บทที่ 4 ไม่ไหวแล้ว เผ็ดเกินไป
บทที่ 4 ไม่ไหวแล้ว เผ็ดเกินไป
หลิงจิ่งอดไม่ได้ที่จะถามนักดาบชุดเทาว่า “ขออนุญาตถามสักนิด ที่ท่านสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นสวรรค์ประทานนั้น เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้หรือไม่?”
ได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาว่า “ใช่ ข้าถูกกระตุ้นหลังทานบะหมี่รสไก่เผ็ด”
“บะหมี่รสไก่เผ็ด?” หลิงจิ่งพยักหน้าอย่างสงสัย แล้วโค้งคำนับ “เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ชี้แนะขอรับ”
บังเอิญว่าคราวนี้เขาซื้อบะหมี่รสไก่เผ็ดมาด้วย หรือจะลองชิมมันดีล่ะ?
“หามิได้” ว่าแล้วว่านเทียนซิงก็เดินไปยังตู้เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ และเริ่มเลือกซื้อของ
เฟิงหยวนหนิงได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน ก็เงยหน้าขึ้นมองพวกเขาด้วยความสงสัย ถูกบะหมี่รสไก่เผ็ดกระตุ้นจนการฝึกก้าวหน้าอย่างนั้นหรือ?
เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าบะหมี่รสไก่เผ็ดจะเจ๋งถึงขนาดนี้?
หากบะหมี่ถ้วยในโรงแรมสามารถทำให้ผู้คนสามารถทะลวงขั้นการฝึกได้ แล้วที่เธอบอกว่าไม่สามารถช่วยหญิงสาวซ่อมแซมเส้นลมปราณที่เสียหาย ใครไหนเล่าจะเชื่อเธออีก
แต่ช่างเถอะ ถูกเข้าใจผิดก็ช่างปะไร อธิบายไปก็ไม่มีใครเชื่อ แล้วเธอจะทำอะไรได้?
เพราะสิ่งที่ยากที่สุดในโลกก็คือการเปลี่ยนความคิดของคน
ย้อนกลับไปราวสิบนาทีก่อนหน้านี้
ว่านเทียนซิงได้รับบะหมี่รสไก่เผ็ดมาจากเฟิงหยวนหนิง
เขาทำตามวิธีปรุงบะหมี่ที่ได้รับข้อมูลมา โดยเริ่มจากเทน้ำร้อนใส่ลงไปในถ้วยบะหมี่ จากนั้นก็ถือถ้วยบะหมี่ไปที่ห้องน้ำ เทน้ำออกให้หมด แล้วกลับมานั่งที่โซฟา ก่อนจะใส่ซองปรุงรสลงไปคลุกเคล้า
ไม่นานบะหมี่ถ้วยนี้ก็พร้อมรับประทาน เขาสูดดมกลิ่นหอมฉุนของบะหมี่ตรงหน้า
ถึงแม้ว่าบะหมี่ถ้วยนี้จะไม่เหมือนกับที่เถ้าแก่ทาน ทว่าน้ำเปล่าในโรงแรมยังอร่อยขนาดนั้น แล้วบะหมี่ถ้วยนี้จะไม่อร่อยได้อย่างไร?
เขาไม่คิดสงสัยในรสชาติของบะหมี่ถ้วยนี้เลย จากนั้นจึงตักเส้นบะหมี่ใส่เข้าปากด้วยความคาดหวัง
อืม… กินคำแรกรู้สึกหวานนิด ๆ แต่ไม่นานก็มีความเผ็ดร้อนตามมาติด ๆ
เขารู้สึกว่าลิ้นของตัวเองถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจนชาไปหมดทั้งปาก ราวกับว่าถูกวางยาพิษ
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ รสชาติแบบนี้กลับไม่ทำให้เขารู้สึกขยะแขยง ในทางกลับกันมันทำให้เขาสดชื่นและติดใจยิ่งขึ้นไปอีก
อาหารรสจัดแบบนี้ เขาเพิ่งเคยกินเป็นครั้งแรกในชีวิต จินตนาการไม่ออกเลยว่าบนโลกนี้จะมีอาหารเผ็ดร้อนขนาดนี้อยู่ด้วย
เขายังคงกินต่อไปเรื่อย ๆ คำแล้วคำเล่า
ยิ่งกินเข้าไปมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเผ็ดร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เผ็ดจนหน้าซีดเหงื่อท่วมตัว เผ็ดจนรู้สึกเหมือนร่างกายจะลุกเป็นไฟ เผ็ดจนสมองเหมือนจะระเบิด และเห็นแสงสว่างวาบไปหมด
บะหมี่ถ้วยนี้เหมือนกับเปลวเพลิงที่เผาผลาญเขาอยู่ภายใน สำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้นและการผจญภัยอย่างเขาแล้ว บะหมี่ตรงหน้าถือว่าเป็นบะหมี่ที่เยี่ยมยอดมาก
เขาหยุดกินมันไม่ได้จริง ๆ
ระหว่างที่กำลังกินอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีกำแพงภายในตัวพังทลายลง และเขาก็สามารถก้าวเข้าสู่ขั้นสวรรค์ประทานได้ในทันที
ว่านเทียนซิงตะลึงงัน
นี่กำลังฝันไปหรือเปล่า?
เขาแค่ทานของเผ็ดร้อนก็สามารถทะลุขั้นสวรรค์ประทานได้เลยหรือ?
ขั้นสวรรค์ประทานเป็นกำแพงที่ขวางกั้นผู้คนทั่วหล้า เขาไม่เคยคาดหวังว่าตัวเองจะเป็นยอดฝีมือขั้นสวรรค์ประทานเลยด้วยซ้ำ
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจนรับมือไม่ทัน หลังจากที่เขากินบะหมี่ด้วยหัวสมองที่ว่างเปล่าจนหมด เขาก็รู้สึกว่าท้องปวดแสบปวดร้อนมาก ปากกับลิ้นก็รู้สึกชา
พอสติกลับคืนมา เขาก็รีบวิ่งออกไปข้างนอก และลงมาที่ล็อบบี้ของโรงแรม ก่อนเห็นเถ้าแก่กำลังยุ่งอยู่กับการลากนิ้วไปมาบนแผ่นสีเงิน
เดิมทีตั้งใจจะเข้าไปขอบคุณเถ้าแก่ แต่พอลงมาถึง เขาก็ไม่สามารถเสาะหาถ้อยคำที่เหมาะสม รู้สึกคล้ายกับว่าคำพูดใด ๆ ก็ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณในใจออกมาได้
ช่างเถอะ พูดไปก็เท่านั้น คงต้องใช้การกระทำตอบแทนบุญคุณในภายหลัง
ในเมื่อท่านผู้วิเศษตั้งใจจะเปิดโรงแรมที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้คน ก็คงอยากจะให้มีคนได้รับประโยชน์จากที่นี่มากขึ้น ในอนาคตเขาคงต้องช่วยพูดถึงโรงแรมของเถ้าแก่กับคนอื่นเยอะ ๆ
ว่านเทียนซิงมองเถ้าแก่อย่างลึกซึ้ง แล้วเก็บซ่อนความรู้สึกขอบคุณเอาไว้ในใจ
จากนั้นเขาก็เดินไปยังตู้เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ และยืนรออยู่ด้านข้าง
สุดท้ายแล้วเขาก็มาช้าไปหนึ่งก้าว เพราะชายชุดดำคนนั้นมาซื้อของก่อนแล้ว
เพียงแค่แวบเดียว เขาก็ดูออกเลยว่าชายชุดดำคนนี้เป็นศิษย์ของสำนักขุนเขากระบี่ ซึ่งเห็นได้จากป้ายชื่อและดาบที่ชายคนนี้พกติดตัวมา
เขาไม่ได้ตั้งใจจะไปคบค้าสมาคมกับศิษย์ของสำนักขุนเขากระบี่ เพราะศิษย์ของสำนักใหญ่เหล่านี้มักจะหยิ่งผยอง ไม่ค่อยน่าคบหาด้วย
โดยไม่คาดคิด หลังชายชุดดำคนนี้ซื้อของเสร็จและเดินจากไป ว่านเทียนซิงกำลังจะเดินไปยังเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ เขาก็ได้ยินชายชุดดำคนนั้นถามขึ้นมาว่า “ขออนุญาตถามสักนิด ที่ท่านสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นสวรรค์ประทานนั้น เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้หรือไม่?”
ถึงแม้จะไม่ตั้งใจจะคบค้าสมาคมกับคนคนนี้ แต่ว่านเทียนซิงก็ยินดีที่จะช่วยโฆษณาให้กับเถ้าแก่ เขาจึงบอกไปตามตรงว่า “ใช่ ข้าถูกกระตุ้นหลังทานบะหมี่รสไก่เผ็ด”
พอชายชุดดำได้ยินเหตุผลแล้วก็ขอบคุณ จากนั้นเดินจากไปด้วยท่าทางดีใจ
รับฟังบทสนทนาของทั้งสองคน เฟิงหยวนหนิงอดไม่ได้ที่จะถามระบบในใจว่า “ระบบ อาหารพวกนี้ช่วยปรับปรุงการฝึกยุทธได้จริง ๆ เหรอ?”
ระบบตอบกลับมาด้วยเสียงสังเคราะห์ที่เหมือนเครื่องจักรว่า “ไม่ใช่ แต่หากทานในปริมาณมาก ก็จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากอาหารเหล่านี้ผ่านการเสริมพลังด้วยเวทมนตร์ ทำให้มีปริมาณปราณวิญญาณอยู่เล็กน้อย”
เฟิงหยวนหนิงจึงเข้าใจได้ทันที
ดูเหมือนว่าการทะลวงขั้นของนักดาบผู้นี้จะเป็นกรณีพิเศษ
อาจเป็นเพราะบะหมี่รสไก่เผ็ดมีความเผ็ดมากเกินไป กระทั่งเขาทนไม่ไหว และได้รับการกระตุ้นอย่างรุนแรงจนทะลวงขั้นขึ้นไปได้ทันที
คนอื่น ๆ ที่กินบะหมี่รสนี้อาจจะไม่ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน
เฟิงหยวนหนิงไขข้อสงสัยในใจแล้ว เธอจึงเปิดหน้าจอระบบขึ้นมาดู แต่ปรากฏว่า แม้จะมีลูกค้ามาซื้อของไป ข้อมูลของภารกิจก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เงื่อนไขการอัปเกรดโรงแรม: รับรองแขกทั้งหมด 50 คน (3/50) และทำภารกิจให้สำเร็จ 3 ภารกิจ (1/3)
ภารกิจปัจจุบัน: รับรองแขก 15 คน (0/15) ปลดล็อกเอฟเฟกต์พิเศษ: ทำความสะอาดอัตโนมัติ
ดูเหมือนเธอจะเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า “รับรองแขก” แล้ว
ปรากฏว่าแขกที่เข้าพักไปแล้วจะไม่สร้างประโยชน์ใดแก่เธออีก แขกที่รับรองเข้าพักจะไม่สามารถนับซ้ำได้ เธอต้องหาลูกค้าหน้าใหม่ ๆ เข้ามาใช้บริการโรงแรมให้มากขึ้น
และตอนนี้ห้องพักในโรงแรมก็เต็มหมดแล้ว คงต้องหวังพึ่งเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติให้ทำงานหนักแล้วล่ะ
หลังนักดาบว่านเทียนซิงซื้อของเสร็จแล้ว เธอก็รีบใช้ระบบจัดการโรงแรมย้ายเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติไปไว้ด้านนอกโรงแรม ซึ่งวางไว้บริเวณซุ้มประตูทางเข้า
การทำแบบนี้จะได้ไม่ทำให้ล็อบบี้กลายเป็นตลาดที่วุ่นวาย และยังทำให้คนที่เดินผ่านไปมาเห็นสินค้าที่ขายได้ชัดเจนขึ้นด้วย
เมื่อตั้งค่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็กลับไปเล่นเกมในแท็บเล็ตต่อ
แท็บเล็ตเครื่องนี้เธอเอาติดตัวมาด้วยตอนที่เดินทางข้ามมิติ เกมก็โหลดมาล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว นอกจากแท็บเล็ตเครื่องนี้ เธอยังมีโทรศัพท์มือถือและโน้ตบุ๊กมาด้วย
ส่วนหนังกับซีรีส์ เธอไม่ได้ดาวน์โหลดมาเก็บไว้เลยสักเรื่อง
ประการแรก ก่อนการเดินทางข้ามมิติ เธอมีเวลาที่จำกัดมาก และไม่มีเวลาเพียงพอที่จะดาวน์โหลดซีรีส์หรือหนัง แม้ว่าจะดาวน์โหลดได้สำเร็จ ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถดูได้อย่างราบรื่นหรือไม่
ประการที่สอง โรงแรมอะไรจะไม่มีทีวีเลย? เธอคิดว่าอีกไม่นานก็จะมีซีรีส์หรือหนังให้ดูอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นแบบนั้น แล้วทำไมต้องเสียเวลาไปดาวน์โหลดอีก?
เกมที่เธอกำลังเล่นเป็นเกมจำลองการบริหารจัดการที่เล่นคนเดียว โดยมีเนื้อหาหลักคือการสร้างหมู่บ้านผจญภัย เพื่อดึงดูดเหล่าวีรบุรุษให้เข้ามาใช้บริการในหมู่บ้าน ซึ่งก็ถือว่าสนุกดี
ตอนนี้เธอไม่มีอะไรต้องจัดการ ห้องพักเต็มหมดแล้ว เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติก็เปลี่ยนทำเลเสร็จเรียบร้อย เธอเลยต้องเล่นเกมเพื่อฆ่าเวลาไปก่อน ไม่งั้นจะให้มานั่งเฉย ๆ อยู่หลังเคาน์เตอร์ตลอดเวลาหรือไง?
…
หลิงจิ่งสาวเท้าอย่างเร่งรีบกลับขึ้นไปยังชั้นสองและเข้าไปในห้อง 203
เขานำของกินที่ซื้อมาทั้งหมดวางกองลงบนโต๊ะกลาง ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หม้อไฟสำเร็จรูป มันฝรั่งทอด ลูกอม ไส้กรอกแฮม ช็อกโกแลต เนื้อแดดเดียว ล่าเถียว น้ำส้ม โยเกิร์ตพีชเหลือง และชานม
ซ่งอวี้หลวนตกใจเมื่อได้เห็น “เหตุใดจึงซื้อมามากมายขนาดนี้?”
“ไม่มากหรอก ข้าซื้อมาแค่บางส่วนเท่านั้น”
หลิงจิ่งเริ่มต้นด้วยการนำบะหมี่รสไก่เผ็ดไปใส่น้ำ จากนั้นก็ฉีกซองบรรจุภัณฑ์ของหม้อไฟสำเร็จรูป แล้วทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้ เทเครื่องปรุงต่าง ๆ ลงไปใส่ให้เรียบร้อย
ต่อมา เขาใช้กระบอกไม้ไผ่กดน้ำจากตู้มาเทใส่กล่องด้านนอกและด้านในของหม้อไฟสำเร็จรูป จากนั้นปิดฝาให้สนิท และวางลงบนโต๊ะกลาง
หลังจากจัดการกับหม้อไฟสำเร็จรูป เขาเลือกบะหมี่อีกสองถ้วยที่มีรสชาติแตกต่างกันเพื่อนำไปใส่น้ำร้อน แล้วนำมาวางไว้ข้าง ๆ หม้อไฟสำเร็จรูปและบะหมี่รสไก่เผ็ด
ซ่งอวี้หลวน “…”
กินเยอะขนาดนี้ในคราวเดียว ท่านเป็นคนตะกละตะกลามหรืออย่างไร?
ซ่งอวี้หลวนเบ้ปากใส่เขาไปหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ก่อนหน้ายังปฏิเสธที่จะเข้ามาในโรงแรม แต่ดูตอนนี้สิ กินเก่งกว่าข้าเสียอีก”
หลิงจิ่งนั่งลงบนโซฟาแล้วเริ่มพูดเสียงหวาน “ข้าซื้อมาให้เจ้าทาน เพราะเห็นว่าเจ้าชอบต่างหากล่ะ”
ซ่งอวี้หลวนจ้องเขาเขม็งแล้วพูดว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ท่านก็อย่าแย่งกินแล้วกัน”
เห็นอยู่ทนโท่ว่าท่านต่างหากที่ชอบ
หลิงจิ่งพูดด้วยยิ้มอ่อนโยน “ศิษย์น้อง กระเพาะเจ้าเล็กนิดเดียว กินได้ไม่มากหรอก เอาเป็นว่าข้าช่วยเจ้ากินก็แล้วกัน ข้าไม่กลัวท้องแตกหรอกนะ เพราะข้าใช้กำลังภายในแก้ไขได้ แบบนี้เจ้าก็จะได้ลองชิมหลาย ๆ อย่าง ข้าจะรับผิดชอบกินส่วนที่เหลือให้หมดเอง จะได้ไม่สิ้นเปลือง”
ซ่งอวี้หลวน “…”
เห็นได้ชัดว่าท่านอยากกินมันเอง แต่กลับเอาคนอื่นมาเป็นข้ออ้าง
หากซ่งอวี้หลวนเป็นชาวเน็ตยุคใหม่ ตอนนี้คงพูดออกมาแล้วว่า “ไม่เคยเห็นคนหน้าด้านขนาดนี้มาก่อน”
สิ้นเสียงของหลิงจิ่ง เขาฉีกซองช็อกโกแลตแล้วหักชิ้นหนึ่งโยนใส่เข้าปาก
ซ่งอวี้หลวน “…”
ไหนบอกจะให้ข้าชิมก่อนไง?
หลิงจิ่งลิ้มรสชาติของช็อกโกแลตพลางหลับตาลง “ศิษย์น้อง ช็อกโกแลตอร่อยจริง ๆ เจ้าลองชิมดูสิ”
ช็อกโกแลตชิ้นนี้มีรสสัมผัสเนียนนุ่ม ละลายในปาก หวานกว่าลูกกวาดที่เขาเคยกินหลายเท่าตัว แม้แต่เขาที่ไม่ชอบทานของหวาน ก็ยังถูกช็อกโกแลตชิ้นนี้เอาชนะใจ
ซ่งอวี้หลวนหมดคำจะพูด “…”
ตัวเองออกปากว่าจะกินส่วนที่เหลือ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเธอต้องกินส่วนที่เหลือจากเขา
นี่เขายังเป็นศิษย์พี่ชายที่ให้ความสำคัญกับเธอเป็นคนแรกเสมอมาคนนั้นหรือเปล่า? ไม่คิดเลยว่าแค่ของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ จะทำให้เขาเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้
หลิงจิ่งแบ่งช็อกโกแลตอีกคำใส่ปากแล้วพูดว่า “เกือบลืมบอกเจ้าไปเลย เจ้ายังจำบุรุษที่เข้ามาพักเป็นคนที่สามได้หรือไม่? เขาเพียงแค่กินบะหมี่รสไก่เผ็ด ก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นสวรรค์ประทาน มาเถอะ บางทีปัญหาของเจ้าอาจมีทางแก้ไขก็ได้”
“ต้องตกใจขนาดนั้นเลยหรือ?” ซ่งอวี้หลวนตอบด้วยท่าทีปกติดังเดิม “ข้าคาดการณ์ไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์วิเศษใด ๆ เกิดขึ้นในโรงแรมของท่านปรมาจารย์ ก็ล้วนแล้วสมเหตุสมผล”
“ว่าแต่ท่านเถอะ ไหนท่านบอกว่าจะให้ข้าชิมก่อน?” สิ้นเสียง ซ่งอวี้หลวนจ้องตาเขม็งพลางดึงหูของหลิงจิ่ง “พูดอีกอย่าง ทำอีกอย่าง ท่านยังเห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่?”
“ศิษย์น้อง ข้าผิดไปแล้ว! ข้ากลัวว่าเจ้าอาจจะไม่ชอบ จึงลองชิมให้ก่อน”
“ยังจะมาแก้ตัวอีกเหรอ?!” ซ่งอวี้หลวนออกแรงดึงหูของเขาแรงขึ้น
หลิงจิ่งฉวยโอกาสแบ่งช็อกโกแลตชิ้นหนึ่ง แล้วยัดใส่เข้าไปในปากซ่งอวี้หลวน
ทันใดนั้นดวงตาของซ่งอวี้หลวนก็เบิกกว้าง
บนโลกนี้จะมีอาหารเลิศรสเช่นนี้ได้อย่างไร? หวานอร่อยจนทำให้เธอลืมความขุ่นเคืองเสียสนิท “หากบะหมี่รสไก่เผ็ดช่วยให้สามารถทะลวงขั้นได้ เหตุใดท่านไม่รีบกินมันเล่า?”
ไม่นานหลังจากนั้น
หลิงจิ่งน้ำตาไหลพรากเพราะความเผ็ดร้อนของบะหมี่รสไก่เผ็ด “ไม่ไหวแล้ว เผ็ดเกินไป”
ซ่งอวี้หลวนให้กำลังใจเขา “หากต้องการเก่งกาจยิ่งขึ้น ก็ต้องอดทนกับความลำบาก… กับความเผ็ดให้ได้สิ?”
ส่วนเธอไม่กลัวอาหารรสเผ็ดเลย จึงฉีกล่าเถียวซองหนึ่งมาลองกิน
อื้อฮือ อร่อยมากจริง ๆ!
ล่าเถียวนี้เคี้ยวหนึบหนับ หวานมันกำลังดี ไม่เลี่ยนเกินไป มีรสเค็มนิด ๆ และเผ็ดร้อน มีฤทธิ์กระตุ้นที่แปลกใหม่ ซึ่งทำให้น้ำลายสอ
หลิงจิ่งกินต่ออีกสักพัก ทว่ามันเผ็ดมากจนดวงตาแดงก่ำและปากบวมเจ่อ “กินต่อไม่ไหวแล้ว มันเผ็ดเกินไป”
ซ่งอวี้หลวนยังคงให้กำลังใจเขาต่อ “ท่านต้องเข้าใจเพียรพยายามของท่านผู้วิเศษ นางจงใจทำให้อาหารชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษอย่างแน่นอน เพราะเชื่อว่าต้องผ่านความยากลำบากจึงจะประสบความสำเร็จ ท่านไม่อยากผ่านการทดสอบของท่านผู้วิเศษ และปรับปรุงฐานการฝึกฝนให้ดียิ่งขึ้นหรือ?”
หลิงจิ่ง “…”
ขณะที่จ้องมองบะหมี่รสไก่เผ็ด เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในนรกโลกันตร์ เหตุใดจึงมีอาหารที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่บนโลกด้วย?