บทที่ 1 ไม่มีลูกค้าเข้าพักแม้แต่คนเดียว
บทที่ 1 ไม่มีลูกค้าเข้าพักแม้แต่คนเดียว
อำเภอเมืองฉ่างหลิง
นี่เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง ล้อมรอบไปด้วยขุนเขาและสายน้ำอันงดงาม หุบเขาการแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังตั้งอยู่ในหุบเขาใกล้เคียง บ่อยครั้งที่ผู้คนเดินทางมาจากที่ห่างไกลเพื่อขอรับการรักษา หวังเพียงโอกาสในการมีชีวิตอยู่
เช้าวันนั้น ดวงอาทิตย์แผดเผาจนร้อนระอุ โลกทั้งใบร้อนอบอ้าวเหมือนเตาอบ ผู้คนและรถม้าที่สัญจรไปมาบนถนนหลวงนอกเมืองต่างเหงื่อไหลท่วมตัว
มีชาวนาบรรทุกข้าวใส่เกวียน มีคาราวานพ่อค้าแม่ขาย และมีนักรบสวมชุดเกราะ…
แต่ใกล้ประตูเมืองทางทิศใต้ มีบ้านหินสองชั้นสีขาวหลังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านดูโดดเด่น
เหนือประตูทางเข้าของบ้านหินสีขาว มีป้ายเขียนว่า “โรงแรมเซียนหยวน”
ในล็อบบี้ของโรงแรม
เฟิงหยวนหนิงนั่งถอนหายใจอยู่หลังเคาน์เตอร์ เธอเฝ้ามองออกไปนอกประตูกระจกของโรงแรม ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ไม่มีลูกค้าเข้ามาเลย ไม่มีแม้แต่คนเดียว!
ทำเลที่ตั้งของโรงแรมที่เธอเลือกนั้นมีผู้คนสัญจรผ่านไปมามากมาย อยู่ใกล้กับถนนหลวงนอกเมือง แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้ามาพักที่โรงแรมของเธอเลย
เธอยอมรับว่า การที่โรงแรมของเธอปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้นดูแปลกประหลาด
แต่เธอทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ตอนแรกเธอเองก็ไม่คาดคิดว่า หลังจากเลือกทำเลที่ตั้งเมื่อคืน ระบบจะสร้างโรงแรมขึ้นมาได้ในทันที
ตอนนั้นเธอตกใจมากว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริง
การออกแบบของโรงแรมที่ดูเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่สไตล์ยุโรปก็ดูไม่เข้ากับโลกยุคโบราณนี้เลยสักนิด
แต่ความจริงแล้ว มันก็เป็นแค่โรงแรมเก่าโทรม ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้นเอง ผู้คนในโลกนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องกลัวขนาดนั้นเลย
ความจริงแล้ว โรงแรมแห่งนี้ที่ระบบจัดให้ มันดูทรุดโทรมจนน่าสงสาร ไม่มีร้านอาหาร มีแค่สองชั้น ไม่ได้อลังการอะไรเหมือนตึกสูงหลายสิบชั้นอย่างที่คิด
แต่ถึงอย่างนั้น บ้านสองชั้นหลังนี้ก็ทำให้พวกคนต่างโลกรู้สึกกลัวจนไม่กล้าเข้ามา
เฮ้อ
วันนี้เธอตั้งใจตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า ด้วยความตื่นเต้นและคาดหวังว่า ผู้คนจากต่างโลกจะตบเท้าเดินเข้ามาในโรงแรมของเธอด้วยความประหลาดใจ
แต่ความเป็นจริงนั้นตบหน้าเธออย่างเจ็บแสบ เธอนั่งรออยู่ที่เคาน์เตอร์เป็นเวลาเนิ่นนานเหมือนคนโง่งม มองดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามา หรือแม้แต่จะถามสักคำ
เธอเปิดหน้าจอเสมือนของระบบโรงแรมขึ้นมาดู ก็เห็นหน้าแรกของระบบแสดงข้อมูลส่วนตัวของเธอ พร้อมกับระบบจัดการโรงแรมที่ดูเหมือนเกม
ผู้เล่น: เฟิงหยวนหนิง
ระดับ: คนธรรมดาสามัญ
ยอดคงเหลือในบัญชี: 3 ทอง 0 เงิน และ 0 ทองแดง (หน่วยการนับ: ตำลึง)
ชื่อโรงแรม: โรงแรมเซียนหยวน (ชั้น 1)
เงื่อนไขการอัปเกรดโรงแรม: รับรองแขกทั้งหมด 0/50 คน และทำภารกิจให้สำเร็จ 0/3 ภารกิจ
เอฟเฟ็กต์พิเศษของโรงแรม: บาเรียอยู่ยงคงกระพัน (ในบริเวณโรงแรม เจ้าของและโรงแรมจะได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์)
ภารกิจ: ภายใน 3 สามวัน รับรองแขกเข้าพัก 3 คน (0/3) รางวัลที่ได้รับคือเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ (ช่องใส่สินค้าไม่จำกัด)
[หมายเหตุสำหรับเจ้าของ: ราคาสินค้าและราคาห้องพักต้องไม่ต่ำกว่าที่ระบบแนะนำ]
เงิน 3 ทองนี้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่เธอนำมาจากโลกเดิม ไม่เกี่ยวข้องกับระบบ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเงินทุนเริ่มต้นของเธอเอง
ตามที่ระบบได้ให้ข้อมูลมา ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าเทพเซียนจากแดนสวรรค์ เป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์แห่งเวทมนตร์และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด แต่ก็ยังเป็นเพียงเวอร์ชันทดลองที่ยังไม่สมบูรณ์
ระบบบอกว่า ถ้าเธอทำตามขั้นตอนต่าง ๆ ในการทดสอบระบบให้ครบถ้วน อาจจะมีโอกาสได้รับสิทธิ์ในการเป็นเทพเซียนในอนาคต
สิทธิ์ในการเป็นเทพเซียนเหรอ? เฟิงหยวนหนิงไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ในยุคสมัยนี้ ใคร ๆ ก็ชอบโฆษณาเกินจริงกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?
เธอรู้สึกดีใจมากที่ไม่ต้องถูกเจ้านายบังคับให้ทำงานหนักแบบเริ่มงาน 9 โมงเช้า เลิก 3 ทุ่ม และทำ 6 วันต่อสัปดาห์อีกต่อไปแล้ว ในที่สุดเธอก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข กินดีอยู่ดี
เพื่อทดสอบระบบโรงแรมนี้ เธอได้เลือกโลกแห่งนี้ที่เน้นการฝึกฝนวิชาวรยุทธ์จากตัวเลือกมากมายที่ระบบเตรียมไว้ให้
เพราะโลกที่เธอเคยอยู่เป็นสถานที่ธรรมดาไม่มีเวทมนตร์ใด ๆ ระบบบอกว่าฟังก์ชันบางอย่างของโรงแรมจะใช้ไม่ได้ในโลกแบบนั้น เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินทางไปยังโลกอื่น
โชคดีที่เธอเป็นเด็กกำพร้า และยังไม่ได้แต่งงาน จึงไม่มีพันธะที่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังเป็นพิเศษ ตราบใดที่เธอมีโอกาสเตรียมตัวล่วงหน้า เธอพร้อมจะเดินทางข้ามมิติในทันที
ก่อนการเดินทางข้ามมิติ
เธอตั้งใจไปร้านทองและซูเปอร์มาร์เก็ต โดยใช้เงินเก็บทั้งหมดซื้อทองคำ 150 กรัมที่ร้านทอง และซื้อของใช้จำเป็นอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และสิ่งอื่น ๆ จนหมดตัว
เธอเปลี่ยนมาใส่ชุดฮั่นฝูอันประณีต และแต่งหน้าแบบธรรมชาติอย่างพิถีพิถัน
หลังจากเดินทางข้ามมิติ
เธอนั่งอยู่ในโรงแรมที่ระบบสร้างขึ้นมาอย่างกะทันหันในชุดฮั่นฝูที่งดงาม พร้อมดูแลการแต่งหน้าเป็นอย่างดี แต่กลับไม่มีลูกค้าเข้ามาเลย
แม้ว่าถนนนอกโรงแรมจะคึกคัก มีคนเดินผ่านไปมามากมาย แต่กลับไม่มีใครสนใจจะเข้ามาใช้บริการในโรงแรมของเธอเลย ทั้ง ๆ ที่โรงแรมของเธอดีขนาดนี้ และมีคนผ่านไปมามากตั้งมากขนาดนี้ แล้วทำไมเล่าถึงไม่มีใครเข้ามา!
เฮ้อ ดูเหมือนว่า เธอจะต้องหาทางอื่นมาแก้ปัญหานี้แล้วล่ะ
เธอเดินกลับขึ้นไปที่ห้อง 201 แล้วนำชามที่เตรียมมาจากโลกเดิมออกมา จากนั้นใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ซื้อมาใส่ชาม แล้วเติมน้ำร้อนลงไป เมื่อเส้นบะหมี่ได้ที่ เธอจึงฉีกซองเนื้อวัวใส่ลงไป
พอได้กลิ่นหอมรุนแรงจากชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ประกอบไปด้วยน้ำพริกเผาและเนื้อวัว
แหวะ
เมื่อคืน หลังจากที่เธอเดินทางข้ามมิติ เธอกินแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น และตอนนี้ก็ต้องมากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีก ช่างน่าเวทนาจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม เธอไม่กล้าออกไปกินข้าวข้างนอก จะทำอย่างไรถ้าเธอถูกวางยาพิษ? และจะทำอย่างไรหากเธอเผชิญอันตรายหลังจากออกไปข้างนอก?
สุดท้ายแล้วเธอจึงต้องทนกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่อไป
เฟิงหยวนหนิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วถือชามบะหมี่รสเนื้อวัวพริกเผาออกมาจากห้อง 201 เธอเดินลงมาที่ล็อบบี้ของโรงแรม แล้วไปนั่งลงที่หน้าประตู
ไม่ยอมมาใช้บริการใช่ไหม? เช่นนั้นเธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า จะต้องใช้กลอุบายล่อลวงพวกคนที่ขี้ขลาดเหล่านี้ให้มาที่โรงแรม!
…
ในไม่ช้า กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็แพร่กระจายไปตามสายลม
อย่างที่ทราบกันดีว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีกลิ่นหอมมาก เมื่อผู้คนจากต่างโลกบนท้องถนนได้กลิ่นดังกล่าว ก็อดใจไม่ไหวจนต้องกลืนน้ำลายลงคอ
พวกเขาเดินตามกลิ่นหอมเพื่อดูว่ามันมาจากที่ไหน
ปรากฏว่ามันมาจากบ้านหินสีขาวสองชั้น ที่บันไดหน้าประตูบ้านมีสตรีรูปงามใส่ชุดฮั่นฝูสีฟ้านั่งอยู่
ที่แปลกคือ ชุดของเธอนั้นมีสีที่ไล่ระดับจากอ่อนไปเข้มอย่างสวยงาม ซึ่งเป็นเทคนิคการย้อมสีผ้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เธอดูโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่น
ในขณะนั้น เธอกำลังถือชามกระเบื้องสีขาวและกินเส้นบะหมี่แปลก ๆ ที่บิดเกลียวเป็นเส้นเล็ก ๆ
เมื่อทุกคนเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าในน้ำซุปสีเข้มมีน้ำมันสีแดงลอยอยู่ด้านบน และมีเนื้อสับอยู่ในน้ำซุป กลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้น้ำลายสอ
พวกเขามองดูชามบะหมี่นั้นแล้วกลืนน้ำลายดังเอื้อก
กลิ่นหอมมาก
แถมยังดูหรูหราเหลือเกิน
ไม่เคยเห็นบะหมี่ชามไหนใส่น้ำมันอันล้ำค่าเยอะขนาดนี้มาก่อน
กลิ่นหอมนี้ทั้งแปลกและเป็นเอกลักษณ์มาก แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้กลิ่น แต่กลับอดใจไม่ไหวจนอยากลิ้มลอง
ความจริง พวกเขามองเห็นบ้านหินสีขาวหลังนี้สักพักแล้ว เพียงแต่กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะเข้าใกล้เท่านั้น
บ้านหลังนี้สร้างจากหินอ่อนสีขาวก้อนใหญ่ หน้าต่างและประตูทำจากกระจกใส ซึ่งสามารถสะท้อนภาพได้เหมือนกระจก
บันไดหน้าบ้านดูเหมือนทำจากกระเบื้องสีครีม ผิวเรียบลื่นเหมือนกระจก หากเหยียบลงไปคงจะทิ้งรอยเท้าไว้
ไม่รู้ว่าบ้านแบบนี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไร
ด้านบนประตูทางเข้ามีอักษรตัวเขื่องสี่ตัว ผู้รู้หนังสือบางคนจึงรู้ได้ว่า ตัวอักษรเหล่านั้นคือ “โรงแรมเซียนหยวน”
ส่วนด้านบนประตูกระจกของโรงแรม มีป้ายสีดำยาวซึ่งแสดงข้อความสีแดงวิ่งอยู่ว่า “โรงแรมเซียนหยวนยินดีต้อนรับ มีห้องพักเดี่ยวให้บริการ 3 ห้อง ค่าห้องพักวันละ 1 ตำลึง”
บ้านหลังนี้สวยงามมาก แต่ค่าห้องพักวันละหนึ่งตำลึงมันแพงเกินไป
เงินหนึ่งเหวินซื้อหมั่นโถวได้สองลูก ในช่วงที่ของราคาถูก เงินห้าเหวินสามารถซื้อข้าวได้หนึ่งถัง และเงินหนึ่งตำลึงสามารถแลกเป็นเงินเหวินได้อย่างน้อยหนึ่งพันเหวิน ซึ่งเพียงพอสำหรับครอบครัวหนึ่งที่จะใช้ชีวิตอย่างประหยัดได้หลายเดือนทีเดียว หากเป็นคนธรรมดาที่ทำงานในเมืองหนึ่งเดือน พวกเขาจะได้รับเบี้ยเลี้ยงเพียงหนึ่งถึงสองตำลึงเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานตอนกลางวัน เห็นได้ชัดว่ายังไม่มีบ้านหลังนี้อยู่เลย
บ้านหลังนี้ปรากฏขึ้นมาในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร? มันช่างแปลกประหลาดเกินไป
แม้แต่ผู้ที่สามารถเข้าพักในโรงแรมแห่งนี้ก็ยังไม่กล้าเข้าไปง่าย ๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัยหรือไม่
แต่กลิ่นของบะหมี่นั้นหอมอบอวลยิ่งจนพวกเขาอดใจไม่ไหว
สมกับเป็นบะหมี่จากโรงแรมลึกลับจริง ๆ เพียงแค่กลิ่นก็ทำให้น้ำลายไหลและอยากจะลิ้มลองดูสักคำ
ชาวนาธรรมดาหลายคนเหลือบมองอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะกัดฟันอดทนแล้วขี่เกวียนต่อไปพร้อมกับสัมภาระ
ลองคิดดูสิ พวกเขาจะเข้าไปในสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร? ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกโลภ เพราะงั้นก็อย่ามองจะดีกว่า
ในท้ายที่สุด จึงเหลือเพียงนักรบไม่กี่คนและคาราวานค้าขายที่ยังคงยืนดูอยู่
เฟิงหยวนหนิงอดทนต่อความรู้สึกไม่สบายใจ และกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปท่ามกลางสายตาของผู้คน
พวกเขาเพียงเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังรับชมพิธีกรรมที่ผู้มีอำนาจจัดขึ้น ไม่มีใครกล้าพูดจาติเตียน หรือแม้แต่จะเข้าไปสอบถาม
แม้ว่าพวกเขาจะมีสีหน้าละโมบขณะมองดูบะหมี่ในชามของเธอ แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร
เฟิงหยวนหนิงกินคำแล้วคำเล่า รอคอยเวลาผ่านไปช้า ๆ ราวกับเนิ่นนานหลายปี
ในที่สุด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็หมด เธอซดน้ำซุปจนหมดเกลี้ยงชาม
ถึงกระนั้นกลับไม่มีใครกล้าออกมาถามเลย
เธอยืนขึ้นด้วยความรู้สึกผิดหวัง เตรียมตัวจะไปล้างจาน
เฮ้อ แม้กระทั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีกลิ่นหอมน่ากินขนาดนี้ยังใช้ไม่ได้ผล วิธีอื่น ๆ คงจะไม่ได้ผลเช่นกัน จะทำอย่างไรดี?
ต้องทำยังไงถึงจะสามารถดึงดูดลูกค้าได้สามรายภายในสามวัน?
แต่ทันใดนั้น เธอได้ยินเด็กหนุ่มขี่ม้าเข้ามาถามโดยไม่คาดคิดว่า “แม่นาง บะหมี่นั้นขายหรือไม่?”
ความจริง เขามองดูอยู่สักพักและอยากจะถามออกไปตั้งนานแล้ว
ถึงแม้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะดูเหมือนคนธรรมดา ไม่เหมือนผู้มีฝีมือด้านวรยุทธ์ แต่การแต่งตัวของเธอนั้นดูพิเศษมาก นอกจากนี้เธอยังนั่งกินบะหมี่แปลก ๆ อยู่หน้าโรงแรมลึกลับแห่งนี้ แล้วเธอจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?
ก่อนที่เธอจะกินบะหมี่จนหมดชาม เขาจะอาจหาญถึงขนาดไปรบกวนเชียวหรือ? เผื่อว่าเธอขุ่นเคืองขึ้นมาจะทำอย่างไร?
เฟิงหยวนหนิงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก เธอหยุดเดินแล้วหันไปมองเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มคนนั้นสวมชุดสีเหลืองอ่อน รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ดูอ่อนเยาว์ และดูเหมือนจะเป็นชายหนุ่มจากครอบครัวที่ร่ำรวย
ข้างกายเขามีผู้ติดตามสองคน ขี่ม้าสูงใหญ่เหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกล้าถามก่อน ผู้ติดตามทั้งสองคนถึงกับหน้าซีดเผือด หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “คุณชายระวังตัวด้วยขอรับ”
เฟิงหยวนหนิงพยายามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ไม่ขาย แต่จะให้บริการบะหมี่โดยไม่คิดเงินสำหรับแขกสามคนแรกที่เข้าพัก”
รูปลักษณ์ของโรงแรมดูแปลกประหลาดตั้งแต่แรกเห็น ย่อมต้องมีความลึกลับซ่อนเร้นอยู่ ดังนั้นในฐานะเจ้าของโรงแรมลึกลับ เธอคิดว่าตัวเองควรจะดูเย็นชาหน่อย จะได้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของโรงแรม
ยิ่งกว่านั้น ถ้าเชิญชวนอย่างกระตือรือร้น ก็อาจจะทำให้คนอื่นสงสัยได้ว่าเธอมีเจตนาไม่ดี หรือต้องการทำร้ายคนอื่น
“เข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างผิดหวัง และไม่ได้พูดอะไรอีก
การปรากฏตัวของร้านนี้มันแปลกประหลาดมาก แถมเป็นเพียงแค่บะหมี่ชามหนึ่ง แม้ว่าอาหารจะน่ากินขนาดไหน แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เขายอมเสี่ยงชีวิต
“ขายแยกต่างหากไม่ได้หรือ?” ชายหนุ่มอีกคนซึ่งมีใบหน้าคมสันและสวมชุดสีดำถามขึ้น เขาคาดดาบไว้ที่เอว และกำลังประคองหญิงสาวชุดชมพูใบหน้าซีดคนหนึ่ง
เฟิงหยวนหนิงตอบด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ไม่ขาย มันไม่ใช่ของซื้อของขาย แต่เพื่อการบริโภคของข้าเอง”
ก่อนที่เธอจะข้ามมิติมา เธอซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียงสิบห่อเท่านั้น จำนวนมีจำกัด แน่นอนว่าต้องเก็บไว้กินเองก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายของเธอคือให้ลูกค้ามาพักที่โรงแรม จะให้ขายบะหมี่อย่างเดียวโดยไม่ต้องเข้าพักได้ยังไง?
หญิงสาวชุดชมพูใบหน้าซีดผลักชายชุดดำออกไป แล้วเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าแน่วแน่ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเข้าพัก”
“เชิญด้านในเจ้าค่ะ” เฟิงหยวนหนิงหันไปเปิดประตูกระจก แล้วเดินไปนั่งหลังเคาน์เตอร์พร้อมวางชามกระเบื้องลง
ครั้งนี้เธอไม่ได้ปิดประตู แต่เปิดประตูทิ้งไว้ เพื่อให้ทุกคนเห็นภายในโรงแรม
ถึงแม้เฟิงหยวนหนิงจะคิดว่าโรงแรมนี้ดูโทรม แต่การตกแต่งภายในกลับหรูหราอลังการมาก คงจะดึงดูดเหล่าผู้คนจากต่างโลกที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ได้เป็นอย่างดี
“ศิษย์น้อง! เจ้าอย่าใจร้อน! เราค่อย ๆ ดูลาดเลาไปก่อนเถอะ” ชายชุดดำหน้าเปลี่ยนสี รีบคว้ามือหญิงสาวชุดชมพูไว้ ไม่ให้เธอเดินขึ้นบันได
หญิงสาวชุดชมพูพยายามจะดิ้นให้หลุด แต่ก็ทำไม่ได้ จึงพูดด้วยความโมโหว่า “ท่านอย่ามาขัดขวางข้าได้ไหม?! ข้าเป็นคนไร้ค่าไปแล้ว ถึงตายก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องมาสนใจข้าหรอก!”
เฟิงหยวนหนิง “…”
คนบางคนก็ไม่รู้จักเคารพความต้องการของคนอื่นเอาเสียเลย คนอยากจะพักก็ปล่อยให้เขาพักไปสิ