ตอนที่แล้วบทที่ 4 ไม่ไหวแล้ว เผ็ดเกินไป
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 6 เถ้าแก่จะต้องเป็นเทพเซียนแน่ ๆ

บทที่ 5 หรือว่าเด็กคนนี้จะเพี้ยนไปแล้ว?


บทที่ 5 หรือว่าเด็กคนนี้จะเพี้ยนไปแล้ว?

อำเภอเมืองฉ่างหลิง

ภายในห้องส่วนตัวของภัตตาคารมีกลิ่นหอมตลบอบอวล

บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารอร่อยนานาชนิด และมีหมูหันตัวใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางโต๊ะ ทำให้ห้องส่วนตัวนี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย

เด็กหนุ่มรูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้านลองชิมหมูหันคำหนึ่ง รู้สึกได้ถึงความกรอบของหนังหมูและหอมกลิ่นไหม้เล็กน้อย

แต่เมื่อนึกถึงความหอมของบะหมี่ที่ได้กลิ่นก่อนหน้านี้ เขากลับรู้สึกว่าอาหารจานหรูตรงหน้าดูไม่อร่อยเท่าไร

เวลานั้น เขาเป็นคนแรกที่เอ่ยถามเถ้าแก่ แต่สุดท้ายเพราะความระมัดระวังและขี้กลัว ทำให้พลาดโอกาสที่จะได้รับบะหมี่ฟรี

เด็กหนุ่มรูปงามผู้นี้มีนามว่ากัวอี้ถัง เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสในหุบเขาการแพทย์ เขาชื่นชอบในอาหารมาก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ทุกชนิด

วันนี้เขาเดินทางออกจากหุบเขาการแพทย์ตั้งแต่เช้าตรู่ และขี่ม้าตรงไปยังอำเภอเมืองฉ่างหลิง เนื่องจากอยากทานหมูหันที่ภัตตาคารแห่งนี้ ทว่ามันกลับรู้สึกไม่อร่อยเท่าไหร่นัก

ยิ่งคิดถึงมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเสียดายที่ไม่ได้ชิมบะหมี่มากขึ้นเท่านั้น

ทั้ง ๆ ที่มันเป็นแค่บะหมี่ชามเดียวเอง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยิ่งเขาคิดถึงมันมากเท่าไร มันก็ยิ่งน่าจดจำมากขึ้น

เขานั่งนิ่ง ๆ อยู่สักครู่ หลังกินไปเล็กน้อย ก็รู้สึกกินไม่ลงอีก

ในที่สุดเขาก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อห่ออาหารทั้งหมด แล้วพาผู้ติดตามสองคนออกจากภัตตาคาร เพื่อเตรียมตัวขี่ม้ากลับไปที่หุบเขาการแพทย์

ผู้ติดตามทั้งสองคนอยู่เคียงข้างเขามาเป็นเวลานาน พอเห็นสีหน้าก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งคู่จึงรู้สึกผิด

ผู้ติดตามของเขา คนหนึ่งสูงรูปร่างผอมเพรียว ส่วนอีกคนตัวเล็กสันทัด

คนที่เคยเตือนเขาไม่ให้ไปถามเรื่องบะหมี่คือผู้ติดตามสูงผอม ชายคนนั้นรู้สึกผิดจึงพูดว่า “คุณชาย เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า ข้าไม่น่าไปขัดท่านในเวลานั้นเลย”

กัวอี้ถังส่ายหน้าอย่างหมดแรง “ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก เป็นความผิดของข้าเองที่ทิ้งโอกาสครานั้น”

ขณะที่กลับ เขายังคงเลือกที่จะออกทางประตูเมืองทิศใต้

เมื่อออกจากเมืองแล้ว กัวอี้ถังขี่ม้าไปตามถนนหลวง เขาเหลือบมองไปทางโรงแรมในระยะไกล และเห็นว่าไม่มีผู้คนมารวมตัวกันข้างนอกเหมือนเมื่อวานนี้

คนที่เคยมามุงดูพร้อมกับเขานั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวนา คาราวานพ่อค้า หรือเหล่าจอมยุทธ์ ทั้งหมดล้วนแยกย้ายออกไปพร้อม ๆ กัน

ตอนนี้ดวงอาทิตย์เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนที่สัญจรไปมาบางตาลง พวกเขาเหล่านั้นเพียงแค่เหลือบมองโรงแรมด้วยความสงสัย แล้วก็เดินผ่านไป โดยไม่มีใครเข้าใกล้โรงแรมแห่งนั้น

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ตัวอักษรเรืองแสงที่อยู่เหนือประตูโรงแรมเปลี่ยนไปเป็น “ห้องพักเต็มทุกห้อง ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านมาซื้อสินค้าในโรงแรมได้”

นอกจากตัวอักษรเรืองแสงจะเปลี่ยนไปแล้ว ยังมีตู้กระจกตั้งอยู่ที่ประตูโรงแรม โดยภายในตู้มีสินค้าหลายชนิดวางอยู่ บนบรรจุภัณฑ์มีป้ายชื่อระบุไว้ เช่น บะหมี่รสเนื้อตุ๋น มันฝรั่งทอดรสบาร์บีคิว ผ้าอนามัย...

แต่เขารู้แค่ชื่อสินค้าเท่านั้น บางอย่างเขาไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่สามารถคาดเดาได้จากชื่อว่าสิ่งนั้นใช้ทำอะไร

จะลองไปซื้อดีไหมนะ?

เขาเหลือบมองหน้าต่างของอาคาร หน้าต่างทุกบานปิดสนิท เหมือนกระจกเงาที่สะท้อนภาพต่าง ๆ ออกมา เขาจึงมองไม่เห็นว่าแขกที่เข้าพักเป็นอย่างไร

ถ้าอย่างนั้น...

ช่างมันเถอะ

อย่างไรเสียเถ้าแก่ก็บอกชัดแล้วว่า บะหมี่ดังกล่าวให้ฟรีเท่านั้น ไม่ใช่ของซื้อของขาย ถึงเขาอยากซื้อตอนนี้ก็คงซื้อไม่ได้

บะหมี่รสชาติต่าง ๆ ที่อยู่ในตู้กระจกนั้น คงไม่ใช่บะหมี่ที่เถ้าแก่เคยกิน

การเสี่ยงภัยเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เขาเคยได้ยินจากคนไข้ของพ่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการออกเดินทางเสี่ยงภัยคือความระมัดระวัง การควบคุมความอยากรู้อยากเห็นจะทำให้ชีวิตยืนยาว

กัวอี้ถังพยายามอดทน ไม่เข้าใกล้โรงแรมแห่งนั้น

ผู้ติดตามร่างสูงเสนอ “คุณชาย หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดไม่ให้ข้าคอยจับตาดูอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ล่ะขอรับ”

“จับตาดู?” กัวอี้ถังหัวเราะเบา ๆ แล้วส่ายหน้า “หากเกิดไปทำให้ท่านผู้นั้นขุ่นเคืองขึ้นมาจะทำอย่างไร? รอจนถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยมาตรวจสอบสถานการณ์ดีกว่า”

คนที่สร้างโรงแรมแบบนี้ขึ้นมาได้ คงจะมีวิธีการที่คนธรรมดาคาดไม่ถึง เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งคนไปลองดี แล้วนับประสาอะไรกับการส่งคนไปคอยจับตาดูที่โรงแรม?

จากนั้นเขาและผู้ติดตามจึงควบม้ากลับหมู่บ้านทันที

หุบเขาการแพทย์อยู่ห่างจากเมืองไม่ไกลนัก ไม่นานเขาก็เดินทางมาถึง

บริเวณประตูทางเข้าหุบเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย พวกเขาล้วนเป็นคนไข้ที่กำลังต่อคิวเรียงรายเพื่อรอให้หมอในหมู่บ้านตรวจรักษา

กัวอี้ถังและผู้ติดตามลงจากหลังม้า แล้วใช้บัตรผ่านของศิษย์แสดงให้ยามเฝ้าประตูเพื่อจะเข้าไปในหุบเขาได้

วันนี้ที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้อาวุโสซ่งในการตรวจรักษาที่ประตูทางเข้า เขากำลังจ้องมองชายร่างท้วมตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่พอใจ และพูดว่า “เพียงไข้หวัดเล็กน้อยต้องมารักษาถึงที่นี่เลยหรือ? ไปหาโรงหมอใกล้บ้านสิ”

อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยไปรักษาที่โรงหมอทั่วไปก็หายได้ เหตุใดคนผู้นี้ถึงต้องมายังหุบเขาการแพทย์โดยเฉพาะ เสียทั้งเวลาและแรงกายไปเปล่า ๆ

ความจริงหุบเขาการแพทย์มีโรงหมอและร้านโอสถเป็นของตัวเองอยู่หลายแห่ง หมอที่นั่นล้วนเป็นศิษย์ของหุบเขาการแพทย์เหมือนกัน แต่คนผู้นี้เลือกที่จะมายังหุบเขาการแพทย์โดยเฉพาะเพื่อโรคเล็กน้อยแบบนี้ ผู้อาวุโสซ่งย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา

โรคที่ซับซ้อนยังมีให้ศึกษาไม่หมดสิ้น เขาไม่อยากเสียเวลาและแรงกายไปกับโรคธรรมดาทั่วไป

คนไข้ร่างท้วมฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านขอรับ ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว อย่างน้อยก็ช่วยสั่งยาให้ข้าเถิด”

ผู้อาวุโสซ่งโบกมือไล่ “ลากไปซะ คนต่อไป”

บริวารของผู้อาวุโสซ่งสองคนเดินออกมา แล้วอุ้มชายคนไข้ร่างท้วมออกไปจากหุบเขาการแพทย์

ชายคนไข้ร่างท้วมรู้สึกเสียใจมาก แต่เมื่อมองไปที่ยามหน้าประตูและแถวยาวเหยียดของคนไข้ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองสู้ไม่ได้ และจำใจเดินกลับออกไป

เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสซ่งอารมณ์ไม่ดี กัวอี้ถังจึงไม่กล้าเข้าไปทักทาย และเพียงเดินนำผู้ติดตามทั้งสองคนไปด้านหน้า

ห่างออกไปไม่ไกล มีกลุ่มอาคารหลายหลังล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวขจี นั่นคือที่พักสำหรับผู้ป่วยที่มารักษาตัว เนื่องจากที่พักมีจำนวนจำกัด จึงมีเพียงผู้ป่วยอาการหนักเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าพัก

เมื่อกัวอี้ถังมาถึงบริเวณกลุ่มอาคารเหล่านี้ สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนไปทันใด ก่อนก้มหน้าก้มตาใช้แขนเสื้อปิดบังใบหน้า แล้วเปลี่ยนทิศทางวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ถึงกระนั้นเขาก็ถูกจำได้ เนื่องจากรูปลักษณ์ของผู้ติดตามสองคนด้านหลัง

“กัวอี้ถัง! เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น! เจ้าหนีออกไปกินของอร่อยตั้งแต่เช้าอีกแล้วใช่ไหม!?” เสียงตะโกนดังมาจากชายอ้วนวัยกลางคนคนหนึ่ง เขามีใบหน้ากลมและถือกล่องยาอยู่ในมือ

กัวอี้ถังรีบหยุดยืนและหันหลังกลับมา เขาพูดด้วยรอยยิ้มฝืนว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้หนีไปกินแต่อย่างใด ดูสิ ข้าสั่งอาหารมา แต่แทบไม่ได้กินเลย จึงให้ทางร้านห่อกลับมาทั้งหมด จะได้เอามาให้ท่านพ่อกินด้วย”

ผู้อาวุโสกัวพ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วจ้องเขม็งไปที่กัวอี้ถังอีกครั้ง “เอามาให้ข้าดูก่อน”

ผู้ติดตามสองคนของที่กัวอี้ถังรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อเปิดกล่องอาหารให้ผู้อาวุโสกัวดู

ผู้อาวุโสกัวหยิบหมูหันชิ้นหนึ่งใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “อืม ดีมาก ถือว่าลูกมีจิตสำนึก”

หมูหันถูกตัดเป็นชิ้น ๆ ซึ่งสะดวกต่อการทานสำหรับผู้อาวุโสกัว

หมูหันมีหนังกรอบ เนื้อนุ่ม ทำให้ผู้อาวุโสกัวติดใจ มือยังคงหยิบต่อ และปากก็เคี้ยวไม่หยุด

กัวอี้ถังแอบกลอกตา แล้วบ่นในใจว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อได้กินหมูหัน ทำไมถึงได้กินอย่างเอร็ดอร่อยขนาดนั้น?

เขาอดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องที่เจอระหว่างทางให้พ่อฟังว่า “ท่านพ่อ วันนี้ข้าเห็นอาคารแปลกประหลาดแห่งหนึ่ง มันสร้างด้วยหินและแก้ว สิ่งที่แปลกกว่านั้นคือ เมื่อสองวันก่อนตอนที่เข้าไปในเมือง ข้ายังไม่เห็นบ้านหลังนั้นเลย แต่พอมาวันนี้กลับปรากฏขึ้นมาซะอย่างนั้น ท่านว่ามันแปลกไหมล่ะ?”

ผู้อาวุโสกัว “…”

แล้วกัน หรือว่าเด็กคนนี้จะเพี้ยนไปแล้ว?

“ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงมองลูกแบบนั้น?” กัวอี้ถังพยายามอธิบาย “ลูกไม่ได้ตาฝาดไป มันเป็นเรื่องจริงนะขอรับ ไม่เชื่อก็ถามพวกเขาได้ พวกเขาก็เห็นเหมือนกัน บ้านหลังนั้นมีบะหมี่ที่กลิ่นหอมเย้ายวน มันเป็นกลิ่นหอมที่ฉุน ๆ หน่อย ตอนนั้นลูกอยากกินจนแทบอดใจไม่ไหว น่าเสียดายที่พลาดโอกาสไป”

ผู้ติดตามสองคนของกัวอี้ถังรีบพยักหน้ารับ “จริงขอรับใต้เท้า มีบ้านประหลาดแบบนั้นอยู่จริง ๆ”

ผู้อาวุโสกัว “…”

สามคนเห็นภาพหลอนพร้อมกันแบบนี้ มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ หรือว่าจะมีสถานที่แห่งนั้นอยู่จริง ๆ?

อืม เพียงสองวันก็สร้างบ้านหรูหราแบบนั้นได้ ย่อมต้องใช้วิธีการที่ไม่ธรรมดา และคนทั่วไปไม่มีทางคาดถึง

อย่างไรก็ตาม บะหมี่ที่ว่าจะยอดเยี่ยมขนาดนั้นเชียวหรือ?

ผู้อาวุโสกัวส่ายหัวเบา ๆ “บะหมี่จะอร่อยสักแค่ไหนกัน? ไม่ว่าจะมีกลิ่นหอมมากเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบเทียมกับปลาและเนื้อสัตว์ใหญ่ไปได้ แล้วลูกติดใจอะไรนักหนา”

กัวอี้ถังสะดุ้งเล็กน้อย แล้วรีบอธิบายว่า “มันเป็นบะหมี่ที่ใส่เนื้อด้วยขอรับ”

หลังจากถูกเตือน กัวอี้ถังก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า สิ่งที่ท่านพ่อพูดมานั้นถูกต้อง ตามสามัญสำนึกแล้ว บะหมี่ไม่มีทางอร่อยเท่ากับเนื้อสัตว์อย่างแน่นอน

หากว่าบะหมี่ประหลาดเลิศรสหนักหนา แล้วอาหารจานอื่น ๆ จากที่นั่นจะยอดเยี่ยมขนาดไหน?

จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นลูกกวาดนม เนื้อแดดเดียว โยเกิร์ต นม น้ำส้ม ชาแดง และสิ่งอื่น ๆ วางอยู่ในตู้กระจก ทั้งหมดนี้เป็นอาหารที่เขาเข้าใจได้จากชื่อของมัน

ถึงแม้เขาจะไม่สนใจขนมหวาน เนื้อแดดเดียว ชา หรือนม แต่เนื่องจากร้านนี้ดูมีมนต์ขลังมาก บางทีมันอาจเปลี่ยนสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งพิเศษก็เป็นได้?

ผู้อาวุโสกัวไม่เห็นด้วย “อะไรก็สู้เนื้อไม่ได้หรอก”

“…” กัวอี้ถังไม่สามารถหาข้อโต้แย้งได้

จริงอย่างที่ว่า หากแม่ครัวอยู่ในระดับเดียวกัน เนื้อย่อมอร่อยกว่าเส้นบะหมี่อยู่แล้ว

ผู้อาวุโสกัวเงยหน้ามองดูท้องฟ้า แล้วรู้สึกว่าไม่มีเวลาจะมาสนใจเรื่องนี้ต่อ จึงหันไปสั่งผู้ติดตามของบุตรชายว่า “พวกเจ้านำอาหารไปส่งที่ห้องของข้า ข้าจะกลับไปดูอาการคนไข้ก่อน”

อาการของคนไข้สำคัญกว่า เขาจึงไม่สามารถให้ความสนใจกับบ้านประหลาดหลังนั้น และจะกลับมาพูดคุยในภายหลัง

“ขอรับ ใต้เท้า” ชายทั้งสองคนรับคำ

กัวอี้ถังเกิดความลังเลใจว่า จะกลับไปดูสถานที่แห่งนั้นอีกครั้งดีไหม?

เขามองแผ่นหลังของผู้เป็นพ่อเดินจากไป แล้วคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดนั้นเสีย

ช่างเถอะ ร้านนั้นไม่มีเมนูเนื้อที่เขาชอบ ถึงอาหารอื่นจะอร่อยแค่ไหน ก็ต้องมีขีดจำกัดอยู่ดี

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะไปตรวจสอบ ควรรอไปดูอีกทีในวันรุ่งขึ้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนที่ไปพักค้างคืนสามคนนั้นปลอดภัย เราค่อยตัดสินใจว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติ จากนั้นจะแวะไปทีหลังก็ยังไม่สาย

แต่กัวอี้ถังไม่รู้เลยว่า หลังจากที่เขาผ่านโรงแรมแห่งนั้นไปไม่นาน ก็มีขบวนคาราวานบรรทุกสินค้าออกมาจากประตูเมืองทางทิศใต้

ขบวนคาราวานนี้เข้าเมืองทางประตูทิศเหนือเมื่อคืน และพักผ่อนอยู่ในเมืองหนึ่งคืน แต่เนื่องจากตื่นสาย จึงเพิ่งออกจากเมืองทางประตูทิศใต้ในช่วงกลางวัน

กลุ่มผู้คุ้มกันสังเกตเห็นโรงแรมเซียนหยวนที่อยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่แทบทันที

ในฐานะคนต่างถิ่นที่เพิ่งมาถึง พวกเขาไม่รู้ว่าโรงแรมแห่งนี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไร ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกของมันก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาประหลาดใจมากแล้ว

พวกเขามองเห็นว่าบ้านหลังนี้สร้างจากหินสีขาวและแก้วใส ตั้งตระหง่านดูโดดเด่น และบริเวณประตูยังมีตู้ที่ทำจากแก้วและเงินดูหรูหราอลังการ

บนประตูแก้วมีป้ายไฟวิ่งบอกว่า “ห้องพักเต็มทุกห้อง ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านมาซื้อสินค้าในโรงแรมได้”

ขณะที่พวกเขากำลังทึ่งกับบ้านหลังนี้ จู่ ๆ ก็เห็นนักดาบชุดเทาคนหนึ่งที่ออกจากเมืองพร้อมกันเดินเข้าไปในโรงแรม

นักดาบชุดเทาคนนั้นก็คือว่านเทียนซิง หลังจากซื้อของจากตู้ขายสินค้าอัตโนมัติเสร็จ เขาก็ออกจากโรงแรมเพื่อเข้าไปในตัวอำเภอเมืองฉ่างหลิง

เขาไปยังโรงเตี๊ยมที่ตนเคยพักเพื่อคืนห้องและชำระค่าที่พัก โดยตั้งใจจะแวะไปโฆษณาโรงแรมใหม่อีกด้วย

แต่เมื่อเห็นผู้คนพลุกพล่านในเมือง เขารู้สึกเหมือนปากถูกเย็บไว้ สมองขาวโพลน ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย สุดท้ายจึงทำได้แค่แจกนมและช็อกโกแลตให้เด็ก ๆ ที่เดินผ่านไปมา

เขาไม่ใช่คนพูดเก่งอะไรนัก พอถึงเวลาต้องเข้าสังคมก็ยิ่งพูดไม่ออก โดยปกติเขาทำมาหากินด้วยการใช้ดาบเป็นหลัก

เมื่อเห็นว่านเทียนซิงเดินเข้าไปในโรงแรม หัวหน้าขบวนคาราวานเกิดความสงสัย จึงสั่งให้หยุดรถทันที “หยุดก่อน”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด