Chapter 45: ความลับ
พอฉินหรานเสนอความช่วยเหลือแก่พวกเขา ซิสเตอร์โมนี่และกุนเธอร์สันตอบสนองต่อข้อเสนอของเขาต่างกัน
"ฉันซาบซึ้งกับความช่วยเหลือที่คุณเสนอให้มาก คุณนักสืบฉินหราน แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเกรงจะทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา" ซิสเตอร์โมนี่ตอบปฏิเสธข้อเสนอของฉินหรานด้วยรอยยิ้ม
"คุณมีวิธีการขอโทษที่ดี แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดออกมาได้โดยง่าย" กุนเธอร์สันพยักหน้ายิ้มเมื่อได้ยินข้อเสนอของฉินหราน เขาพยายามโน้มน้าวซิสเตอร์โมนี่แทนฉินหราน
"โมนี่ ฉันค่อนข้างชอบเขานะ เขามีสกิลบางอย่างที่ดีและเป็นคนหนุ่มที่ดีคนหนึ่ง อีกอย่าง ท่านบอกว่าเขาเป็นนักสืบที่เก่งที่สุดในเมืองใช่ไหม? การตามหาคนชั่วพวกนั้นน่าจะเป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับเขานะ!" น้ำเสียงของกุนเธอร์สันเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น "พวกเราตั้งกองกำลังแต่ไอ้คนพวกนั้นมักจะซ่อนอยู่ในเงามืดเสมอ เกิดพวกมันหมดความอดทนและตัดสินใจจะก่อปัญหามากขึ้น... ฉันสาบานไว้ว่าจะไม่ออกไปจากที่แห่งนี้และรี้ดกับคนอื่น ๆ ก็คงจะพ่ายแพ้ยับเยิน อย่างไรเสียก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันจะบุกเข้ามาเมื่อไหร่ ถ้าเป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนเปิด ผลที่เกิดขึ้นจะยิ่งเลวร้าย" คำพูดของกุนเธอร์สันทำให้ซิสเตอร์โมนี่ลังเลไปชั่วครู่
กุนเธอร์สันมีความสำคัญต่อซิสเตอร์โมนี่ และสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง
ถ้าเกิดว่ามีปัญหาอื่นมากกว่านี้...
ซิสเตอร์โมนี่ส่ายหน้า เธอไม่อยากให้โจรละโมบพวกนั้นทำร้ายนักเรียนของเธอ
"คุณนักสืบฉินหราน กรุณาช่วยพวกเราด้วย!" ซิสเตอร์โมนี่หันกลับมาหาฉินหรานด้วยสีหน้าจริงจัง "พวกเราไม่มีเงินจ่ายให้คุณมากนัก แต่..."
"ซิสเตอร์โมนี่ ผมบอกแล้วไงครับว่าผมต้องการทำเพื่อชดเชยกับพฤติกรรมของผม คุณนับมันเป็นการชดเชยได้เลย แน่นอนว่าไม่มีค่าใช้จ่าย" ฉินหรานพูดขัดซิสเตอร์โมนี่ "แต่อย่างแรกเลย คุณต้องเล่าทุกอย่างให้ผมฟัง ยิ่งละเอียดยิ่งดี!"
"เรื่องมันยาวมาก ฉันจะไปหาเก้าอี้มาให้!" กุนเธอร์สันพูดก่อนจะคว้าเอาเก้าอี้สามตัวออกมาจากบ้านไม้
เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว ซิสเตอร์โมนี่ก็เริ่มเรื่องของเธอ
"เมื่อ 50 ปีก่อน โรงเรียนเซนต์เปาโลเป็นที่รู้จักในนามโบสถ์เซนต์เปาโล เป็นสถานที่แรกที่เทพธิดาแห่งอรุณรุ่งเสด็จลงมาและเผยแพร่ปาฏิหาริย์แห่งพระองค์ตั้งแต่เมื่อกว่าพันปีก่อน แน่นอนว่าทุกคนเชื่อว่านี่เป็นแค่ตำนาน แต่ขอบอกคุณตามความจริง ทั้งฉันและกุนเธอร์สันต่างก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ อาจารย์ของฉัน สันตะปาปาคนสุดท้ายของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่ง เชื่อในตำนานอย่างไม่มีข้อสงสัยและรอคอยครั้งต่อไปที่เทพธิดาจะมาอวยพรพวกเราด้วยปาฏิหาริย์แห่งพระองค์
"น่าเสียดายที่ไม่เกิดอะไรขึ้นเลยในช่วงที่อาจารย์ของฉันยังมีชีวิตอยู่ ตรงกันข้าม อำนาจของศาสนจักรถดถอยลงไปทุกวัน ไม่ใช่แค่ศาสนจักรแห่งอรุณรุ่ง แม้แต่ศาสนจักรแห่งแสง ศาสนจักรที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากกาลเวลา ผู้คนเชื่อในดินปืน เครื่องจักรไอน้ำและพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้เหล่านั้นไม่ได้อยู่ในกำมือของศาสนจักร ดังนั้นจำนวนของคนที่มีความรู้จึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
"สำหรับฉัน นี่เป็นการเริ่มต้นใหม่ เพราะว่าทุกคนสามารถเป็นอิสระจากการถูกความไม่รู้ผูกมัดไว้ มีความมั่งคั่งและความสงบ นี่คือคำสอนของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่ง ดังนั้นในช่วงแรก ฉันเปิดห้องสมุดของศาสนจักรให้แก่นักปราชญ์สำคัญบางคน และพวกเราก็เปลี่ยนโบสถ์เซนต์เปาโลเป็นโรงเรียนเซนต์เปาโล
"ตัวฉันเอง เดิมเป็นนักบุญแห่งอรุณรุ่งก่อนที่จะมาเป็นซิสเตอร์และอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน ตอนนั้นกุนเธอร์สันเป็นอัศวินผู้พิทักษ์ของฉัน เขาเองก็เป็นอัศวินคนสุดท้ายของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งเช่นกัน"
ซิสเตอร์โมนี่บอกเล่าเรื่องราวของเธอด้วยน้ำเสียงสงบ น้ำเสียงอ่อนโยนของเธอบอกเล่าประวัติศาสตร์ของโบสถ์เซนต์เปาโลและการเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ของเธอและกุนเธอร์สัน
ฉินหรานรู้สึกถึงความเศร้าโศกได้จากทั้งสองคน
ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของพวกเขา แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์
วงล้อแห่งประวัติศาสตร์ไม่เคยหยุดนิ่ง มันจะเคลื่อนที่ไปตามกาลเวลาเสมอ
เมื่อคนหนึ่งจนปัญญาแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแค่ความเศร้าโศกและขมขื่น
ถ้ากุนเธอร์สันเป็นอัศวินคนสุดท้ายแห่งศาสนจักรแห่งอรุณรุ่ง แล้ว..เกิดอะไรขึ้นกับอัศวินคนอื่น? แม้จะนับคนที่ตายไปด้วยวัยชรา ป่วย หรืออุบัติเหตุ ก็ควรจะมีอัศวินเหลืออยู่มากกว่าหนึ่งคน ดูจากความแข็งแกร่งทางกายภาพที่เห็นได้ชัดจากกุนเธอร์สัน อัศวินคนอื่นของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งก็ไม่ควรเป็นผู้ชายธรรมดา ๆ
การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยมักจะมาพร้อมกับการนองเลือด
คลื่นลูกเก่าถูกคลื่นลูกใหม่ไล่
ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ด้วยแค่คำพูด
ฉินหรานสามารถจินตนาการได้ว่าเหล่าอัศวินรุ่นก่อนไม่สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้ แน่นอนว่าต้องมีความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่า เขาจินตนาการภาพอัศวินทั้งสองฝั่งเผชิญหน้ากับอาวุธปืนและปืนใหญ่ ขี่ม้า ควบตรงไปสู่ช่วงเวลาที่งดงามที่สุดในชีวิตของตน
ชั่วขณะที่สั้นแต่สว่างไสว
นี่เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของคนรุ่นเก่า แต่มันก็เป็นส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดของพวกเขา
การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยย่อมส่งผลกระทบต่อหลายชีวิต
แล้วในที่สุด ผลลัพธ์ก็ออกมา
ฉินหรานยังคงเงียบ ความหนักหนาของประวัติศาสตร์ทำให้เขาพูดไม่ออกได้ นี่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่เขาเคยคุ้นมาก่อน ซิสเตอร์โมนี่และกุนเธอร์สันก็เงียบเหมือนกัน พวกเขากำลังนึกถึงอดีตเมื่อตอนนั้น หลังจากนั้นครู่ใหญ่ซิสเตอร์โมนี่ก็ได้สติกลับมา
"ขออภัยด้วย ฉันเพิ่งแบ่งปันความทรงจำที่ไม่น่าพิสมัยให้คุณ ระยะหลังความทรงจำพวกนี้เริ่มส่งผลต่อฉัน พวกเรามีปัญหาคล้ายกันนี้มานานแล้ว" ซิสเตอร์โมนี่พูดต่อหลังผ่อนลมหายใจยาว "ในตอนนั้น ศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งเป็นเพียงศาสนจักรเล็ก ๆ เทียบไม่ได้แม้สักส่วนหนึ่งของศาสนจักรแห่งแสง แต่ก็ยังคงมีความรู้และสมบัติของเวลานับพันปี
"อาจารย์ของฉัน สันตะปาปาองค์สุดท้ายแห่งศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งหวังว่าศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งจะสามารถกลับไปสู่วันที่รุ่งเรืองอีกครั้ง และเขาซ่อนสมบัติทั้งหมดเอาไว้ เขาซ่อนมันไว้ดีมาก แม้แต่ฉันหรือกุนเธอร์สันก็ไม่รูว่ามันอยู่ที่ไหน บางทีกุนเธอร์สันและฉันอาจจะทำให้เขาผิดหวัง เขาจึงไม่เคยเปิดเผยสถานที่ซ่อนเหล่านั้นแก่พวกเรา แต่บอกคนอื่น
"ในที่สุด สมบัติพวกนั้นก็หายสาบสูญ
"ตอนที่กุนเธอร์สันกับฉันพร้อมที่จะละทิ้งสมบัติเหล่านั้นแล้ว ก็มีชายสองคนมาหาฉัน มาตามหาสมบัติเหล่านั้น พวกเขาอ้างว่าต้องการชุบชีวิตศาสนจักรแห่งอรุณรุ่ง ฉันไล่พวกเขากลับไป แต่พวกเขาไม่ไปไหน ตั้งแต่นั้นมาวิธีการของพวกเขาก็รุนแรงมากขึ้น เป็นเหตุผลว่าทำไมรี้ดถึงกังวลนักเมื่อเขาพบคุณ" ซิสเตอร์โมนี่มองมาด้วยสายตาขอโทษอีกครั้ง
"นี่คือทั้งหมดที่เกิดขึ้น"
จู่ ๆ ฉินหรานก็นึกอะไรได้
"พวกสวะที่ต้องการฟื้นฟูศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งเรอะ? พวกมันน่าจะเป็นแค่คนละโมบที่บังเอิญได้ข้อมูลบางอย่างมาจากที่ไหนไม่รู้และอยากได้สมบัติพวกนั้นไว้เอง!
"พวกเราไม่รู้ที่ซ่อนนั่นจริง ๆ แต่ถึงพวกเรารู้ก็ไม่มีทางบอกพวกมันหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะฉันสาบานไว้ว่าจะไม่ออกไปจากที่นี่ ฉันจะฆ่าพวกสารเลวนั่นให้เกลี้ยง!" กุนเธอร์สันพูดด้วยน้ำเสียงโมโห กำหมัดแน่น
เขาดูโกรธจริง ๆ ฉินหรานไม่สงสัยเลยว่าเขาต้องหมายความอย่างที่พูดเป๊ะ ๆ แน่นอน
หลังจากแลกเปลี่ยนกันไปสองสามหมัด เขาก็ได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของตนเององและได้รู้ว่ากุนเธอร์สันทรงพลังแค่ไหน ไม่มีใครสู้กุนเธอร์สันได้ในการต่อสู้มือเปล่า
ร่างกายที่แข็งแกร่งของกุนเธอร์สันและเทคนิคการต่อสู้แบบพิเศษนั้นเอาชนะฉินหรานได้โดยง่าย
ไม่เพียงแต่มีร่างกายและเทคนิคการต่อสู้แบบพิเศษที่แข็งแกร่ง แต่เขายังคุ้นเคยกับอาวุธมากด้วย วัดได้จากคลังแสงของอัลทิลลี่ ฮันเตอร์ ฉินหรานสามารถบอกได้ว่าอัศวินคนสุดท้ายของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งผู้นี้คุ้นเคยกับการใช้ดินปืนด้วย เขาน่าจะอยู่ระดับผู้มีฝีมือ
วัดจากร่างกายที่แข็งแกร่งและประสบการณ์มากมายในการต่อสู้รวมทั้งการใช้อาวุธ ถ้าเขาเลือกที่จะล่าพวกมัน เศษสวะพวกนั้นควรจะภาวนาให้เขาหาพวกมันไม่เจอ
"แล้ว ผู้ชายพวกนั้นมีลักษณะอะไรพิเศษบ้าง?" ฉินหรานถาม
"พวกมันมาที่นี่เงียบ ๆ ปกปิดใบหน้า มีเพียงสองคนที่เข้ามาหาฉัน ฉันไม่รู้ว่ามีพวกมันมากกว่านี้หรือเปล่า" ซิสเตอร์โมนี่ส่ายหน้า ไม่สามารถให้ข้อมูลได้มากไปกว่านี้
"ได้ ที่เหลือไว้ให้ผมจัดการ ผมรับรองว่าจะหาพวกมันให้พบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้"
ฉินหรานไม่ได้หวังจะได้ข้อมูลจากซิสเตอร์โมนี่มากนัก ผู้ชายพวกนั้นที่อยากได้ตำแหน่งที่ซ่อนสมบัติของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งย่อมต้องมีการเตรียมตัวมาก่อน ซึ่ง นั่นไม่ได้หยุดฉินหรานจากการรับภารกิจย่อย
[ปลดล็อกภารกิจย่อย: สายลับ!]
[ภารกิจย่อย: มีคนชั่วรู้เรื่องสมบัติของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งและต้องการได้รับสมบัติเหล่านั้นผ่านทางซิสเตอร์โมนี่ คุณสัญญากับซิสเตอร์โมนี่ว่าคุณจะหาตัวคนชั่วเหล่านั้นและปกป้องโรงเรียนเซนต์เปาโลให้ปลอดภัย]
ฉินหรานอ่านคำอธิบายภารกิจย่อย เทียบกับภารกิจย่อยอันแรก อันใหม่นี้ดูยากกว่ามาก อาจจะมากกว่าสองเท่า ไม่เพียงแต่ไม่รู้จำนวนคนร้ายอย่างชัดเจน เขายังไม่รู้เบาะแสเลยสักอย่าง นอกจากให้นั่งรอภัยมาถึงตัวเขาก็ยังไม่มีความคิดดี ๆ อะไรเลยในตอนนี้
ฉินหรานไม่ปล่อยให้ความรู้สึกอึดอัดใจของตัวเองเผยออกไปป เขายิ้ม และขอตัวจากซิสเตอร์โมนี่และกุนเธอร์สัน
เพื่อที่จะเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นกับรี้ด ฉินหรานเปิดใช้ [อำพราง] อีกครั้ง มันต่างจากครั้งเมื่อครู่ เพราะว่าเขาได้รับอนุญาตจากซิสเตอร์โมนี่ก่อนแล้ว
หลังจากออกจากโรงเรียนเซนต์เปาโลและถนนที่มุ่งตรงเข้าสู่โรงเรียน ฉินหรานก็จัดเรียงสัมภาระและกล่องใส่ [Viper-M1] ใหม่ แล้วออกมาจากเงา
เขาไม่ได้เรียกรถม้าเพราะว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก
พอเขามองไปที่ท้องฟ้ามืด เขาก็ตัดสินใจเดินกลับและซื้ออาหารกินระหว่างทาง เขายังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน
เขาเพิ่งเดินไปได้แค่ยี่สิบกว่าเมตรตอนที่จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังตามเขามา