยากใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ป้อนข้าวให้กับเจ้าตัวน้อยคนนี้ด้วยเช่นกัน

หลังจากที่เขาป้อนข้าวหนึ่งคำใหญ่ให้กับมู่ไป๋ไป่ เขาก็คีบเนื้อสัตว์ไปวางในชามของซูหว่าน

“พรุ่งนี้เจ้าพาไป๋ไป่ย้ายไปอยู่ที่ตำหนักอิ๋งชุนเถอะ ตำหนักนั้นตั้งอยู่ใกล้ตำหนักของเรามากกว่า ในอนาคตเราจะได้มาดูแลไป๋ไป่ได้ง่ายขึ้น”

เด็กหญิงเอียงศีรษะพลางคิดว่าจากคำพูดของพ่อขี้โมโห เธอสามารถตีความได้ว่าหลังจากนี้เธอไม่จำเป็นจะต้องกลับไปนอนตำหนักทรุดโทรมหลังนั้นอีกแล้วใช่หรือไม่?

แล้วเธอก็ต้องคิดอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าแมวส้มตัวอ้วนตัวนั้นดี? เธอเองก็ยังอยากไปให้เห็นกับตาว่าลี่เฟยมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่

เมื่อซูหว่านได้ยินดังนั้น นางก็รู้สึกดีใจมาก นางรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และลงไปนั่งคุกเข่าเพื่อขอบคุณอีกฝ่าย “หม่อมฉันขอขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าบาทเพคะ”

ในเวลาเดียวกัน นางกำนัลทั้ง 4 ของตำหนักอวี๋ชิงที่อยู่ด้านข้างต่างรู้สึกตื่นเต้นมากในขณะที่พวกนางมองหว่านกุ้ยเหรินด้วยความยินดีและมีความสุขกับนาง

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: คุยกับสัตว์ได้ไม่พอ ยังคุยกับต้นไม้ได้อีก!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด