ตอนที่ 12 ซูเฉียว
ตอนที่ 12 ซูเฉียว
เมื่อเวิ่นหยุนซีเห็นใบหน้าของเขาคนนั้นชัดเจน หนังศีรษะของเธอก็รู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าช็อต
ในขณะนั้น คำด่ามากมายวิ่งพล่านอยู่ในหัวของเธอ แต่เธอกลับพูดอะไรออกมาไม่ได้สักคำเดียว
ในหัวของเวิ่นหยุนซีเต็มไปด้วยภาพที่น่ากลัวมากมาย แต่ไม่มีภาพใดสยดสยองเท่ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ดวงตาขวาที่ว่างเปล่า จมูกที่ถูกขุดออกไปครึ่งหนึ่ง และรอยแผลที่ยาวจากริมฝีปากไปจนถึงโคนหู
“ฮ่อ ฮ่อ”
เขาคนนั้นก็ดูตกใจเช่นกัน เมื่อสติกลับคืนมา เขาโยนปลาที่ถืออยู่ในมือทิ้งทันที พร้อมใช้แขนซ้ายที่เหลือโบกไปมา ปากอ้าขู่
เวิ่นหยุนซีเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน ทั้งฟันที่ยังมีเศษเลือดและเนื้อปลาดิบติดอยู่ และลิ้นที่ขาดหายไปครึ่งหนึ่ง!!!
หลังจากความตกใจ ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาในหัวทันที
สัตว์ร้ายตัวไหนกันที่ทำเรื่องโหดเหี้ยมแบบนี้ได้!
เขาคนนั้นเหมือนจะรับรู้ถึงความโกรธของเวิ่นหยุนซี จึงส่งเสียงขู่แล้ววิ่งหนีไป
“อย่าพึ่งวิ่งหนี ข้าแค่อยากดูบาดแผลของเจ้า ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก อย่าวิ่งหนีสิ…”
เมื่อทั้งคู่วิ่งหนีไปไกล ฉินอวี้ถึงได้สติกลับมา เธอรีบยกตะกร้าและพาเสี่ยวเล่อตามไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ทั้งสี่คนกำลังไล่ตามกันในป่าไผ่
แม้เวิ่นหยุนซีจะไม่ช้า แต่เพราะเธอไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ป่าไผ่ ทำให้เธอไล่จับตัวคนข้างหน้าไม่ได้สักที
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ เจ้าได้ยินไหม!”
หรือว่าเขาจะเป็นปลาไหล ถึงได้ลื่นขนาดนี้!
ในขณะที่เธอเริ่มถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ และดูเหมือนจะไม่มีหวังที่จะจับเขาได้ เวิ่นหยุนซีก็เห็นเขาวิ่งออกจากป่าไผ่
เธอรีบวิ่งตามไป และเห็นกระท่อมไม้ไผ่สองหลังเรียงกัน ห่างกันเพียงไม่กี่เมตร มีรอยเท้าสดใหม่ปรากฏอยู่ตรงพื้นหน้าประตูกระท่อมหลังเล็ก
“ฮู้…”
เวิ่นหยุนซีนั่งลงหอบหายใจข้างประตูกระท่อมหลังเล็ก ไม่ได้รีบร้อนจะจับตัวเขา
จับเต่าลงหม้อแบบนี้ ไม่ต้องรีบหรอก
เธอเพิ่งนั่งลงได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง
“เจ้ามาถึง…”
เวิ่นหยุนซียังพูดไม่ทันจบก็หยุด เพราะคนที่มาไม่ใช่ฉินอวี้ แต่เป็นคนที่เธอไม่คุ้นเคยมากนักแต่กลับจดจำได้ดี
ทันทีที่เขาเห็นเธอ ก็หันหลังวิ่งหนีไป ทรงผมที่ประดับดอกไม้ของเขาสั่นไหวไม่หยุด
เวิ่นหยุนซีหัวเราะ
โธ่ วันนี้ข้าดวงดีอะไรขนาดนี้
นี่ไม่ใช่คนบ้าที่ชอบท่องบทกวีและทุบหน้าต่างหรือไง!
เวิ่นหยุนซีนวดขาเบาๆ และไม่ได้รีบวิ่งตาม
ไม่นานนัก คนที่เพิ่งวิ่งหนีไปก็ถูกฉินอวี้ผลักกลับมาตรงหน้าเธอ
เวิ่นหยุนซีดึงเขาขึ้นมา และปัดเศษใบไผ่ที่ติดอยู่บนตัวเขาออก
ส่วนมือที่ถูกมัดไว้ข้างหลังนั้น เธอแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
เมื่อเห็นชายคนนั้นยังคงยิ้มกว้างอยู่ เวิ่นหยุนซีก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความทุ่มเทของเขา
“พอเถอะ เจ้าเล่นมาทุบหน้าต่างบ้านข้าขนาดนี้ ก็อย่ามัวทำเป็นบ้าเลย มันน่าจะเหนื่อยอยู่นะ”
ชายคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพิจารณาเวิ่นหยุนซีและฉินอวี้อย่างละเอียด แล้วค่อย ๆ หุบยิ้มลง
“ช่วยแก้มัดให้หน่อย” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลและไพเราะเกินคาด
ฉินอวี้หันไปมองเวิ่นหยุนชี และเวิ่นหยุนชีก็พยักหน้า
"เวิ่นหยุนซี ฉินอวี้ เสี่ยวเล่อ แล้วเจ้าล่ะ?"
"ซูเฉียว"
"เฉียวเหมือนกับในชื่อของ 'ต้าเฉียวเสี่ยวเฉียว' ใช่ไหม?" เวิ่นหยุนซีมอง
ดอกไม้สีแดงบนหัวเขาและพยักหน้า "เป็นชื่อที่เหมาะสมกับตัวเขาจริง ๆ"
ซูเฉียวปล่อยผมของเขาลง ก่อนจะหันหลังเดินไปที่กระท่อมไม้ไผ่หลังใหญ่ “เป็นตัวเฉียวในคำว่า ภูเขาเฉียว”
ฉินอวี้มองไปรอบๆ แล้วถามว่า “แล้วคนนั้นล่ะ?”
เวิ่นหยุนซีชี้ไปที่กระท่อมไม้ไผ่เล็ก “อยู่ในนั้นหรอ? เดี๋ยวถามซูเฉียวดูก่อน”
ไม่นานนัก ประตูไม้ไผ่ก็เปิดออกจากข้างใน ชายหนุ่มหน้าตาดีราวๆ 20 ปี เดินออกมา เขาเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าธรรมดาทำจากผ้าหยาบ ท่วงท่าของเขาเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
เวิ่นหยุนซีเห็นว่าเขาไม่ได้คิดจะเชิญพวกเธอเข้าไปดื่มชา แต่ก็ไม่คิดอะไร เธอนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นทันที
“ทำไมเจ้าถึงแกล้งบ้า เพื่อเตือนพวกเรา ไม่ให้ไปทำงานนั้นล่ะ?”
ซูเฉียวไม่ได้นั่งลง และก็ไม่แปลกใจกับคำถามของเธอ เขาไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร เด็กสาวคนนี้ฉลาด บางทีนางอาจจะจัดการคนพวกนั้นได้
“ข้าถูกเนรเทศมาที่นี่เมื่อ 2 ปีก่อน เป็นนักโทษกลุ่มแรกของแคว้นหลานโจว ข้ามาถึงหลังจากชาวบ้านพวกนั้น 3 ปี”
เวิ่นหยุนซีพยักหน้า ชาวบ้านพวกนั้นมาเมื่อ 5 ปีก่อน เพื่อสร้างแคว้นหลานโจว
“นักโทษที่มาพร้อมกัน มีแค่ 11 คน มีคนหนึ่งที่มีความสามารถทางการแพทย์ถูกเหลียวจู่ปั๋วพาตัวไป หลังจากนั้นข้าก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูเฉียวมองไปที่เวิ่นหยุนซีอย่างตั้งใจ
เพราะเขาแกล้งบ้า เขาจึงไม่สามารถพูดออกมาตรงๆ ได้ แม้แต่กลอนที่เขาแต่งเพื่อส่งสัญญาณยังต้องซ่อนความหมายไว้อย่างแนบเนียน แต่เธอกลับสังเกตเห็นคำว่า "อย่าไปทำงาน" ทันที
เวิ่นหยุนซียิ้มอย่างภาคภูมิใจ อย่างอื่นไม่กล้าพูด แต่สมองเธอยังพอใช้ได้อยู่
ซูเฉียวพูดต่อ “พวกชาวบ้านให้การต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น พวกเขาเลี้ยงอาหาร สอนปลูกพืช และยังช่วยแนะนำงานในตัวเมือง ตอนแรกข้าเอง ก็ไม่ได้เอะใจอะไร”
“จนกระทั่งคืนหนึ่ง มีกลุ่มคนสวมหน้ากากบุกโจมตีหมู่บ้าน ทุกคนคิดว่าเป็นเผ่าสุ่ยอีจากหลังภูเขาหลัวหลิน ตอนนั้น ข้าตกใจจนต้องหนีเข้าไปในภูเขาหลัวหลิน พอกลับออกมาดูอีกที ก็รู้ว่าคนพวกนั้นไม่ได้เข้ามาในภูเขาเลย”
“งั้นเจ้าสงสัยว่าเป็นชาวบ้านพวกนั้น ที่ปลอมตัวมาใช่ไหม?”
ซูเฉียวพยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย “ข้ากลัวว่าจะถูกจับได้ เลยต้องแกล้งทำเป็นคนบ้า เมื่อปีที่แล้วตอนที่กลุ่มนักโทษ 10กว่าคนมาถึง ข้าก็พยายามส่งสัญญาณเตือนพวกเขาแล้ว”
“แต่ไม่ถึงครึ่งเดือน พวกเขาก็หายตัวไปหมด”
ฉินอวี้ยกมือปิดปากหาว คืนก่อนเธอแทบจะอดนอนฟังเขาพูดอย่างช้าๆ จนง่วงเต็มที “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าพวกเขาจะมาโจมตีพวกข้า ในคืนก่อน?”
“เด็กสาวสองคน กับเด็กเล็กอีกคนหนึ่ง ทั้งยังไปอยู่ในที่ห่างไกล แถมยังทำให้คนอื่นๆ ในกลุ่มอีกหลายสิบคนไม่พอใจ การจับพวกเธอไปใส่ร้ายมันง่ายมาก”
เมื่อวานหลังจากท่องกลอนจบ เขาแอบกลับไปฟังต่อ ก็ได้ยินเวิ่นหยุนซีสารภาพว่าตัวเองเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ
แม้ว่าในใจซูเฉียวจะไม่ชอบเวิ่นหยุนซีเท่าไร แต่เห็นว่าเธออายุแค่ 16 - 17 ปีเท่านั้น แถมยังมีเด็กอีกสองคนติดมาด้วย เขาจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้
“ขอบคุณเจ้ามากนะ” เวิ่นหยุนซียืนขึ้นแล้วโค้งคำนับ “แต่ทำไมเจ้าถึงไม่มาหาข้าตั้งแต่ตอนกลางดึกล่ะ?”
เธอต้องนั่งทนรอทั้งคืนไม่พอ ขนาดต้นขายังถูกบีบจนช้ำไปหมด!
ซูเฉียว: “???”
“หมายความว่ายังไง? ทำไมต้องไปหาเจ้าด้วย?”
ซูเฉียวถามด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องโดนต่อว่า ส่วนเวิ่นหยุนซีก็ได้แต่ทอดถอนใจ หันมองฟ้าอย่างหมดหนทาง คิดในใจว่าตัวเองส่งสัญญาณได้แย่ขนาดนั้นเลยหรือ? แล้วทำไมเจ้าลิงถึงเข้าใจได้ล่ะ?
เมื่อได้ยินเสียงขยับข้างตัว เวิ่นหยุนซีรู้ได้ทันทีว่า ฉินอวี้กับเสี่ยวเล่อเริ่มกลั้นหัวเราะอีกแล้ว เพื่อไม่ให้โดนหัวเราะเยาะใส่มากไปกว่านี้ เธอเลยต้องอธิบาย
“เคยมีลิงหินตัวหนึ่งที่เกิดจากการอำนวยพรของสวรรค์และโลก มันออกเดินทางฝ่าฟันเพื่อไปหาอาจารย์เรียนวิชา แต่กลับโดนอาจารย์ปฏิเสธต่อหน้าคนอื่น แต่แท้จริงแล้วอาจารย์แค่เคาะหัวมันสามครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณให้มันไปหาอาจารย์ในยามสาม”
“ลิงตัวนั้นไปหาอาจารย์ในยามสาม แล้วได้เรียนรู้วิชาการแปลงกายเจ็ดสิบสองแบบ จนได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต”
พูดจบ เวิ่นหยุนซีก็มองซูเฉียวด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะไม่ใช่รอยยิ้ม และกล่าวว่า “ข้าให้โอกาสเจ้าได้รับความมั่งคั่งมหาศาลแล้ว แต่เจ้ารับไว้ไม่ได้ อย่างนี้จะทำอะไรได้อีก?”
ซูเฉียว: "......"
เขากลั้นใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “เวิ่นหยุนซี เจ้าเคยหัวกระแทกบ้างไหม?”
ทำไมเขารู้สึกว่า ตัวเองที่แกล้งบ้า กับคนบ้าในกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กนั้น ยังดูไม่บ้าเท่าแม่นางคนนี้เลย หรือว่านางจะได้รับบาดเจ็บที่หัวระหว่างทางที่ถูกเนรเทศ?
ไม่มีใครเข้าใจจริง ๆ เหรอว่าข้าหมายถึงอะไรกับการขว้างก้อนหินทั้งสี่ก้อนนั้น!
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีแสงทองส่องประกายเข้าตา พอเพ่งมองดี ๆ ก็พบว่าเป็นใบไม้ทองคำทั้งแผ่น
“มาทำการค้าด้วยกันดีไหม?”
...โปรดติดตามตอนต่อไป...
หากพบคำที่เขียนผิด แจ้งได้เลยนะ