บทที่ 15: วิญญาณโสม
ในขณะนี้จู่ ๆ ก็มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของมู่ไป๋ไป่ที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของมู่เทียนฉง เธอหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วส่งให้ท่านพ่อขี้โมโหพร้อมพูดขึ้นว่า
“ท่านพ่อ ชาที่ท่านแม่ชงอร่อยมากเลยเพคะ”
คำพูดส่งเสริมนั้นทำให้ผู้เป็นพ่อหยิบถ้วยชาอุ่น ๆ ขึ้นมาจิบเบา ๆ
ภายใต้สายตาที่คาดหวังของลูกสาวตัวน้อย เขาทำหน้าประเมิน ขณะเอ่ยว่า “ไม่เลว”
“ท่านแม่ ท่านอยู่คุยกับท่านพ่อไปก่อนนะเพคะ ข้าจะไปดูดอกไม้ตรงนู้นหน่อย”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าแม้ตอนนี้อารมณ์ของท่านแม่จะยังไม่ค่อยดีนัก แต่รูปร่างหน้าตาของนางก็นับได้ว่าโดดเด่นท่ามกลางเหล่าพระสนมของท่านพ่อขี้หงุดหงิดอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ซูหว่านก็ยังเป็นคนที่รู้ความ ดังนั้นเธอจึงวางใจที่จะปล่อยให้ท่านแม่ได้มีโอกาสอยู่ตามลำพังกับท่านพ่อ และพยายามเอาชนะใจเขาให้ได้
พูดจบแล้วมู่ไป๋ไป่ก็กระโดดลงจากตักมู่เทียนฉงก่อนจะวิ่งไปดูดอกไม้ที่ถูกดูแลรักษาอย่างดีริมหน้าต่าง
ดอกไม้ที่ยังคงเบ่งบานในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้นได้ส่งกลิ่นหอมออกมาทั่วบริเวณ
ตามปกติแล้วในตำหนักนี้บริเวณหน้าต่างจะถูกตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีสัน ดอกไม้ทุกต้นและใบไม้ทุกใบนั้นได้รับการดูแลอย่างทะนุถนอม
นี่บ่งบอกได้ว่าซูหว่านลงทุนลงแรงกับเรื่องนี้ไปมาก
หลังจากคนตัวเล็กเดินสำรวจไปได้ไม่กี่ก้าว สายตาของเธอก็ไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง
โสมเหรอ?
โอ้พระเจ้า ท่านแม่ผู้น่าสงสารคนนี้ปลูกโสมในกระถางงั้นเหรอ?
มู่ไป๋ไป่หันกลับไปมองผู้เป็นแม่และเห็นดวงตาของอีกฝ่ายกำลังจับจ้องมาที่เธอด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก
เด็กหญิงกลืนน้ำลายลงคอ ดูเหมือนว่าแม่คนนี้ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เธอคิด
สภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตของโสมนั้นมีข้อจำกัดมากมายและใช้เวลานานในการเพาะเลี้ยง นอกจากนี้โสมยังมีคุณสมบัติพิเศษ ดังนั้นมันจึงเป็นสมุนไพรที่มีค่าอย่างยิ่ง
จากนั้นคนตัวเล็กก็หันไปมองต้นโสมให้ดีอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าอีกไม่นานโสมต้นนี้คงจะมีหัวใหญ่เท่ากับแครอท
“เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?”
อะไร เสียงมาจากไหน?
มู่ไป๋ไป่รู้สึกสับสนขณะกวาดตามองไปรอบ ๆ
ตอนนี้ซูหว่านกับมู่เทียนฉงกำลังคุยกัน และนางกำนัลประจำตำหนักที่รออยู่ข้าง ๆ ต่างพากันก้มหน้านิ่ง ส่วนอันกงกงไม่ได้อยู่ในตำหนักนี้ด้วย ดังนั้นในเวลานี้จึงไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ
จากนั้นเด็กหญิงก็หันไปมองกระถางที่ปลูกต้นโสมอีกครั้ง
“ยังจะมองอยู่อีก! หากเจ้ายังมองข้าอีก ข้าจะกินเจ้าซะ!”
ในตอนแรกเธอยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าโสมต้นนี้กำลังคุยกับเธออยู่
เธอคิดว่าตัวเองจะฟังภาษาสัตว์ออกเพียงอย่างเดียว เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคุยกับต้นไม้รู้เรื่องด้วย?
หรือว่านี่คือวิญญาณโสม?
เคยมีตำนานเล่าว่าต้นโสมนั้นสามารถแปลงร่างกลายเป็นวิญญาณและพูดได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นพืชไม่ใช่หรือ ทำไมเธอถึงได้ยินเสียงที่มันพูดล่ะ?
“จะกินข้าอย่างนั้นหรือ เอาสิ ข้าจะเด็ดใบของเจ้าออกให้หมด ปล่อยให้เจ้าถูกลมเย็นพัดอยู่ตลอดทั้งวัน”
มู่ไป๋ไป่พูดยั่วโมโหอีกฝ่ายด้วยปากเล็ก ๆ นั้น
และนั่นก็ทำให้ใบโสมที่หนาแน่นสั่นเล็กน้อยก่อนที่มันจะหดลงด้วยความกลัว
“แม่ของเจ้าคอยฟูมฟักเลี้ยงดูข้ามากว่า 5 ปี เจ้าอย่าได้คิดทำอะไรตามอำเภอใจ หากเจ้าทำอะไรข้า แม่ของเจ้าเอาเจ้าตายแน่”
ต้นโสมรู้ว่าตัวมันกำลังตกอยู่ในอันตราย
“เช่นนั้นเจ้าก็แก่กว่าข้าน่ะสิ ทำไมเจ้าถึงยังเล็กแค่นี้เอง?” มู่ไป๋ไป่อุทานเสียงสูง
ต้นโสมตกตะลึงกับคำพูดของอีกฝ่าย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะพัฒนาวิญญาณของตัวเอง แต่กลับถูกคนอื่นดูหมิ่นเสียอย่างนั้น
ถ้ามันขยับได้ มันก็อยากจะเหวี่ยงกิ่งก้านของตัวเองใส่หน้าเจ้าตัวเล็กนี่สัก 2-3 ทีให้สาแก่ใจ!
“ตัวข้านั้นล้ำค่ายิ่งนัก เจ้าจงอยู่ให้ห่างจากข้า และสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการเจริญเติบโตของโสมก็คือความสงบ เจ้าอย่าได้มารบกวนข้า”
มู่ไป๋ไป่เอียงหัวเล็ก ๆ พลางถามอย่างสงสัยว่า “โสมอย่างเจ้ามีความพิเศษอะไรมากกว่าโสมทั่วไปอย่างนั้นหรือ?”
ใบโสมสั่นเล็กน้อยอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนว่ามันจะมีพลังมากกว่าเมื่อครู่
จากนั้นมันก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “ตัวข้านั้นสามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด หลังจากบำเพ็ญตบะนานกว่า 10 ปี ข้าจะมีความสามารถที่จะพาคนตายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ เจ้าเคยพบเห็นโสมที่ทรงพลังเช่นนี้มาก่อนหรือไม่ ทุกคนคิดว่าข้าเป็นเพียงสมุนไพรล้ำค่าที่ช่วยบำรุงร่างกายเพียงเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าข้าทำอะไรได้มากกว่านั้นเยอะ!”
“ทรงพลังขนาดนั้นเชียวหรือ?”
มู่ไป๋ไป่ยู่ปากเข้าหากันเพื่อเป่าลมเข้าใส่ต้นโสม ทำให้ใบไม้สั่นไหวแล้วต้นโสมดูเหมือนจะอับอาย มันจึงตะโกนขึ้นมาเสียงดุดัน
“นี่เจ้า!”
ก่อนที่มันจะทันได้พูดอะไรต่อ เด็กหญิงก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นไปคว้าใบสีเขียวเอาไว้เต็มมือ
เอ๊ะ?
ต้นโสมรู้สึกว่าส่วนใบของมันนั้นผ่อนคลายมากราวกับถูกรดด้วยน้ำทิพย์
ในไม่ช้าความรู้สึกดังกล่าวก็แพร่กระจายไปยังกิ่งก้านลงสู่ราก แม้แต่วิญญาณโสมก็รู้สึกเบาสบายมาก
เพียงแค่สัมผัสนางมันก็ช่วยให้ตัวข้าเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ?
ต้นโสมตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เจ้าบรรลุเป้าหมายโดยเร็วที่สุด มันคงจะยอดเยี่ยมมากหากเจ้าสามารถบำเพ็ญตบะจนแก่กล้าและกลายเป็นเซียนได้” มู่ไป๋ไป่เหยียดยิ้มร้าย
มันน่าจะเป็นความคิดที่ดีไม่น้อยหากเก็บต้นโสมนี้ไว้ข้างกายแล้วรอคอยให้มันพัฒนาตัวเอง พอถึงเวลาที่เหมาะสมก็นำมันมาใช้งาน
ต้นโสมคิดอยู่ครู่หนึ่ง และมันก็ตระหนักได้ว่าตัวมันนั้นสามารถบำเพ็ญตบะจนถึงขั้นบรรลุเป็นเซียน ทว่าการบรรลุเป็นเซียนมันไม่ต่างจากนิทานหลอกเด็กเลยสักนิด
แต่ต้นโสมไม่รู้ความคิดชั่วร้ายในใจของคนตัวเล็ก มันจึงพูดขึ้นอย่างสุภาพว่า “ข้าจะยอมรับคำอวยพรของเจ้าก็ได้ แต่เจ้าช่วยสัมผัสข้าอีกครั้งได้หรือไม่?”
“...” คำขอที่แปลกประหลาดทำให้มู่ไป๋ไป่ถึงกับพูดไม่ออก
คนตัวเล็กได้แต่จับจ้องต้นโสมเงียบ ๆ ไม่ยอมเคลื่อนไหว
นี่มันเป็นคำขอประเภทไหนกัน?
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองลอยขึ้นจากพื้นดิน ซึ่งซูหว่านมาอุ้มเธอออกไป
“เจ้าเด็กโง่ เจ้ามัวแต่จ้องมองกระถางต้นหญ้าทำไม ไปกินข้าวกันเถอะ”
มู่ไป๋ไป่เม้มปากพร้อมกับเถียงในใจว่า
นั่นไม่ใช่ต้นหญ้าสักหน่อย!
จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองซูหว่านอีกครั้งและเข้าใจได้ทันที
ในขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่ได้ยินสิ่งที่ต้นโสมพูดได้ไม่ชัดเจนนักแม้ว่ามันจะอยู่ห่างจากเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว ทำให้เธอได้รู้ว่าต้นโสมนี้ยังคงเป็นวิญญาณโสมที่มีระดับพลังค่อนข้างต่ำ
คนตัวเล็กยักไหล่ก่อนจะมองดูโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารอันโอชะที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว หากไม่นับรวมการจัดจานที่งดงาม เพียงแค่เห็นสีสันและได้กลิ่นหอมของพวกมันเพียงเท่านี้ก็ดึงดูดใจเธอได้มากแล้ว
แต่ไม่ว่าเธอจะหิวมากแค่ไหน แขนเล็ก ๆ ของเธอก็ยังขยับได้ไม่สะดวกนัก
ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถยกมือขึ้นได้บ้างแล้ว แต่การคีบอาหารก็ยังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ดี
นั่นทำให้คนตัวเล็กได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ มองผู้เป็นแม่ตาละห้อย
ทางด้านซูหว่านคีบเนื้อและผักใส่ชามของลูกสาว แล้วกำลังจะป้อนข้าวให้กับเด็กน้อย “เดี๋ยวแม่ป้อนข้าวให้เจ้าก่อน หลังจากเจ้ากินอิ่มแล้ว แม่ค่อยกิน”
“เจ้ากินข้าวก่อนเถอะ เดี๋ยวเราป้อนนางเอง”
มู่เทียนฉงคว้าถ้วยเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้วใช้ทัพพีตักซุปผัก จากนั้นก็ตักข้าวใส่ชามเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งข้างมู่ไป๋ไป่
ซูหว่านถึงขั้นตกตะลึงกับการกระทำของอีกฝ่าย ก่อนหน้านี้นางคิดว่าเขาเพียงแค่อารมณ์ดีจึงอุ้มมู่ไป๋ไป่ไว้ในอ้อมแขน แต่ตอนนี้เขากลับขันอาสาจะป้อนข้าวให้กับนางด้วยตัวเอง…
มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวจึงหยิกขาตัวเองเบา ๆ แล้วนางก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองไม่ได้กำลังฝันไป
ทางด้านอันกงกงที่เฝ้าดูการกระทำของฮ่องเต้มาทั้งวันเริ่มเคยชินจนไม่รู้สึกตกใจอีกแล้ว ในขณะที่หว่านกุ้ยเหรินกำลังตกตะลึง แต่เขาไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาอีก
“ท่านพ่อ ท่านดีกับไป๋ไป่มาก”
มู่ไป๋ไป่ที่เคี้ยวข้าวเต็มปากพูดขึ้นมาเป็นระยะ ๆ โดยที่ปากเล็ก ๆ นั้นเอ่ยแต่คำหวานออกมา
“ถ้าเจ้าชอบ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะป้อนข้าวเจ้าเอง”
ขณะนี้สีหน้าของมู่เทียนฉงผ่อนคลายมาก เขากำลังมองแก้มของคนตัวเล็กที่มีเศษข้าวติดอยู่ และแก้มที่เคี้ยวตุ้ย ๆ นั้นทำให้นางดูมีน้ำมีนวลมากขึ้น ซึ่งเป็นภาพที่ดูน่ารักมาก
ถึงแม้ว่าเขาจะมีกิจธุระให้ต้องสะสางมากมายในแต่ละวัน แต่เขาก็อยากใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ป้อนข้าวให้กับเจ้าตัวน้อยคนนี้ด้วยเช่นกัน
หลังจากที่เขาป้อนข้าวหนึ่งคำใหญ่ให้กับมู่ไป๋ไป่ เขาก็คีบเนื้อสัตว์ไปวางในชามของซูหว่าน
“พรุ่งนี้เจ้าพาไป๋ไป่ย้ายไปอยู่ที่ตำหนักอิ๋งชุนเถอะ ตำหนักนั้นตั้งอยู่ใกล้ตำหนักของเรามากกว่า ในอนาคตเราจะได้มาดูแลไป๋ไป่ได้ง่ายขึ้น”
เด็กหญิงเอียงศีรษะพลางคิดว่าจากคำพูดของพ่อขี้โมโห เธอสามารถตีความได้ว่าหลังจากนี้เธอไม่จำเป็นจะต้องกลับไปนอนตำหนักทรุดโทรมหลังนั้นอีกแล้วใช่หรือไม่?
แล้วเธอก็ต้องคิดอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าแมวส้มตัวอ้วนตัวนั้นดี? เธอเองก็ยังอยากไปให้เห็นกับตาว่าลี่เฟยมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่
เมื่อซูหว่านได้ยินดังนั้น นางก็รู้สึกดีใจมาก นางรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และลงไปนั่งคุกเข่าเพื่อขอบคุณอีกฝ่าย “หม่อมฉันขอขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าบาทเพคะ”
ในเวลาเดียวกัน นางกำนัลทั้ง 4 ของตำหนักอวี๋ชิงที่อยู่ด้านข้างต่างรู้สึกตื่นเต้นมากในขณะที่พวกนางมองหว่านกุ้ยเหรินด้วยความยินดีและมีความสุขกับนาง
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: คุยกับสัตว์ได้ไม่พอ ยังคุยกับต้นไม้ได้อีก!