บทที่ 6 เถ้าแก่จะต้องเป็นเทพเซียนแน่ ๆ
บทที่ 6 เถ้าแก่จะต้องเป็นเทพเซียนแน่ ๆ
ในยุทธภพที่แสนอันตราย เหล่าผู้คุ้มกันมักจะระมัดระวังตัว ไม่ค่อยเสี่ยงอันตรายเพราะความอยากรู้อยากเห็น
แต่จะควบคุมความอยากรู้อยากเห็นได้อย่างไร? คนตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหาร เมื่อมีสิ่งที่ไม่รู้จัก แต่มีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลประโยชน์ ใครเล่าจะสามารถอดกลั้นไม่ลองสำรวจดู?
พวกเขาเห็นว่าของที่อยู่ในตู้มีราคาถูกมาก ซึ่งไม่เข้ากันกับความหรูหราของตู้เลย
สินค้าเหล่านี้ดูสดใหม่และแปลกตา ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน หัวหน้าขบวนคาราวานเห็นแล้วจึงอดใจไม่ไหว
เขาตระหนักถึงความจริงที่ตัวเองเดินทางไปมาทั่วสารทิศ และมีช่องทางมากมาย
จึงคาดการณ์ได้ว่า สินค้าแปลกใหม่เหล่านี้จะไม่แพร่หลายออกไปในระยะเวลาอันสั้น
ดังนั้น หากเขาซื้อมาบางส่วน ไม่ว่าจะเอาไปใช้เอง นำไปเป็นของกำนัลผู้สูงศักดิ์ หรือจะนำไปขายในราคาสูง ไม่ว่าทางไหนก็ล้วนเป็นตัวเลือกที่ดีไม่ใช่เหรอ?
หัวหน้าขบวนคาราวานใจเต้นแรง จึงสั่งให้หยุดรถแล้วเดินไปหาชายชุดเทาคนนั้น พร้อมกับถามว่า “พี่ชายนักดาบ ท่านก็มาอุดหนุนที่ร้านนี้ด้วยหรือขอรับ?”
หัวหน้าขบวนคาราวานเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ มีกล้ามเนื้อเต็มตัว ดวงตาและคิ้วดูดุร้าย ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความสุภาพและอ่อนน้อม
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ว่านเทียนซิงดูเป็นคนธรรมดา หน้าตาธรรมดา และนิสัยก็ยังธรรมดา หากเขายืนปะปนอยู่กับฝูงชน ก็อาจจะถูกมองข้ามโดยง่าย
เมื่อว่านเทียนซิงถูกหัวหน้าขบวนคาราวานทักทาย เขาอดไม่ได้ที่จะคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ขอรับ”
เขากำลังกังวลอยู่เลยว่าจะตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านเซียนอย่างไร และจะมีโอกาสนั้นเมื่อไหร่?
ท่านเซียนผู้นั้นย้ายตู้ขายสินค้าอัตโนมัติมาไว้ด้านนอก และตั้งราคาสินค้าต่ำมาก แสดงว่านางต้องการช่วยเหลือผู้คน และอยากให้คนอื่น ๆ ได้สัมผัสถึงความเมตตาของนาง
ดังนั้น เขาจะพลาดโอกาสดี ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?
หลังจากที่ว่านเทียนซิงตอบว่า “ขอรับ” เขาก็เดินไปยังตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ และเริ่มเลือกซื้อสินค้าทันที
หัวหน้าขบวนคาราวาน “???”
เหตุใดนักดาบผู้นี้จึงไม่เข้าไปหาเถ้าแก่ในร้าน แต่กลับเดินตรงไปยังตู้กระจกประหลาดนั้นแทน?
หากไม่เรียกเถ้าแก่ออกมา แล้วจะซื้อของจากตู้ที่ปิดสนิทได้อย่างไร? หรือว่าชายผู้นี้เป็นคนโง่เขลา?
บุคคลเช่นนี้จะมีชีวิตอยู่ในโลกยุทธภพได้อย่างไร?
เขาเกิดความรู้สึกว่าตัวเองฉลาดกว่า จึงตั้งใจจะเดินไปแนะนำอีกฝ่าย
แต่แล้ว เขาก็เห็นนักดาบหย่อนเศษเหรียญลงไปในช่องขนาดเล็กบนหน้าตู้ ไม่นานเหมือนมีลิ้นชักเลื่อนออกมาจากด้านล่าง ก่อนที่นักดาบจะก้มหยิบสิ่งของและเงินจากตู้หลังนั้น
หัวหน้าขบวนคาราวาน “!!!”
จะเป็นไปได้หรือ? จะซื้อของจากมันได้อย่างไร?
ไม่มีใครมาช่วยหยิบของออกจากตู้ แล้วชายคนนั้นซื้อของได้อย่างไรกัน?
หรือว่าให้ตู้มันหยิบของออกมาให้เอง?
ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจของหัวหน้าขบวนคาราวาน เขานึกถึงความเป็นไปได้ “หรือว่าท่านจะเป็นเถ้าแก่ของร้านนี้?”
ว่านเทียนซิงรีบส่ายหัวตอบว่า “ไม่ใช่ขอรับ”
เพื่อไม่ให้ดูเหมือนเกี่ยวข้องกับโรงแรม ว่านเทียนซิงจึงเดินลงจากบันไดกลับไปยังถนนหลวง
คราวนี้เขาซื้อไฟฉายขนาดเล็กและถ่านไฟฉาย 5 ก้อน เมื่อเขาลองกดปุ่ม ไฟฉายก็สว่างวาบขึ้นมา
ทว่า เวลานี้เป็นตอนกลางวัน แสงแดดเจิดจ้าอยู่เหนือศีรษะ ไฟฉายจึงส่องสว่างไม่ชัดเจน
แต่อย่าลืมว่าสายตาของจอมยุทธ์เฉียบคมขนาดไหน? เหล่าผู้คุ้มกันต่างก็เห็นว่าไฟฉายสว่างขึ้น เมื่อเห็นฉากนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจและพากันกระซิบกระซาบ
“ข้าเห็นมันมีแสงสว่างวาบ หรือว่าข้ามองผิดไป?”
“เจ้าไม่ได้มองผิด ข้าก็เห็นเช่นเดียวกัน”
“แปลกยิ่งนัก ไม่มีเปลวไฟ แล้วมันส่องสว่างได้อย่างไรกัน?”
หัวหน้าขบวนคาราวานใจเต้นรัวลั่น สินค้าพวกนี้เป็นของหายากอย่างแท้จริง
ลองนึกภาพดูสิ หากนำแท่งเรืองแสงนั้นติดตัวไปเวลาเดินท่ามกลางความมืด ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะมองไม่เห็นทางอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?
หากแท่งเรืองแสงวิเศษนี้ถูกส่งไปขายยังสถานที่ห่างไกล บางทีอาจขายได้ถึงสิบตำลึง หรือต่อให้ตั้งราคาร้อยตำลึง ก็อาจมีบางคนยอมลงทุนซื้อมัน
อย่างไรก็ตาม ป้ายราคาของมันอยู่ที่ 45 เหวินเท่านั้น ซึ่งถูกจนน่าเหลือเชื่อ
เถ้าแก่ตั้งใจขายขาดทุนเพื่อเรียกลูกค้าใช่ไหม? หรือว่าเถ้าแก่จะเป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง ต้องการช่วยเหลือคนยากไร้ มากกว่าจะสนใจกำไรมหาศาล?
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เถ้าแก่โรงแรมแห่งนี้จะต้องเป็นคนจิตใจดีที่หาได้ยากยิ่ง
ว่านเทียนซิงปิดไฟฉายในมือ เขายังมีเรื่องสำคัญต้องทำ จึงไม่ได้กลับเข้าไปในโรงแรม
จากนั้นเขาเดินไปทางทิศใต้ตามถนนหลวง โดยตั้งใจจะลาดตระเวนบริเวณใกล้เคียง เพื่อดูว่ามีบุคคลน่าสงสัยหรือไม่
เขายังไม่ลืมจุดประสงค์ในการมาที่นี่ เขากำลังไล่ล่าโจรเด็ดบุปผา จึงตามมาถึงบริเวณใกล้เคียงหุบเขาการแพทย์
โจรเด็ดบุปผาคนนั้นเก่งกาจด้านวิชาตัวเบา เขาไล่ตามอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่เคยไล่ตามทัน อย่างไรก็ตามเขาคาดการณ์ว่าโจรเด็ดบุปผาจะต้องซุ่มซ่อนอยู่ใกล้ ๆ และอาจจะก่อเหตุอีกครั้งเมื่อใดก็ได้
เมื่อหัวหน้าขบวนคาราวานเห็นว่านเทียนซิงหันหลังกลับไป เขาก็รีบโบกมือสั่งบรรดาผู้คุ้มกัน “พวกเจ้าคอยดูแลขบวนคาราวานให้ดี หากอยากได้อะไรก็บอกข้ามา ข้าจะซื้อให้”
ผู้คุ้มกันหลายคนรับคำ และต่างก็เอ่ยขอสิ่งที่ตนอยากได้
“ช่วยซื้อแท่งส่องแสงแบบเมื่อครู่ให้ข้าด้วยขอรับ”
“ข้าก็อยากได้ คนอื่น ๆ ก็อยากได้เช่นกัน”
หัวหน้าขบวนคาราวานกระโดดลงจากรถม้า เดินขึ้นบันไดทางด้านข้างของประตู เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ร่างกายของเขาพลันแข็งทื่อไปชั่วขณะ
อะไรกัน!
มีสิ่งแปลกแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ?
เพียงเดินเข้าไปใกล้ตู้ เขาก็ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการใช้งานตู้ รวมถึงสินค้าภายในตู้ทันที
หัวหน้าขบวนคาราวานรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองตู้ด้วยความสงสัยและไม่แน่ใจ
แต่เมื่อครุ่นคิดดูอีกครั้ง เขาก็รู้สึกโล่งใจอย่างรวดเร็ว
ชายนักดาบที่ซื้อของเมื่อครู่ก็สามารถเดินออกไปได้อย่างปลอดภัย เมื่อมองย้อนกลับไป ก็เห็นว่าอีกฝ่ายเดินห่างไปไกลแล้ว
นั่นหมายความว่าโรงแรมนี้ไม่มีอันตรายใด ๆ เป็นไปได้ไหมว่าที่มันดูมีมนต์ขลังขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเถ้าแก่เป็นเทพเซียน?
ใช่แล้ว เถ้าแก่จะต้องเป็นเทพเซียนแน่ ๆ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมถึงได้มีวิชาแก่กล้า แต่กลับจิตใจดีงาม และต้องการช่วยเหลือผู้คนยากไร้
หัวหน้าขบวนคาราวานรู้สึกเคารพเถ้าแก่อย่างสุดซึ้ง
เขามองไปที่ประตูกระจกด้านข้าง แล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล้า ๆ กลัว ๆ เดินไปเปิดประตูกระจกดูข้างใน
เมื่อมองเข้าไป เขาก็ตกใจจนต้องสูดหายใจเข้าลึก ๆ
ห้องโถงที่หรูหราอลังการขนาดนี้ เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต เพียงดูโคมไฟคริสตัลที่ส่องแสงระยิบระยับด้านบน ก็รู้ได้ทันทีว่ามนุษย์ไม่มีทางสร้างได้
เขาหันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์
เห็นเพียงแค่ผิวขาวผ่อง ริมฝีปากสีแดงสดใส ราวกับหญิงงามที่เดินออกมาจากภาพวาด นางสวมใส่ชุดผ้าไหมสีน้ำเงินที่ไล่เฉดสีอย่างงดงาม ตั้งแต่ใบหน้าจรดปลายเท้าล้วนแสดงถึงความไม่ธรรมดา
หัวหน้าขบวนคาราวานอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเราจะงดงามได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
ดูสิ ผิวพรรณและหน้าตาดูดีขนาดนี้ แม้แต่คุณหนูจากตระกูลขุนนางก็ยังสู้ไม่ได้
แล้วพวกเราที่เป็นมนุษย์จะสามารถย้อมผ้าให้ไล่เฉดสีสวยงามระดับนี้ได้ยังไง?
แขนเสื้อครึ่งบนของนางเห็นได้ชัดว่าเป็นสีขาว แต่สีจะค่อย ๆ เข้มขึ้นจากบนลงล่าง และในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน
เขาสาบานได้เลยว่า ไม่เคยเห็นเสื้อผ้าที่มีสีสันแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยเห็นเสื้อผ้าที่มีสีสันและลวดลายชัดเจนขนาดนี้ ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่เฉดสีจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากเข้มไปอ่อน
สิ่งนี้ชัดเจนอย่างยิ่งว่า สตรีนางนี้จะต้องเป็นเทพเซียนลงมาจากสวรรค์
ในขณะเดียวกัน หญิงสาวผู้นั้นกำลังจ้องมองแผ่นเงินตรงหน้าอย่างตั้งใจ ไม่รู้ว่าแผ่นเงินนั้นมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ถึงได้ดึงดูดเทพเซียนให้สนใจมันได้ขนาดนี้
คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ยิ่งมั่นใจแล้วว่า เถ้าแก่ของร้านจะต้องเป็นเทพเซียนไม่ผิดแน่
หัวหน้าขบวนคาราวานมองดูอยู่สักครู่ เขากลัวจะไปรบกวนนาง จึงปิดประตูเบา ๆ แล้วกลับมาที่ตู้ขายสินค้าอีกครั้ง
จากข้อมูลที่ได้รับมาเมื่อครู่ เขาได้รู้ว่าตู้ใบนี้มีชื่อเรียกว่า ตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ มันสามารถขายสินค้าที่แสดงอยู่ในตู้ให้กับลูกค้าได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์
ตามวิธีการใช้ที่ได้รับมา หัวหน้าขบวนคาราวานจึงหย่อนเงินลงในช่องเล็ก ๆ ของตู้ และเริ่มซื้อสินค้าจำนวนมาก
แต่เขาก็ไม่สามารถขนย้ายสินค้าทั้งหมดได้คนเดียว จึงรีบสั่งให้ลูกน้องคนหนึ่งไปซื้อถุงผ้าในเมือง และเรียกอีกสองคนมาช่วยขนย้าย
การซื้อของจำนวนมากของพวกเขานั้นดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา
หลังจากผู้เฒ่าหวังไปส่งผักที่เก็บมาเมื่อเช้านี้ในเมือง เขาก็แวะไปรับชาวบ้านอีกสามคนที่นัดไว้ก่อนหน้านี้ แล้วรีบขับเกวียนกลับหมู่บ้าน
แต่ทันทีที่ออกจากประตูเมืองทางทิศใต้ไปได้ไม่ไกล ผู้เฒ่าหวังก็เห็นจากระยะไกลว่า โรงแรมเซียนหยวนที่ไม่มีใครแวะเวียน ตอนนี้กลับมีคนเข้าไปใช้บริการแล้ว และมีพวกนักเดินทางกำลังเอาของออกจากตู้ที่อยู่หน้าประตู
เขาจำได้ว่าตอนเช้าที่เดินผ่านร้านนี้ มันยังไม่มีตู้ประหลาดหลังดังกล่าว
เมื่อเดินเข้าใกล้ ผู้เฒ่าหวังจึงมองดูอย่างตั้งใจอีกครั้ง
ด้วยความรู้ที่ได้จากการเรียนหนังสือในโรงเรียนมาสองปี เขาจึงสังเกตเห็นว่าราคาสินค้าที่วางขายในตู้นั้นต่ำมาก
ช่างแปลกประหลาดนัก โรงแรมนี้ค่าห้องพักแพงถึงหนึ่งตำลึงต่อวัน แต่ราคาสินค้าที่ขายกลับถูกมากจนดูผิดปกติ?
สินค้าส่วนใหญ่ราคาแค่ไม่กี่เหวิน และเริ่มมีคนแวะเวียนเข้าไปซื้อ หรือเขาควรจะลองไปซื้อบ้างดีไหม?
ถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะดูแปลก ๆ แต่เมื่อเห็นว่าพวกคาราวานเข้าไปแล้วก็ไม่บาดเจ็บหรือเป็นอะไรร้ายแรง เช่นนั้นคงจะไม่มีอันตรายอะไรซ่อนเร้นหรอก
พ่อแม่ของเขาอายุมากแล้ว อีกไม่นานก็คงจะจากไป ภรรยาที่รักติดตามเขามานานหลายปี ช่วยเหลือเลี้ยงดูพ่อแม่ชรา ซึ่งเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อยยิ่ง ส่วนลูก ๆ ของพวกเขาก็ยังเด็ก และออดอ้อนขอของเล่นใหม่เสมอ
ในกรณีนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงินจ่าย แล้วทำไมจะไม่ซื้อกลับไปให้ครอบครัวมีความสุขบ้างล่ะ?
ผู้เฒ่าหวังจึงถามชาวบ้านทั้งสามคนว่า “ของข้างในตู้ราคาถูกมาก แค่ไม่กี่เหวินเท่านั้นเอง พวกเจ้าจะลองไปดูด้วยกันไหม?”
ชาวบ้านทั้งสามคนไม่รู้หนังสือ จึงต้องให้ผู้เฒ่าหวังช่วยอธิบาย
เมื่อได้รับฟังจากผู้เฒ่าหวัง ชาวบ้านทั้งสามคนที่นั่งอยู่บนเกวียนจึงอยากลองไปดูด้วยกัน โดยมีเหตุผลต่าง ๆ นานาของตัวเอง
เหล่าคาราวานพ่อค้าได้พิสูจน์แล้วว่าร้านนี้ไม่มีพิษสง คงไม่ใช่ปีศาจร้ายมากลั่นแกล้ง เช่นนั้นก็ต้องเป็นร้านของเทพเซียน
ท่านเทพเซียนคงลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ยากไร้ ไม่อย่างนั้น เหตุใดเล่าจึงต้องขายสินค้าราคาต่ำถึงขนาดนี้?
แต่สำหรับห้องพักที่คนจนอย่างพวกเขาไม่ต้องการ เหล่าเทพเซียนกลับตั้งราคาไว้สูงมากเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าต้องการจะเอาเงินจากพวกคนรวยที่เห็นแก่ตัว
สิ่งนี้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ท่านเทพเซียนมีจิตใจเมตตาและต้องการช่วยเหลือคนยากจนอย่างพวกเขา และมันยังทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับเหล่าเทพเซียน
เมื่อเป็นสิ่งของของเทพเซียน แล้วใครไหนบ้างจะไม่อยากได้ของวิเศษหายาก? หากพวกเขาซื้อของเพื่อนำกลับไปที่บ้าน บางทีอาจได้รับผลอานิสงส์จากมัน ให้ตนปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ รอดพ้นภัยพิบัติร้ายแรง และมีอายุยืนยาว
ผู้เฒ่าหวังจึงตกลงกับชาวบ้านทั้งสามคนว่า เมื่อขบวนคาราวานขนของเสร็จแล้ว พวกเขาจะผลัดกันไปซื้อของ
ขณะนั้นเอง รถม้าคันหนึ่งแล่นมาช้า ๆ จากระยะไกล เมื่อเข้ามาใกล้โรงแรม พลันมีเสียงใสอันเย็นยะเยือกดังออกมาจากรถว่า “จอดรถ”
คนขับรถม้าจึงจอดรถลงอย่างนิ่มนวล
ขบวนคาราวานที่กำลังขนของอดไม่ได้ที่จะหันมอง ก่อนพบกับใบหน้าหล่อเหลาและดูสูงส่งของชายคนหนึ่งผ่านผ้าม่านที่เปิดออก
อย่างไรก็ตาม ใบหน้านั้นกลับดูซีดเซียวไร้สี แม้แต่ริมฝีปากยังเขียวคล้ำผิดปกติ