บทที่ 3 รสเผ็ดร้อนที่ปลอบประโลมจิตใจ
บทที่ 3 รสเผ็ดร้อนที่ปลอบประโลมจิตใจ
หลังจากที่ว่านเทียนซิงหยิบกุญแจห้องจากเคาน์เตอร์แล้วเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ระบบของโรงแรมก็ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังเฟิงหยวนหนิงว่า “ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่ทำภารกิจสำเร็จ คุณได้รับเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติหนึ่งเครื่อง กรุณาดำเนินการตั้งค่าให้เรียบร้อยโดยเร็ว”
“คุณได้รับภารกิจใหม่ กรุณาทำการตรวจสอบ”
เฟิงหยวนหนิงรู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ภารกิจกำหนดให้ต้องรับแขกเข้าพักสามรายภายในสามวัน แต่ตอนนี้ผ่านไปเพียงวันเดียว เธอก็สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้าพักได้ถึงสามคนแล้ว ดังนั้นภารกิจจึงถือว่าสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
เธอรีบเปิดหน้าจอระบบเสมือนจริงขึ้นมาทันที ข้อมูลส่วนตัวของเธอในปัจจุบันมีดังนี้
ผู้เล่น: เฟิงหยวนหนิง
ระดับ: คนธรรมดาสามัญ
ยอดคงเหลือในบัญชี: 3 ทอง 5 เงิน และ 0 ทองแดง (หน่วยการนับ: ตำลึง)
ชื่อโรงแรม: โรงแรมเซียนหยวน (ชั้น 1)
เงื่อนไขการอัปเกรดโรงแรม: รับรองแขกทั้งหมด 50 คน (3/50) และทำภารกิจให้สำเร็จ 3 ภารกิจ (1/3)
เอฟเฟกต์พิเศษของโรงแรม: บาเรียอยู่ยงคงกระพัน (ในบริเวณโรงแรม เจ้าของและโรงแรมจะได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์)
ภารกิจปัจจุบัน: รับรองแขก 15 คน (0/15) ปลดล็อกเอฟเฟกต์พิเศษ: ทำความสะอาดอัตโนมัติ
เฟิงหยวนหนิงเหลือบมองข้อมูลส่วนตัวของเธอด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเข้าสู่หน้าจัดการระบบของโรงแรมเพื่อตั้งค่าเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติที่เพิ่งได้รับมา
ชั้นที่หนึ่งและสองของตู้จะขายบะหมี่และหม้อไฟสำเร็จรูป ชั้นที่สามขายมันฝรั่งทอด ชั้นที่สี่ขายขนมขบเคี้ยวชนิดอื่น ๆ ชั้นที่ห้าขายของใช้ทั่วไป ชั้นที่หกขายเครื่องดื่มบรรจุกล่อง และชั้นที่เจ็ดขายเครื่องดื่มบรรจุขวด
ตามที่ระบบได้แนะนำไว้ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ผลิตขึ้นมาในยุคเทคโนโลยี แต่ได้รับการเสริมพลังด้วยเวทมนตร์ ทำให้เป็นมันผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อมีการสั่งซื้อจากเครื่องสินค้าอัตโนมัติ ระบบจะหักค่าใช้จ่ายไป 80% โดยอัตโนมัติ ทำให้เธอได้รับกำไรเพียง 20% เท่านั้น
เพื่อให้สามารถทำภารกิจรับลูกค้าให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้มากขึ้น เฟิงหยวนหนิงจึงไม่ได้ปรับราคาขายปลีกให้สูงขึ้น แต่เลือกที่จะตั้งราคาต่ำสุดตามที่ระบบกำหนดไว้
หลังจากตั้งค่าเสร็จสิ้น เฟิงหยวนหนิงก็ใช้ระบบจัดการโรงแรมย้ายเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติไปวางไว้ที่ล็อบบี้
เนื่องจากราคาขายปลีกของสินค้าในเครื่องขายสินค้าอัตโนมัตินั้นต่ำมาก แม้แต่คนยากจนทั่วไปก็สามารถซื้อได้ เธอจึงรอคอยที่จะดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้ามากขึ้น
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วยละ 5 เหวิน มันฝรั่งทอดหนึ่งซอง 8 เหวิน กระดาษชำระ 1 ม้วน 3 เหวิน แปรงสีฟัน 1 ด้าม 3 เหวิน ผ้าอนามัย 1 แพ็ก 10 เหวิน ส่วนหม้อไฟสำเร็จรูป นาฬิกาปลุก และไฟฉายจะแพงกว่าเล็กน้อย อยู่ที่ประมาณหลายสิบเหวิน
ด้วยราคาที่ต่ำขนาดนี้ อาจจะมีลูกค้าบางคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ ลองซื้อสินค้าจากที่นี่ไปขายต่อ เพื่อเป็นการโปรโมทโรงแรมทางอ้อม และทำให้ผู้คนมาใช้บริการโรงแรมแห่งนี้มากขึ้น
นี่เป็นการเลียนแบบวิธีการที่อินฟลูเอนเซอร์สมัยใหม่โดยใช้เงินทุนเพื่อดึงดูดผู้ติดตาม แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วจะมีการพิสูจน์ได้ว่า ผู้ติดตามที่ได้มาจากผลประโยชน์นั้นมักจะหายไปได้ง่าย แต่เธอก็เชื่อมั่นในคุณภาพของโรงแรมของเธอ
ขอแค่มีคนจำนวนมากขึ้นที่จะยอมทดลองใช้บริการ และละทิ้งความกังวลที่มีต่อโรงแรม พวกเขาก็จะตกหลุมรักโรงแรมอย่างแน่นอน จากนั้นโรงแรมก็จะสามารถเปิดตลาดในพื้นที่นี้ได้อย่างรวดเร็ว และได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับหนึ่ง
เธอไม่ต้องการรอให้ลูกค้าค่อย ๆ มาค้นพบว่าโรงแรมดีแค่ไหน เพราะหากเป็นแบบนั้น เธอจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหนกว่าจะอัปเกรดโรงแรมให้ดีได้ขนาดนั้น? ในเมื่อเธอก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทองอยู่แล้ว ทั้งเรื่องอาหารและที่พักอาศัยก็ล้วนอยู่ในโรงแรม ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย ไม่ว่าจะได้กำไรมากน้อยแค่ไหนก็ไม่สำคัญ
ตอนนี้เธอให้ความสำคัญกับการอัปเกรดโรงแรมให้เร็วที่สุด เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น มากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปที่การทำกำไร
อีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า เธอจะกลับมาปรับเปลี่ยนสินค้าและราคาในเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติอีกครั้ง ตามสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
เธอแลกเงิน 1 ตำลึงเป็นเงินทองแดง 1,000 เหรียญในระบบ จากนั้นกดเงินออกมา 15 เหรียญเพื่อซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 3 ถ้วยจากเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ ได้แก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเนื้อวัวน้ำมันพริกเผา รสไก่เผ็ด และรสเนื้อตุ๋น
เนื่องจากเคยสัญญาว่าจะแจกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้แขก เธอจึงต้องทำตามสัญญา
ก่อนหน้านี้เธอซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซอง แต่ตอนนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องล้างชาม เธอจึงเลือกซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยแทน
หลังจากทำการซื้อเสร็จสิ้น เธอเข้าไปแก้ไขป้ายไฟวิ่งด้านนอกโรงแรมในระบบจัดการโรงแรม โดยเปลี่ยนข้อความเป็น “ห้องพักเต็มทุกห้อง ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านมาซื้อสินค้าในโรงแรมได้”
หลังจากแก้ไขข้อความเสร็จแล้ว เธอก็ปิดประตูกระจก แล้วถือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสามถ้วยขึ้นไปยังชั้นสอง และเคาะประตูห้อง 202
แต่ไม่มีใครตอบรับ เธอจึงเดินไปที่ห้อง 203 และเคาะประตู
คราวนี้มีคนเดินมาเปิดประตู
คนที่เปิดประตูคือสาวชุดชมพูคนเดิม เมื่อเห็นเฟิงหยวนหนิง เธอก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย “เถ้าแก่ มาส่งบะหมี่เองเลยหรือเจ้าคะ? ห้องของข้าหันหน้าออกไปทางทิศใต้ รู้สึกร้อนอบอ้าวมาก เลยย้ายมาพักที่ห้องนี้แทน”
เฟิงหยวนหนิงพยักหน้าแล้วตอบว่า “เรื่องห้องร้อนเกินไป ตอนนี้ยังแก้ไขไม่ได้ ต้องรอไปก่อนนะ ตอนนี้มีบะหมี่ให้เลือกสามรสชาติ พวกท่านลองดูสิว่าชอบรสไหน?”
ตอนนี้โรงแรมยังไม่มีเครื่องปรับอากาศ ในช่วงฤดูร้อนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศก็ต้องร้อนเป็นธรรมดา
น่าเสียดายตอนที่เธอเดินทางข้ามมิติมา มันเป็นช่วงฤดูกาลที่ร้อนอบอ้าว
หญิงสาวชุดชมพูเชิญชวนอย่างกระตือรือร้นว่า “เถ้าแก่ ท่านเข้ามาคุยข้างในดีกว่าเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินที่เถ้าแก่พูด หญิงสาวชุดชมพูรู้สึกประหลาดใจมากที่ปัญหาอากาศร้อนสามารถแก้ไขได้ด้วยงั้นหรือ? ไม่น่าเชื่อว่าปัญหาอากาศร้อนจะแก้ไขได้ด้วย นางผู้นี้ช่างเป็นคนที่มีความสามารถเหลือเกิน ไม่สิ นางต้องเป็นเทพเซียนจากสวรรค์แน่ ๆ
เฟิงหยวนหนิงปฏิเสธคำเชิญชวน “ไม่ล่ะ แล้วพวกท่านต้องการบะหมี่รสชาติไหน?”
“เอาล่ะ เถ้าแก่ มีรสชาติที่ท่านเพิ่งกินไปเมื่อสักครู่นี้ไหม? ศิษย์พี่ ท่านเลิกดูตัวเองในกระจก แล้วมาเลือกรสชาติบะหมี่ได้แล้ว” หญิงสาวชุดชมพูหันไปเรียกศิษย์พี่ชายของเธอ
ชายหนุ่มชุดดำเดินออกมาจากห้องน้ำ ใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ
“ได้สิ” เฟิงหยวนหนิงส่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเนื้อวัวน้ำมันพริกเผาให้เธอ
หญิงสาวชุดชมพูรีบรับถ้วยบะหมี่แล้วส่งยิ้มให้เฟิงหยวนหนิง “ขอบคุณเจ้าค่ะเถ้าแก่ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่ชื่อแซ่อะไรหรือเจ้าคะ? ข้ามีนามว่าซ่งอวี้หลวน ส่วนศิษย์พี่ของข้านามว่าหลิงจิ่ง พวกเราทั้งคู่เป็นศิษย์ของสำนักขุนเขากระบี่ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากหุบเขาการแพทย์เท่าไหร่นัก”
เนื่องจากมั่นใจว่าตัวเองจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว เวลานี้ซ่งอวี้หลวนจึงหมดความกังวลและดูร่าเริงแจ่มใสขึ้นมาก
“เฟิงหยวนหนิง” เฟิงหยวนหนิงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ชายชุดดำนามว่าหลิงจิ่งเดินเข้ามาดูบะหมี่สำเร็จรูปที่เหลืออีกสองถ้วย แล้วเลือกบะหมี่รสเนื้อตุ๋น
เฟิงหยวนหนิงส่งบะหมี่สำเร็จรูปรสเนื้อตุ๋นให้เขา “ชั้นล่างมีเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ หากอยากได้สิ่งใดก็ซื้อเองได้เลย”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เถ้าแก่เฟิง ขอบคุณท่านมาก” ซ่งอวี้หลวนขอบคุณอย่างจริงใจ ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนมาก
เฟิงหยวนหนิงพยักหน้าแล้วเดินออกไป
ซ่งอวี้หลวนไม่ได้ปิดประตูทันที เธอมองตามเจ้าของโรงแรมไปที่ห้อง 204 ฝั่งตรงข้าม ที่ซึ่งเถ้าแก่โรงแรมกำลังนำบะหมี่รสไก่เผ็ดอีกถ้วยไปให้แก่ชายชุดเทา
เห็นได้ชัดว่าชายชุดเทาไม่ได้พูดคุยกับเถ้าแก่มากนัก หลังจากรับบะหมี่ไปก็ปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว
ซ่งอวี้หลวนลอบส่ายหัวเบา ๆ ในใจ ชายผู้นี้ช่างไม่รู้จักเอาใจเถ้าแก่เลย เสียดายโอกาสดี ๆ แบบนี้โดยไม่รู้ตัว
“เถ้าแก่กลับดี ๆ นะเจ้าคะ” ซ่งอวี้หลวนโบกมือลาและมองตามเถ้าแก่ที่เดินออกไปด้วยท่าทีเฉยเมย
เธอไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลยสักนิด ตัวตนของเถ้าแก่ผู้วิเศษสูงส่งขนาดไหน? การที่อีกฝ่ายไม่โต้ตอบกับเธอถือเป็นเรื่องปกติ วิธีที่ดีที่สุดคือการแสดงความจริงใจอย่างต่อเนื่อง
เธอปิดประตูแล้วหันกลับไปมอง ก็เห็นศิษย์พี่ชายหลิงจิ่งกำลังปรุงบะหมี่ก่อนแล้ว
เธอจึงรีบเปิดฝาบะหมี่ เติมซองปรุงรส แล้วไปกดน้ำร้อนใส่ถ้วย
หลังจากใส่น้ำร้อนลงไป เธอเดินไปหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟา วางถ้วยบะหมี่ลงบนโต๊ะกลาง แล้วเฝ้ารอ
โซฟาหนังให้ความรู้สึกเย็นสบาย แต่ก็มีความนุ่มนวล ทำให้ไม่อยากลุกไปไหนเลย
หลิงจิ่งนั่งลงบนโซฟาเช่นกัน แล้วอธิบายให้ซ่งอวี้หลวนฟังว่า “ศิษย์น้อง ความจริงแล้วข้าไม่ได้ไปส่องกระจก เพียงแค่ไปล้างหน้าล้างมือเท่านั้น เจ้าดูสิ”
ซ่งอวี้หลวนมองมือที่หลิงจิ่งยื่นมาให้ แล้วรู้สึกทั้งตกใจและรังเกียจ “ขาวขึ้นขนาดนี้เลยเหรอ? เช่นนั้นแปลว่าก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ต้องสกปรกมากขนาดไหนเนี่ย?”
พอเจ้าตัวนึกถึงตอนที่จับมือ และสัมผัสกับใบหน้าของชายหนุ่ม เธอพลันรู้สึกหงุดหงิดมาก “หลังทานบะหมี่แล้ว ท่านรีบไปอาบน้ำให้สะอาดเลยนะ ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าจะเข้าใกล้ข้าอีก!”
ด้วยความรู้สึกที่รังเกียจอย่างมาก เธอจึงลุกไปนั่งอีกฝั่งของโซฟา ก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปล้างมือด้วยสบู่เหลว
หลิงจิ่ง “…”
ความคับข้องใจ.jpg
ถูกศิษย์น้องที่รักดูแคลนเสียแล้ว
ซ่งอวี้หลวนล้างมือด้วยสบู่เหลว แต่กลับพบว่ามือของตัวเองก็สกปรกมากเช่นกัน มันมีคราบสกปรกเกาะติดมามากมาย
ในยุคสมัยก่อน คราบสกปรกเหล่านี้ล้างออกยาก ทำให้มือของเธอดูคล้ำลง แต่ด้วยสบู่เหลว เธอจึงขัดคราบสกปรกออกได้อย่างง่ายดาย
หลังจากล้างมือเสร็จ เมื่อเห็นมือของตัวเองที่ขาวราวกับหิมะ เธอถึงกับตกใจ มือของคนเราสามารถขาวได้ขนาดนี้เลยหรือ?
ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย แล้วจึงรีบล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้า
หลังจากล้างมือและล้างหน้าอย่างละเอียดแล้ว เธอก็มองดูตัวเองในกระจกอย่างตั้งใจ แล้วใช้หวีสางผมสักพัก ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ
หลิงจิ่งเหลือบมองเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นจ้องมองโดยไม่กะพริบตา คำเชยชมหลุดออกมาจากปากโดยไม่รู้ตัวว่า “ศิษย์น้อง เจ้างดงามยิ่งนัก!”
ซ่งอวี้หลวนเบิกตากว้าง “ก่อนหน้านี้ท่านคิดว่าข้าไม่สวยหรือ?”
หลิงจิ่งรีบแก้ตัวทันควัน “ก่อนหน้านี้ก็สวยแล้ว ตอนนี้ก็สวยเหมือนเดิม!”
ซ่งอวี้หลวนเหล่ตามองเขา แล้วนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะเปิดฝาภาชนะบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ทันใดนั้น กลิ่นหอมก็โชยเข้าจมูก ทั้งสองคนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับเผอเรอไปสนใจกลิ่นหอมนั้นแทน
หอมมาก ทำไมถึงหอมขนาดนี้? ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพลวงตาหรืออย่างไร แต่ครั้งนี้กลิ่นบะหมี่ดูเหมือนจะหอมกว่าครั้งก่อนมาก
ซ่งอวี้หลวนกลืนน้ำลายหลายอึก แล้วถือถ้วยบะหมี่ขึ้นมา ก่อนจะใช้ส้อมตักขึ้นมากินทันที
ฮึ่ม เผ็ดมาก รสชาติเข้มข้น แต่ก็... อร่อยมากเลย
เส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม น้ำซุปอบอวลด้วยกลิ่นหอมของต้นหอมและเนื้อวัว พร้อมกับความเผ็ดร้อนที่ทำให้รู้สึกสดชื่นไปถึงขั้วหัวใจ เป็นรสชาติแห่งความสุขที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
มีเพียงสิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือ เนื้อวัวในบะหมี่ถ้วยนี้น้อยเกินไป และรสชาติก็ไม่อร่อยเท่าเนื้อวัวสด
ถึงแม้ว่าภาพบนภาชนะบรรจุบะหมี่จะแสดงให้เห็นถึงเนื้อสัตว์และผักจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ซองปรุงรสภายในมีเพียงเนื้อแห้งและผักแห้งเพียงเล็กน้อย
ซ่งอวี้หลวนทานบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองเลย เธอเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาซดบะหมี่ตรงหน้า
น้ำซุปเข้มข้นทั้งหอมและเผ็ดร้อน มีน้ำมันสีแดงลอยอยู่ด้านบน อร่อยจนเธอพูดไม่ออก
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ทานอาหารรสจัด เธอทั้งตื่นเต้นและรู้สึกดีที่ได้ลิ้มลองรสชาติเผ็ดร้อน ซึ่งทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
เมื่อเห็นดังนั้น หลิงจิ่งจึงรีบยกถ้วยบะหมี่ของตัวเองขึ้นมากินบ้าง
หลังจากได้ชิมคำแรก เขาก็รีบกินบะหมี่ที่เหลืออย่างรวดเร็ว
เขาไม่เหมือนซ่งอวี้หลวนที่ไม่สามารถใช้กำลังภายใน ซ่งอวี้หลวนต้องเป่าเส้นบะหมี่ให้เย็นก่อนที่จะกิน แต่หลิงจิ่งไม่กลัวความร้อน เขาจึงก้มหน้าก้มตาซดบะหมี่คำใหญ่
ไม่นานนัก เขาก็กินบะหมี่หมดทั้งถ้วย ในขณะที่ซ่งอวี้หลวนยังกินไปได้เพียงครึ่งเดียว
หลิงจิ่งกระแอมเบา ๆ อย่างอดใจไม่ไหว เขารู้สึกว่าตัวเองยังกินบะหมี่ได้อีกหลายถ้วย “ศิษย์น้อง เดี๋ยวข้าจะลงไปชั้นล่างเพื่อดูว่าจะซื้อบะหมี่เพิ่มอีกได้ไหม เจ้าค่อย ๆ กินไป ขณะรอข้ากลับมา”
“อืม” ซ่งอวี้หลวนตอบอย่างคลุมเครือ ขณะที่ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่บะหมี่ถ้วยนั้น
หลิงจิ่งลุกขึ้นยืน เขาเปิดประตูแล้วเดินลงไปชั้นล่าง ก่อนพบว่าภายในห้องโถงมีตู้ที่ทำจากกระจกและเหล็กเพิ่มขึ้นมา
เขารีบเดินลงบันไดไปที่ตู้ แล้วพบว่าชั้นแรกและชั้นที่สองของตู้มีบะหมี่หลากหลายรสชาติวางเรียงรายอยู่
นอกจากบะหมี่แล้ว ในตู้ยังมีอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น หม้อไฟสำเร็จรูป มันฝรั่งทอด ไส้กรอกแฮม ช็อกโกแลต เนื้อแดดเดียว ขนมปังไส้แยม ล่าเถียว…
มีอาหารหลายอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร
แต่ในเมื่อบะหมี่รสชาติดีถึงขนาดนั้น อาหารจานอื่น ๆ ก็คงไม่ด้อยไปกว่ากัน
หลิงจิ่งอยากซื้ออาหารทุกอย่างในตู้เพื่อนำกลับไปที่ห้องและทำให้ศิษย์น้องหญิงประหลาดใจ
เขาหันไปมองเถ้าแก่ที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ เห็นเถ้าแก่กำลังจดจ่ออยู่กับแผ่นเงินแผ่นหนึ่ง ไม่รู้ว่าแผ่นเงินนั้นมีอะไรอยู่ ถึงได้ทำให้เธอสนใจขนาดนั้น
คนที่มีวิชาแก่กล้าย่อมไม่ใช่คนธรรมดาที่เราจะคาดเดาได้
หลิงจิ่งหยอดเหรียญเงินลงไปในช่องหยอดเหรียญ ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกที่เห็นเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ แต่เมื่อเข้าใกล้เครื่องในระยะสองฉื่อ เขาก็ได้รับข้อมูลบางอย่างเข้ามาในสมองโดยอัตโนมัติ จึงรู้วิธีการใช้งานและข้อมูลรายละเอียดของสินค้าในตู้
หากเขาหยอดเงินมากเกินไป หลังจากซื้อของเสร็จ เครื่องจะคืนเงินส่วนที่เกินมาพร้อมกับสินค้าโดยอัตโนมัติ
เขาเริ่มซื้อของจากเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีถุงใส่ของ เขาจึงต้องใช้เสื้อตัวเองใส่ของที่ซื้อมา
เมื่อซื้อของเสร็จแล้ว เขาหันไปเห็นว่านเทียนซิงยืนรออยู่ใกล้ ๆ
ว่านเทียนซิงหน้าแดงก่ำ ปากดูบวมนิดหน่อย และยังมีคราบน้ำมันติดอยู่ที่ริมฝีปาก คาดว่าคงจะถูกรสชาติบะหมี่ยั่วยวนจนอดใจไม่ไหว จึงลงมาซื้อบะหมี่เพิ่ม
หลิงจิ่งไม่รู้จักว่านเทียนซิง และไม่มีความคิดที่จะอยากทำความรู้จักด้วย เขาเพียงแค่อยากรีบกลับไปหาศิษย์น้องหญิงของเขาเท่านั้น
เขาเหลือบมองอีกฝ่ายเพียงแวบเดียว แล้วก็เบือนหน้าหนี เดินตรงไปยังบันได
แต่ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่ง จึงหยุดชะงักทันที
ผิดแล้ว! หากเขาจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้นักดาบผู้นี้ยังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นมานะสร้างเท่านั้น แต่ตอนนี้ เขากลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่แผ่มาจากผู้ฝึกยุทธขั้นสูง
ใช่แล้ว นักดาบผู้นี้ต้องทะลวงผ่านจากขั้นมานะสร้างไปสู่ขั้นสวรรค์ประทานแล้วแน่ ๆ
หลิงจิ่งมั่นใจในสายตาของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจารย์ของเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสวรรค์ประทาน เขาที่ได้พบเห็นผู้ฝึกยุทธขั้นสวรรค์ประทานมาบ่อยครั้ง แล้วจะมองผิดไปได้อย่างไร?
ระดับพลังยุทธถูกแบ่งออกเป็น: มานะสร้าง สวรรค์ประทาน ปราชญ์ลึกล้ำ บรรลุปริวรรต
ในยุทธภพปัจจุบัน ขั้นบรรลุปริวรรตกลายเป็นเพียงตำนานไปแล้ว ไม่มีใครสามารถทะลวงขอบเขตและก้าวขึ้นสู่การเป็นเซียนได้อีกเลย
ดังนั้น ผู้ฝึกวรยุทธขั้นปราชญ์ลึกล้ำจึงเป็นปรมาจารย์ที่สามารถปกครองดินแดนหนึ่งได้ ผู้ฝึกยุทธระดับนี้มีจำนวนน้อยมาก ทั่วทั้งยุทธภพมีปรมาจารย์ขั้นปราชญ์ลึกล้ำเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น
โดยทั่วไปแล้ว หากผู้ฝึกยุทธระดับปราชญ์ลึกล้ำไม่ออกมา ผู้ฝึกยุทธระดับสวรรค์ประทานก็เพียงพอที่จะครองยุทธภพได้
แต่เกณฑ์ที่จะก้าวข้ามจากขั้นมานะสร้างไปสู่ขั้นสวรรค์ประทานนั้นยากยิ่งนัก จนแทบจะปิดกั้นจอมยุทธขั้นมานะสร้างไปถึงเก้าส่วน
หลายคนฝึกฝนมาตลอดชีวิตก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่ขั้นสวรรค์ประทาน ดังนั้นการที่คนผู้นี้สามารถก้าวข้ามขั้นมาได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ ทำให้หลิงจิ่งอดที่จะสงสัยไม่ได้