ตอนที่แล้วบทที่ 6 เถ้าแก่จะต้องเป็นเทพเซียนแน่ ๆ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 8 ไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์อีกแล้ว

บทที่ 7 หรือนี่จะเป็นวิธีที่เหล่าเทพเซียนปฏิบัติในโลกมนุษย์?


บทที่ 7 หรือนี่จะเป็นวิธีที่เหล่าเทพเซียนปฏิบัติในโลกมนุษย์?

“ลงไปไถ่ถาม ว่าข้างนอกมีอะไรกัน?” ชายหนุ่มรูปงามผู้สูงศักดิ์หันไปสั่งชายวัยกลางคนที่นั่งมาด้วยกัน

ชายวัยกลางคนผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนโยน แต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนหวานเยี่ยงสตรีเล็กน้อย

เขาตอบรับด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “พ่ะย่ะค่ะ” แล้วจึงเปิดม่านลงจากรถม้า ไปถามผู้คุ้มกันคาราวานคนหนึ่ง จากนั้นไปถามผู้เฒ่าหวังอีกครา

เมื่อสอบถามรายละเอียดเสร็จสิ้น เขากลับไปที่รถม้าแล้วรายงานให้ชายหนุ่มรูปงามฟังว่า “ขอทูลพระองค์พ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าโรงแรมแห่งนี้จะมีปัญหาบางอย่าง เมื่อวานยังไม่มี แต่วันนี้กลับมาปรากฏอยู่ริมถนนหลวง พร้อมกับนำสินค้าแปลกใหม่มาขายมากมาย ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีใครพบเจอเรื่องร้าย แต่ก็อาจจะเป็นเพราะเพิ่งเปิดได้ไม่นาน อันตรายอาจจะยังไม่ปรากฏออกมา”

“ช่วยประคองข้าลงจากรถ” ชายหนุ่มรูปงามยื่นมือออกมา พร้อมกับสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้

“… พ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาททรงสนพระทัยโรงแรมแห่งนี้ ลองให้กระหม่อมไปสำรวจดูก่อนดีหรือไม่?”

“ไม่จำเป็น แค่ช่วยประคองข้าลงจากรถม้า” ชายหนุ่มรูปงามยืนกราน

เขามีโรคร้ายติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อายุขัยสั้นลงทุกปี เขาจึงต้องมาพักที่หุบเขาการแพทย์ปีละหลายเดือน แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยืดอายุเท่านั้น ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

ในเมื่อเถ้าแก่มีวิชาแก่กล้าขนาดนี้ หากไม่ใช่ภูตผีปีศาจ ก็ต้องเป็นเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์แน่ ๆ และหากเป็นเทพเซียนจริง เพียแค่ยกมือก็สามารถยืดอายุให้คนธรรมดาได้

ในเมื่อไร้ความหวังที่จะรักษาโรคร้าย ดังนั้นเขาจึงอยากลองเสี่ยงโชคกับสถานที่แห่งนี้

ในความเห็นของเขา มันเป็นการดีที่สุดที่จะไปเยี่ยมชมด้วยตนเอง หากแค่ส่งคนรับใช้ไป มันคงดูไม่สุภาพและขาดความจริงใจ

“… พ่ะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าไม่สามารถโน้มน้าวอีกฝ่าย จึงได้แต่พยุงชายหนุ่มรูปงามลงจากรถม้า และพาเดินเข้าไปในโรงแรมเซียนหยวน

คนขับรถม้าไม่กล้าอยู่ห่าง จึงเดินตามไปติด ๆ อยู่ด้านหลัง

เมื่อเข้ามาในล็อบบี้ของโรงแรม ชายหนุ่มรูปงามกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วแสดงความประหลาดใจออกมาอย่างปิดไม่มิด เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือคำนับเฟิงหยวนหนิงที่อยู่หลังเคาน์เตอร์แล้วถามว่า “แม่นาง ข้าขอถามหน่อยเถอะ ท่านเป็นเถ้าแก่ที่นี่หรือ?”

เฟิงหยวนหนิงเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้นเพียงแวบหนึ่ง แล้วก็กลับไปสนใจเกมที่กำลังเล่นอยู่ต่อ “ถูกต้องเจ้าค่ะ หากต้องการซื้อของ ก็ออกไปด้านนอกได้เลย ไม่จำเป็นต้องมาหาข้าโดยเฉพาะ”

ชายหนุ่มรูปงามถามต่อว่า “เช่นนั้นขอถามหน่อยว่า เถ้าแก่ยังมีห้องว่างให้พักอีกหรือไม่?”

ถึงแม้ปรมาจารย์ผู้นี้จะมีวิชาแก่กล้าเหนือธรรมชาติ แต่สุดท้ายที่นี่ก็คือโรงแรม หาใช่โรงหมอไม่ บ่งบอกชัดเจนว่าเป้าหมายของนางไม่ได้อยู่ที่การรักษาคนป่วย

เขาอยากลองพักอยู่ที่นี่สักระยะ แล้วค่อย ๆ สังเกตการณ์และพยายามทำให้เถ้าแก่โปรดปราน

“ไม่มีแล้ว” เฟิงหยวนหนิงตอบกลับอย่างเย็นชา

ชายหนุ่มรูปงามยังคงยืนกรานและถามต่อว่า “ขออนุญาตให้ข้าไปคุยกับลูกค้าของท่านสักหน่อยได้ไหม?”

เฟิงหยวนหนิงถึงกับอึ้งไปเลย เธอเองก็กำลังกังวลว่าห้องพักจะไม่พอสำหรับลูกค้าคนอื่น ๆ แต่หากให้ชายหญิงคู่นั้นพักห้องเดียวกัน เช่นนั้นก็อาจมีห้องว่างเพิ่มอีกหนึ่งห้องก็ได้?

แต่เกรงว่าชายหญิงคู่นั้นอาจไม่เต็มใจ เรื่องแบบนี้จะบังคับกันไม่ได้

ทันใดนั้น เสียงชายหนุ่มดังขึ้นจากระยะไกล “ศิษย์น้อง ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้ากินต่อไม่ได้จริง ๆ ปล่อยข้าไปเถอะนะ”

เสียงนี้ดังมาจากชั้นสอง จากนั้นไม่นานเจ้าของเสียงก็เดินลงบันไดมาที่ชั้นหนึ่ง

ชายหนุ่มผู้นั้นหน้าตาคมเข้ม แต่ตอนนี้กลับมีสีหน้าขมขื่น ตาแดงก่ำ ปากบวม ดูแล้วน่าสงสารมาก

“ศิษย์พี่ เหตุใดท่านจึงยอมแพ้ง่ายดายนัก? ท่านทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ” หญิงสาวร่างบางสวมชุดสีชมพูกำลังถือถ้วยกระดาษ นางเดินลงบันไดตามหลังชายชุดดำพร้อมหน้าตาเคร่งขรึม

ชายหนุ่มรูปงามแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย แล้วคิดในใจว่า สิ่งใดกันถึงทำให้บุรุษตรงหน้ากลายเป็นแบบนี้?

เขาส่งสายตาให้ชายวัยกลางคนที่คอยพยุงอยู่ ชายวัยกลางคนเข้าใจความหมาย จึงหันไปถามสองคนนั้นว่า “ช้าก่อนท่านทั้งสอง ข้ารบกวนถามสักหน่อยว่า ท่านทั้งสองพอจะช่วยแบ่งห้องพักให้เราสักห้องได้ไหมขอรับ? พวกเรา…”

“แบ่งห้องพักให้?” หญิงสาวนามว่าซ่งอวี้หลวนได้ยินดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “โรงแรมนี้มีเพียงสี่ห้องเท่านั้น แล้วท่านยังอยากให้ข้าแบ่งให้หนึ่งห้องอีกหรือ? ฝันกลางวันอยู่หรือเปล่า?”

ซ่งอวี้หลวนเหลือบมองเฟิงหยวนหนิง แล้วเปลี่ยนไปชมเชยอย่างอวดดีว่า “และแน่นอนว่า ถึงห้องพักจะน้อย ทว่าสภาพแวดล้อมของห้องพักดีมากจนน่าเหลือเชื่อ หากได้เข้าพักที่นี่ถือว่าคุ้มค่ายิ่ง นี่เป็นเพียงข้อดีอย่างหนึ่งของโรงแรมนี้เท่านั้น ลองดูเส้นบะหมี่ที่ข้าถืออยู่นี่สิ เมื่อครู่ลูกค้าคนหนึ่งของโรงแรมกินเข้าไปแล้วสามารถทะลวงจากขั้นมานะสร้างไปสู่ขั้นฟ้าประทานได้ ไม่เช่นนั้นท่านคิดว่าเหตุใดข้าต้องบังคับศิษย์พี่ของข้าให้กินมันด้วยล่ะ?”

แค่ทานบะหมี่ก็สามารถทะลวงขึ้นฟ้าประทานเชียวหรือ? ชายหนุ่มรูปงามถึงกับตกตะลึงเมื่อได้รับฟัง “แม่นาง ข้าหาได้ขอสิ่งใดมากมาย ต่อให้ต้องนอนในห้องรับแขกก็ตาม”

ซ่งอวี้หลวนรีบปฏิเสธทันทีว่า “ไม่ได้สักห้อง ทั้งข้าและศิษย์พี่ไม่อยากอยู่ร่วมห้องกับคนแปลกหน้า”

หลิงจิ่งศิษย์พี่ชายของนางยืนนิ่งเงียบอยู่ข้าง ๆ พยายามจะลดทอนตัวตนของตัวเองลงไปให้มากที่สุด ตอนนี้เขาแค่หวังว่าศิษย์น้องจะไม่บังคับให้เขากินบะหมี่รสไก่เผ็ดอีก

ขณะที่ชายหนุ่มรูปงามและชายวัยกลางกำลังพยายามจะเกลี้ยกล่อมซ่งอวี้หลวนอยู่นั้น เฟิงหยวนหนิงที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “ดูท่าความสัมพันธ์ของพวกท่านจะแน่นแฟ้นกันอย่างยิ่ง ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องแยกห้องกันก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”

เท่าที่เธอรู้ เนื่องจากโลกใบนี้ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนวรยุทธเป็นหลัก ทำให้สถานะของชายหญิงมีความเท่าเทียมกันมาก โลกนี้จึงไม่ใช่สังคมที่ปิดกั้นหรืออนุรักษนิยม

ในโลกนี้ไม่มีเรื่องของความแตกต่างระหว่างชายหญิงที่เข้มงวด ข้อบังคับเรื่องความบริสุทธิ์ของหญิงสาวก็เป็นเรื่องไร้สาระ มีเพียงข้อกำหนดทางศีลธรรมที่ว่าต้องซื่อสัตย์ต่อความรักและชีวิตสมรสเท่านั้น แต่ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ห้ามคบหากันก่อนแต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน

ซ่งอวี้หลวนอยากจะเถียง แต่พอคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่า นางจะปฏิเสธความคิดเห็นของท่านผู้มีวิชาเก่งกล้าได้อย่างไร?

ในเมื่อนางพูดออกมาแบบนี้ ก็แสดงให้เห็นว่านางหวังให้ข้าและศิษย์พี่ยอมแบ่งห้องให้คนอื่นเช่นกัน แล้วจะให้ไปขัดใจนางได้อย่างไร?

หากเกิดไปทำให้เถ้าแก่ขุ่นเคือง จนไม่ยอมช่วยซ่อมแซมเส้นเอ็นให้อีกไปจะทำยังไง?

พอคิดได้ดังนั้น ซ่งอวี้หลวนก็รีบเปลี่ยนท่าทีทันทีและยิ้มออกมาด้วยท่าทีอ่อนน้อม “เถ้าแก่พูดถูกแล้ว เช่นนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติเถ้าแก่ ข้าจะให้พวกท่านพักอยู่ห้องเดียวกัน”

เฟิงหยวนหนิง “…”

ท่าทีของหญิงสาวเปลี่ยนไปเร็วมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นเธอเองที่ไปบังคับให้สาวน้อยคนนั้นให้ทำตาม เฟิงหยวนหนิงจึงพูดขึ้นมาว่า “ไม่จำเป็นต้องทำตามที่ข้าพูดก็ได้ ท่านทำตามสิ่งที่ตนเองอยากทำก็พอ”

ซ่งอวี้หลวนกล่าวว่า “หามิได้เจ้าค่ะ เมื่อครู่เป็นความผิดของข้าเอง ที่ท่านพูดแบบนั้นก็เพื่อจะให้ข้าได้คิดทบทวน แล้วจะให้ข้าปฏิเสธคำแนะนำของท่านได้อย่างไร? เอาเป็นว่าตกลงกันตามนี้ ข้าจะย้ายออกจากห้องนั้นเอง”

ท่านปรมาจารย์ให้นางตัดสินใจด้วยตนเอง แต่หากนางเพิกเฉยต่อความเห็นของอีกฝ่าย ท่านคงต้องผิดหวังในตัวนางอย่างแน่นอน

นี่คือการทดสอบ นางจะไม่ยอมให้ตัวเองพลาดโอกาสนี้เด็ดขาด!

เฟิงหยวนหนิง “…”

สาวน้อยคนนี้เป็นอะไรไปเนี่ย?

เธอแค่เสนอความคิดเห็นไปเท่านั้นเอง จะต้องทำท่าทีแบบนี้ไปถึงไหนกัน?

ชายหนุ่มรูปงาม “…”

ใจของเขาเริ่มรู้สึกถึงความไม่แน่นอนเสียแล้ว ดูสิว่าสตรีนางนี้ต้องการเอาอกเอาใจเถ้าแก่ขนาดไหน? หรือว่า เขาควรจะลดทิฐิของตัวเองลงบ้าง แล้วลองทำตามแบบแม่นางผู้นี้ดู?

ทว่า…

มันจะดูกะทันหันเกินไปไหม แล้วเถ้าแก่จะเข้าใจผิดหรือเปล่า?

ท้ายที่สุดแล้วชายหญิงย่อมมีความแตกต่างกัน ในฐานะผู้ชาย เขาจึงไม่เหมือนกับสตรีชุดชมพูคนนั้น ที่ไม่ต้องเกรงใจสิ่งใดเลย

แต่หากระบุวัตถุประสงค์โดยตรง ก็คงดูเห็นแก่ตัวเกินไป และอาจจะทำให้เถ้าแก่ไม่พอใจ

ซ่งอวี้หลวนหยิบบัตรเข้าห้องพักออกมา แล้วเดินไปยื่นให้ชายหนุ่มรูปงาม “นี่บัตรห้องของท่าน”

เฟิงหยวนหนิงรีบเตือนขึ้นมาว่า “ช้าก่อน บัตรเข้าห้องพักยกให้กันแบบนี้ไม่ได้ ท่านต้องทำการคืนห้องก่อน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ท่านต้องรู้คือ ถึงแม้จะเข้าพักแค่ชั่วยามเดียว แต่ระยะเวลาที่เข้าพักจะนับเป็นหนึ่งวัน เงินค่าห้องที่จ่ายไปแล้วจะไม่คืนให้”

ถึงแม้ว่าบัตรเข้าห้องพักจะสามารถยกให้กันได้ แต่เพื่อที่จะให้ภารกิจสำเร็จโดยเร็วที่สุด เธอจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทุกอย่างต้องให้ความสำคัญกับการทำภารกิจสำเร็จเป็นอันดับแรก

ชายหนุ่มรูปงามรีบตอบรับทันทีว่า “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าจะชดใช้ให้กับแม่นางผู้นี้เอง”

ชายวัยกลางคนที่คอยประคองเขาก็รีบจ่ายเงินให้ซ่งอวี้หลวนเป็นจำนวนหลายตำลึง

ซ่งอวี้หลวนไม่ได้ปฏิเสธอะไร รีบรับเงินเหล่านั้นไปอย่างยินดี เงินที่ได้มาฟรีๆ จะไม่รับก็น่าเสียดาย

นางเป็นศิษย์ของสำนักขุนเขากระบี่ แม้ว่าทุกเดือนจะได้รับค่าตอบแทน แต่ก็มีจำนวนจำกัด

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลก็เหมือนเงินไหลออกไปเรื่อย ๆ สถานการณ์การเงินของนางจึงไม่ดีนัก

ซ่งอวี้หลวนหยิบบัตรเข้าห้องพักกลับไปและเดินไปที่เคาน์เตอร์ ก่อนส่งมันให้กับเฟิงหยวนหนิง

เฟิงหยวนหนิงวางแท็บเล็ตลง แล้วรับบัตรเข้าห้องพักมา จากนั้นจึงเริ่มใช้งานระบบจัดการโรงแรมบนแท็บเล็ต

ซ่งอวี้หลวนเหลือบมองไปที่แท็บเล็ต แล้วรู้สึกตกใจกับภาพที่เห็น

เธอเห็นภาพบนหน้าจอว่ามีบ้านหลายหลังถูกสร้างขึ้น ดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จ มีคนตัวเล็กมากมายถืออาวุธเดินไปเดินมาอยู่ตามบ้านต่าง ๆ

คนตัวเล็กกับหมู่บ้านดูเหมือนจะวาดขึ้นมา แต่ที่แปลกคือ คนเหล่านั้นในภาพกลับสามารถขยับเคลื่อนไหวได้

หรือว่าภาพที่เคลื่อนไหวได้นี้จะเป็นภาพที่เถ้าแก่สร้างขึ้นมาเอง?

ชายหนุ่มรูปงามที่ได้รับการประคองจากชายวัยกลางก็เดินมาที่เคาน์เตอร์ด้วยกัน เมื่อเห็นแท็บเล็ต ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ชายวัยกลางหยิบเงินออกมาอีกหลายตำลึง แล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์

ซ่งอวี้หลวนอดใจไม่ไหวที่จะถามเฟิงหยวนหนิงว่า “เถ้าแก่ นี่คือสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”

“เกมน่ะ” เฟิงหยวนหนิงตอบ

“เกมหรือ?” ซ่งอวี้หลวนปิดปาก แล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ

ภาพที่เคลื่อนไหวได้แบบนี้เป็นเพียงเกมที่ปรมาจารย์ยอดยุทธเล่นเพื่อฆ่าเวลางั้นเหรอ? หรือนี่จะเป็นวิธีที่เหล่าเทพเซียนปฏิบัติในโลกมนุษย์ใช่ไหม? เรื่องพวกนี้มันเกินกว่าที่คนธรรมดาจะเข้าใจจริง ๆ

หรือว่ามันจะมีหมู่บ้านแบบนี้อยู่จริง ๆ และคนในหมู่บ้านก็ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกท่านเทพเซียนควบคุมอยู่?

เฟิงหยวนหนิงทำการเช็คเอาท์ให้ซ่งอวี้หลวนเสร็จ แล้วจึงเงินใส่สองตำลึงใส่ระบบและคืนเงินส่วนเกินมา จากนั้นก็วางบัตรเข้าห้องพักสามใบลงบนเคาน์เตอร์พร้อมกับพูดว่า “ห้อง 202 หนึ่งคืน”

เธอตั้งใจจะลองดูว่า ถ้าลูกค้าที่เข้าพักอยู่แล้วเลือกที่จะพักต่อ มันจะถูกนับเป็นจำนวนครั้งที่ให้บริการใหม่หรือไม่

ถ้าไม่ใช่ เธอก็จะต้องจำกัดการเข้าพักในช่วงที่ทำภารกิจนี้ ทุกคนจะพักได้แค่หนึ่งคืนต่อครั้ง จนกว่าเธอจะทำภารกิจเสร็จ

ไม่สิ ก่อนที่โรงแรมจะเลื่อนระดับเป็นเลเวลสอง ช่วงเวลานี้จะต้องจำกัดการเข้าพักอย่างเข้มงวด

ชายหนุ่มรูปงามรีบถามว่า “ขอจองห้องต่ออีกสองสามวันไม่ได้หรือ?”

เฟิงหยวนหนิงส่ายหัวตอบว่า “ไม่ได้ ต้องรอวันพรุ่งนี้”

ชายหนุ่มรูปงามรับบัตรเข้าห้องพักทั้งสามด้วยสีหน้าผิดหวัง ซึ่งเป็นจำนวนครบคน

ขณะที่กำลังจะพูดต่อ เขาก็เหม่อลอยไปเล็กน้อยเพราะข้อมูลที่ได้รับจากบัตรเข้าห้องพัก แล้วจึงพูดต่อว่า “จริงสิ ข้ามีนามว่าไป๋ฮ่าวเกอ ขอบคุณเถ้าแก่ที่ช่วยไกล่เกลี่ย และขอบคุณแม่นางที่ใจกว้าง ข้าขอขอบคุณอย่างยิ่ง”

เฟิงหยวนหนิงจัดทำบัตรห้องพักให้กับซ่งอวี้หลวนอีกหนึ่งใบ เนื่องจากแขกทุกคนที่เข้าพักจะต้องมีบัตรของตัวเอง

ในเวลาเดียวกัน

ณ หุบเขาการแพทย์

ผู้อาวุโสกัวถือหีบยาเดินเข้าไปในห้องคนไข้อีกห้องหนึ่ง แต่กลับพบว่าภายในห้องมีเพียงแค่สาวใช้สองคนเฝ้าอยู่ ส่วนเจ้าของห้องนั้นหายไปแล้ว

ผู้อาวุโสกัวขมวดคิ้วแล้วถามสาวใช้ว่า “องค์ชายของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน? หลังจากล้มป่วยหนัก อาการของเขาเพิ่งจะดีขึ้นเล็กน้อย ทำไมตอนนี้ถึงหายตัวไปอีก?”

“เรียนท่านหมอกัว พระองค์ทรงเบื่อหน่าย จึงเสด็จไปยังเมืองพร้อมกับขันทีหลูเจ้าค่ะ”

ผู้อาวุโสกัวอ้าปากค้างและยกมือขึ้นกุมขมับ

ในฐานะหมอ สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือคนไข้ที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง

ยิ่งไปกว่านั้น คนไข้คนนี้ยังมีสถานะสูงส่ง เป็นโอรสคนโตของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันอีกด้วย

เพื่อปกป้องเกียรติยศของสำนักแพทย์ เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธการรักษาคนไข้คนนี้ได้

ผู้อาวุโสกัวจึงถามว่า “พระองค์ได้ตรัสหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่?”

“ไม่เจ้าค่ะ พระองค์มิได้กล่าวถึงเรื่องนี้เลย”

“ช่างเถอะ ต่อให้ถามไปพวกเจ้าก็คงไม่รู้หรอก” ผู้อาวุโสกัวพูดแล้วก็เลิกถามสาวใช้ทั้งสองคน จากนั้นถือหีบยาเดินออกจากห้องไป เพราะเขาอยากกลับไปกินหมูหันโดยเร็ว

แต่แล้ว ก็บังเอิญไปเจอใครบางคนเข้า

เมื่อมองดูให้ชัด ก็พบว่าคนที่เจอนั้นคือเหมายี่ บ่าวคนรับใช้ขององค์ชายไป๋ฮ่าวเกอ

เหมายี่หยุดเดินและพูดว่า “ท่านหมอกัว ท่านมาพอดีเลย พระองค์ทรงตัดสินพระทัยจะไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้ตัวเมือง จึงให้ข้ากลับมาแจ้งให้สำนักแพทย์ทราบ”

เหมายี่คนนี้ก็คือคนขับรถม้าให้องค์ชายไป๋ฮ่าวเกอ เนื่องจากขันทีหลูต้องคอยคุ้มกันองค์ชาย จึงสั่งให้เหมายี่กลับมาแจ้งสำนักแพทย์ทราบถึงความประสงค์

ผู้อาวุโสกัว “…”

แปลกประหลาดนัก โรงแรมธรรมดาจะสบายได้สักแค่ไหน? จะเทียบกับห้องพักที่สำนักแพทย์สร้างขึ้นมาได้อย่างไร?

ช้าก่อน

ผู้อาวุโสกัวชะงักไปครู่หนึ่ง เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้ลูกชายกัวอี้ถังเคยพูดถึงโรงแรมแปลก ๆ ที่ปรากฏขึ้นมา

แล้วอย่างนี้ โรงแรมที่องค์ชายไป๋ฮ่าวเกอไปพัก มันจะเป็นสถานที่แห่งเดีวกับที่กัวอี้ถังเคยพูดถึงหรือไม่?

หรือเขาควรไปดูลาดเลาด้วยตนเองสักหน่อย? เพราะตอนนี้ก็ตรวจคนไข้เสร็จหมดแล้ว เหลือเพียงแค่องค์ชายคนเดียวเท่านั้น

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด