บทที่ 13: ปากหวานเสียจริง
นางกำนัลที่ถือถ้วยยาเข้ามาในห้องบรรทมย่อตัวทำความเคารพผู้เป็นนายเหนือหัวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
“ลุกขึ้น”
เสียงที่ตอบรับนั้นเย็นชา ไม่มีร่องรอยของความอบอุ่นเลยสักนิด
แล้วนั่นก็ทำให้มู่ไป๋ไป่เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจด้วยซ้ำ
“ส่งยามาให้เรา”
นางกำนัลที่ได้ยินดังนั้นก็ทำตามคำสั่งโดยการวางถาดที่มีถ้วยยาขนาดใหญ่ลงบนโต๊ะด้านข้างพระแท่นบรรทม
ภายในถ้วยยามีน้ำสีดำค่อนไปทางเหลืองบรรจุอยู่ พร้อมกับมีควันสีขาวโชยออกมา
มู่เทียนฉงหยิบถ้วยยาขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าไปหาลูกสาวอย่างไม่เร่งรีบ
เมื่อเขาเดินไปถึงข้างเตียง เขาก็เห็นมู่ไป๋ไป่กำลังมองเขาตาแป๋ว
“ดื่มยาก่อนสิ”
คำพูดเรียบ ๆ เพียงประโยคเดียวมันก็ช่วยขจัดความกลัวการดื่มยาขม ๆ ของมู่ไป๋ไป่ออกไปได้โดยสิ้นเชิง
มู่เทียนฉงหยิบช้อนแล้วตักยาขึ้นมาเป่าเบา ๆ 1 ช้อน
แล้วภาพชายผู้เย็นชาไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้นซึ่งกำลังเอาใจใส่ใครบางคนอยู่ก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
ขันทีเหม่อมองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมเป็นคนป้อนองค์หญิง…”
“หุบปาก” ฮ่องเต้หนุ่มพูดขัดเสียงเรียบ
หลังจากพูดจบเขาก็ส่งช้อนยาไปที่ข้างปากเล็ก ๆ ให้นางได้ลิ้มรสยาในคำแรก
รสขมอันเป็นเอกลักษณ์ของยาจีนแพร่กระจายไปทั่วปากของเด็กหญิงอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอรู้สึกปากชา
แต่ยาช้อนที่ 2 ก็มาจ่ออยู่ที่ปากเรียบร้อยแล้ว เธอจึงจำใจกัดฟันดื่มมันเข้าไปอีกครั้ง
ขมชะมัด…
มู่ไป๋ไป่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะมองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาเว้าวอน “หม่อมฉันขอกินลูกกวาดด้วยได้หรือไม่เพคะ?”
ลูกกวาดอย่างนั้นหรือ?
มู่เทียนฉงขมวดคิ้วพลางมองไปยังขันทีที่อยู่ข้างกาย
อันกงกงที่ต้องเผชิญหน้ากับสายตาที่เฉียบแหลมแบบกะทันหัน มันจึงทำให้แขนขาของเขาสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
เขาไม่รอช้ารีบคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้นพร้อมกับกล่าวว่า “องค์หญิงหก ยาดีมีรสขม หมอหลวงได้กำชับเป็นพิเศษว่าห้ามใส่น้ำตาลลงในโอสถ องค์หญิงทรงอดทนหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ หลังจากดื่มยาหมดแล้ว กระหม่อมจะนำของว่างมาให้พระองค์เสวยล้างพระโอษฐ์”
คนตัวเล็กที่ได้ยินดังนั้นก็ได้แต่กลอกตามองบนและกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาที่รุนแรงของพ่อตัวเอง
หากเธอพยายามยืนกรานที่จะขอลูกกวาด พ่อของเธออาจจะโกรธ แล้วกินหัวเธอแทนที่จะให้พักผ่อนสบาย ๆ
พอคิดถึงสถานการณ์โดยรวมแล้ว เธอจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“เสด็จพ่อ ให้หม่อมฉันดื่มเองเถิดเพคะ”
การถูกทรมานอย่างช้า ๆ ในระยะยาวนั้นเลวร้ายกว่าการพ้นทุกข์ในระยะสั้น มู่ไป๋ไป่จึงรับถ้วยยามาแล้วกรอกใส่ปากดื่มในอึกเดียว
จากนั้นเธอก็ถอนหายใจเสียงดัง
“หม่อมฉันดื่มหมดแล้ว!”
ระหว่างที่พูดคนตัวเล็กก็คว่ำถ้วยที่อยู่ในมือลงโดยไม่มีของเหลวสักหยดไหลลงมา เพื่อบอกว่าเธอดื่มมันจนหมดเกลี้ยงไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว
ในตอนนั้นเอง ร่องรอยของความโล่งใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมู่เทียนฉง
เด็กน้อยวัย 4 ขวบคนนี้ดื่มยาง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
ในอดีต ยามที่มู่เชียนป่วย นางจะร้องงอแงไม่ยอมกินยา เว้นแต่ว่าเขาจะค่อย ๆ ตักยาป้อนนางทีละช้อน และถ้ายาร้อนนางก็จะโกรธเขา
แต่คนตัวเล็กตรงหน้านั้นกลับว่าง่ายเหมือนลูกแกะตัวน้อย อีกทั้งนางยังเป็นคนรู้ความ นางช่างแตกต่างจากนิสัยของมู่เชียนอย่างสิ้นเชิง
เพราะมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัว แววตาของฮ่องเต้หนุ่มจึงอ่อนลงในขณะที่เขาเอ่ยปากถามว่า “ไม่ขมหรือ?”
“ขมเพคะ แต่หม่อมฉันก็ต้องกินยาจะได้หายเร็ว ๆ ท่านพ่อเป็นถึงฮ่องเต้ที่ต้องคอยดูแลบริหารแว่นแคว้น ท่านมีเรื่องมากมายให้ต้องกังวลทุกวัน เพื่อให้ท่านพ่อจะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของหม่อมฉัน”
มู่ไป๋ไป่ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
แม้จะเป็นเพียงถ้อยคำไม่กี่ประโยค แต่คำพูดทุกคำนั้นกลับฟังดูรื่นหูยิ่งนัก
ตัวมู่เทียนฉงนั้นนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงแห่งนี้มานานหลายปี ไม่ว่าใครก็พยายามใช้กลอุบายเรียกร้องความสนใจจากเขา แม้ว่าเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้ามากเพียงใด แต่เขาก็ไม่อาจวางใจได้ทั้งนั้น มีเพียงเด็กน้อยวัย 4 ขวบคนนี้เท่านั้นที่บอกว่านางไม่อยากให้เขาต้องเป็นกังวลเพิ่มอีก มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเสื้อคลุมบุฝ้ายตัวเล็ก ๆ นั้นอบอุ่นแค่ไหน
ขณะนี้มู่ไป๋ไป่ยิ้มอ่อนหวานโดยมีลักยิ้มเล็ก ๆ อยู่ที่มุมปาก ทำให้ห้องบรรทมอันหนาวเหน็บของฮ่องเต้ดูสว่างไสว และห้องที่ทั้งมืดและหนาวเย็นก็ดูเหมือนว่าจะมีแสงแดดอันอบอุ่นส่องลงมา
“ปากหวานเสียจริง”
มู่เทียนฉงพูดพลางบีบแก้มป่อง ๆ ของลูกสาว
อันกงกงที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นว่าองค์หญิงหกนั้นมีวาจาไพเราะเพียงใด มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ และเขาก็เอ่ยปากเห็นด้วยกับนาง
เมื่อมู่เทียนฉงได้ยินเสียงของขันที เขาก็เหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “ทำไมเจ้ายังไม่ไปเอาของว่างมาอีกล่ะ?”
ส่งผลให้รอยยิ้มของอันกงกงหายไปทันที เขารีบทำความเคารพแล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไปจากห้องบรรทม
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้คนตัวเล็กยิ้มจนตาเปลี่ยนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว จากนั้นจึงหันไปยิ้มแย้มพูดกับผู้เป็นพ่อว่า “ขอบคุณท่านพ่อ”
แล้วรอยยิ้มที่สดใสของเด็กน้อยก็ทำให้คิ้วที่เคยขมวดแน่นของมู่เทียนฉงผ่อนคลายลง
แต่เมื่อเขามองดูแขนเล็ก ๆ ตรงหน้าที่ถูกห่อไว้ก็ผ้าพันแผลสีขาว คิ้วหนาก็ย่นเข้าหากันอีกครั้งในทันใด
อาการบาดเจ็บพวกนี้สาหัสยิ่งนัก เมื่อไหร่นางถึงจะหายกัน?
แต่พอคิดถึงว่าหลังจากนางหายแล้ว นางก็จะไปจากที่นี่ เขาก็รู้สึกอึดอัดในใจ
เขาจะชดเชยให้เด็กคนนี้อย่างไรดี?
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ เมื่อเห็นคนเป็นพ่อขมวดคิ้ว เธอก็คิดว่าตนเผลอทำอะไรผิดไปหรือไม่?
คนตัวเล็กจึงขมวดคิ้ว แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
ทันใดนั้นมู่เทียนฉงก็พูดขึ้นมาว่า “องค์หญิงใหญ่ถูกเราตามใจจนเสียคน ในเมื่อครั้งนี้นางกล้าทำร้ายเจ้าถึงขั้นนี้ ครั้งหน้านางก็กล้าปลิดชีวิตเจ้าเช่นกัน”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ฟังเช่นนั้นก็มีสีหน้าจริงจัง
“เราสั่งคนจับนางขังไว้ในคุกแล้ว เจ้าคิดจะลงโทษนางอย่างไร เจ้าบอกพ่อมาได้เลย พ่อจะระบายความโกรธแทนเจ้าเอง”
เด็กหญิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เธออยากให้มู่เชียนตายก็จริง แต่ในครั้งนี้เธอถูกแส้ฟาดเพียงแค่ 2 ครั้ง ไม่ว่าจะมองในมุมไหน มันก็ไม่หนักหนาพอที่จะส่งองค์หญิงใหญ่ไปตายได้อยู่ดี
แต่การลงโทษในแบบอื่น ๆ มันคงไม่กระทบกระเทือนอีกฝ่ายสักเท่าไหร่
มันคงจะเป็นการดีกว่าหากเธอไม่พูดอะไร แล้วอย่าได้แสดงเจตนาร้ายต่อคนอื่น
มู่เทียนฉงจับปอยผมที่ร่วงลงมาบังหน้าของคนตัวเล็กไปทัดไว้ที่หลังหูพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว พ่ออยู่นี่แล้ว เจ้าเองก็เป็นลูกสาวคนสำคัญของพ่อเช่นกัน”
มู่ไป๋ไป่นิ่งคิดอยู่สักพักก่อนจะพูดในสิ่งที่ขัดต่อเจตจำนงของเขา
“ท่านพ่อ แค่ท่านทำดีกับไป๋ไป่ ไป๋ไป่ก็ดีใจมากแล้ว เสด็จพี่คงจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ไป๋ไป่ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเพคะ”
คำตอบนั้นทำให้ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ดวงตาล้ำลึกของเขาดูคล้ายกับทะเลที่ไร้ก้นบึ้ง พร้อมกับแผ่ความหนาวเย็นออกมา
มีคนทำร้ายนาง แต่นางกลับบอกว่าไม่เก็บมาใส่ใจอย่างนั้นหรือ?
ในทางกลับกัน มู่เชียนที่อายุเพียง 10 ขวบก็คิดจะฆ่าพี่น้องของตัวเองแล้วยังกล้าโกหกต่อหน้าเขาอีก เขาไม่อาจวางใจปล่อยให้คนเช่นนี้ลอยนวลไปได้ มิฉะนั้นมันจะเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้ขึ้นอีก
เมื่อมู่ไป๋ไป่มองดูใบหน้าที่น่ากลัวของพ่อขี้หงุดหงิด เธอก็รู้สึกว่าแผนการของตนสำเร็จ
ในเวลาเดียวกัน อันกงกงได้กลับมาพร้อมกับขนม 1 ชิ้นและนำข่าวร้ายมาบอก
“ฝ่าบาท อัครมหาเสนาบดีมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
มู่ไป๋ไป่ได้ยินดังนั้นก็เม้มริมฝีปากทันที อัครมหาเสนาบดีเป็นพี่ชายของอดีตฮองเฮา ดังนั้นเขาจึงเป็นท่านลุงของมู่เชียน
ไม่ว่านางจะทำเรื่องเลวร้ายมากแค่ไหน แต่เบื้องหลังนางก็ยังมีขุนนางคนสำคัญของราชสำนักคอยหนุนหลังอยู่ ดังนั้นการปล่อยให้องค์หญิงหกที่ไม่เคยได้รับความโปรดปรานรับแส้ 2-3 ครั้ง มันคงไม่นับเป็นอะไรในสายตาของคนพวกนี้
“ไม่พบ”
ในตอนแรกคนตัวเล็กคาดเอาไว้ว่ามู่เทียนฉงจะออกไปพบอัครมหาเสนาบดี แต่เธอไม่คาดคิดว่าเขาจะตอบออกมาแบบนั้น
มู่ไป๋ไป่เหลือบมองพ่อของตัวเองด้วยสายตาเหลือเชื่อ
แต่ชายคนนั้นกลับทำเป็นไม่รับรู้อะไร แล้วหยิบจานขนมจากมือของอันกงกงมาตัดคำเล็ก ๆ ก่อนจะส่งไปที่ปากของบุตรสาว
มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อขนมมาจ่ออยู่ที่ปาก ปากเล็ก ๆ ของเธอก็เปิดโดยอัตโนมัติ
หลังจากที่เคี้ยวขนมในปากไปได้ 2-3 ครั้ง รสหวานก็คละคลุ้งไปทั่วปาก ขนมนี้ไม่ได้หวานเกินไป มันเป็นความหวานที่นุ่มละมุนพอดิบพอดี
เมื่อเด็กหญิงเห็นสีหน้าเย็นชาของคนที่ป้อนขนมให้ตน เธอก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “คิก ๆ ท่านพ่อ ท่านก็กินด้วยกันสิเพคะ มันอร่อยมาก”