ตอนที่ 11 ชายแปลกหน้าที่เจอในป่า
ตอนที่ 11 ชายแปลกหน้าที่เจอในป่า
ในป่าภูเขาลั่วหลิน ต้นไม้ขึ้นหนาทึบ ระดับความลาดชันสูงกว่าที่คาด ทำให้การเดินทางยากลำบากกว่าที่คิด
ฉินอวี้มองแผ่นหลังบอบบางของเวิ่นหยุนซี ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า "ให้ข้าช่วยแบกบ้างเถอะ"
เวิ่นหยุนซียกตัวเสี่ยวเล่อขึ้นเล็กน้อย สายตาไล่มองรอบๆ ก่อนพูดขึ้นว่า "ไม่ต้อง ข้าเองก็ไหว เจ้าแค่ระวังตัวเองก็พอ"
แม้ฉินอวี้จะดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ แต่ในความจริงแล้วเธอยังคงเป็นเด็กสาวอายุเพียง 12 ปี เวิ่นหยุนซีจึงกังวลว่า เธออาจจะออกแรงจนเหนื่อยเกินไป
เมื่อเห็นว่าเวิ่นหยุนซีเพียงแค่หายใจหนักขึ้นเล็กน้อย ฉินอวี้ก็ไม่ดึงดันอีก เธอเริ่มร้องเพลงเบาๆ
"ภูเขาสีเขียวตระหง่านไกลพันลี้ หญ้าเขียวขจีดอกไม้แดงเบ่งบาน หญิงสาวแต่งกายงามไปสิบลี้หอมฟุ้ง"
เวิ่นหยุนซีฟังเสียงเพลงสองรอบก่อนจะรู้สึกว่าทำนองนั้นเพราะดี เธอจึงเริ่มร้องตามบ้าง
ฉินอวี้หันมามองด้วยความงุนงง "…?"
ไม่ใช่สิ นี่มันทำนองเพี้ยนไปหมดแล้ว!
“อะแฮ่มๆ…พี่สาวเวิ่น ข้าจะสอนท่านเองดีกว่า”
เสี่ยวเล่อที่เอามือปิดหูอยู่ก็เริ่มตบมือบอกว่า "ข้าก็อยากเรียนด้วย!"
เวิ่นหยุนซีสังเกตเห็นว่าข้างหน้ามีกลุ่มเห็ดป่า เธอจึงปล่อยเสี่ยวเล่อลงแล้วพูดว่า "มันก็มีแค่ไม่กี่ประโยค มีอะไรที่ต้องสอน ข้าเรียนรู้ได้เร็วอยู่แล้ว"
เธอพูดไปพร้อมกับใช้ใบไม้ห่อเห็ดดอกหนึ่งขึ้นมาดู โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของฉินอวี้ที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
เพราะกลัวจะโดนเวิ่นหยุนซีจั๊กจี้อีก ฉินอวี้จึงไม่กล้าพูดความจริง นางดึงเสี่ยวเล่อเข้ามาใกล้ "ได้เลย พี่อวี้คนนี้ จะสอนเจ้าเอง เจ้าต้องตั้งใจเรียนนะ"
เสี่ยวเล่อหันกลับไปมองเวิ่นหยุนซีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
เวิ่นหยุนซีมุ่งมั่นกับการตรวจสอบเห็ดที่อยู่ในมือ พลางฮัมเพลงโดยไม่รู้เลยว่าทำนองนั้นเพี้ยนไปไกลจนเกินจะช่วยได้แล้ว
เห็ดกลุ่มนี้มีลักษณะคล้ายปะการัง มีสีเทาเป็นหลัก ส่วนขอบด้านนอกมีขอบหยักๆเป็นสีครีม มีกลิ่นหอม ฉุน คล้ายกับเนื้อวัวแห้ง
ถูกแล้ว นี่คือเห็ด หนิวปาจวิน ที่ราคาแพงมาก
โชคดีที่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเธอไม่ได้ขี้เกียจ การจำแนกพืชในธรรมชาติ ถือว่าเธอก็ชำนาญพอสมควร
"พอแล้ว เลิกสอนกันได้แล้ว มาช่วยข้าเก็บเห็ดดีกว่า คืนนี้พวกเราจะได้กินอาหารอร่อยๆ"
ในขณะที่สองเด็กน้อยกำลังเก็บเห็ด เวิ่นหยุนซีก็นั่งลงข้างๆ และเริ่มใช้เถาวัลย์สานตะกร้า
เมื่อเห็นสายตาตกตะลึงของเด็กทั้งสอง เวิ่นหยุนซีก็ยิ้มมุมปาก นี่แค่นิดหน่อย เธอยังมีอะไรให้ประหลาดใจอีกมาก
ตอนที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ค่อยมีรายได้ ผู้อำนวยการมักจะรับงานฝีมือจากข้างนอกมาให้เด็กๆทำ เวิ่นหยุนซีที่อยากได้ดอกไม้แดงเป็นรางวัล ก็มักจะเป็นคนที่ขยันที่สุดทุกครั้ง
อย่าว่าแต่สานตะกร้าเลย แม้แต่ตุ๊กตาหมีเธอก็สามารถทำออกมาได้ในเวลาไม่นาน
หลังจากที่เด็กทั้งสองเก็บเห็ดเสร็จแล้ว เวิ่นหยุนซีก็ไม่เพียงแต่สานตะกร้าเสร็จสามใบ แต่ยังสานตุ๊กตาเสือจากใบหญ้าให้เสี่ยวเล่ออีกด้วย
“พี่สาวเวิ่น ข้าก็อยากได้บ้าง” ฉินอวี้พูดอย่างอิจฉา เพราะตลอดชีวิต นางไม่เคยได้รับของขวัญมาก่อน
เวิ่นหยุนซีไม่ได้สนใจ เธอสะพายตะกร้าแล้วเดินนำไป
ฉินอวี้อ้าปากจะพูด ก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น นั่นสินะ ทำไมพี่สาวเวิ่นถึงจะต้องให้ของขวัญนางด้วย ในเมื่อเธอไม่ใช่เด็กอายุสี่ขวบ...
แต่ขณะที่ฉินอวี้กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างอบอุ่นวางบนหัวของเธอ แล้วก็มีสิ่งหนึ่ง ถูกเหน็บไว้ที่ข้างผมของเธอ
“เจ้าโง่ ข้าไม่ได้ลืมของเจ้า”
เวิ่นหยุนซีชักมือกลับ ก่อนจะอุ้มเสี่ยวเล่อขึ้นบ่า ฮัมเพลงเมื่อครู่พลางเดินไปอย่างสบายใจ
ฉินอวี้นิ่งงัน ก่อนจะยกมือขึ้นหยิบสิ่งที่เหน็บไว้ตรงผม เมื่อมองเพียงครั้งเดียว น้ำตาของเธอก็เอ่อขึ้นในดวงตา
เพียงเพราะเธอจ้องดอกไม้นั้นแค่ไม่กี่ครั้ง เวิ่นหยุนซีกลับจำได้ และสานมันมาให้เธอ
ฉินอวี้เงยหน้าขึ้น และพยายามกลั้นน้ำตา แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยากจะซ่อนไว้ได้
การได้พบกับเธอคนนี้ ช่างเป็นโชคดีจริงๆ
แต่…
"พี่สาวเวิ่น ท่านร้องเพลงเพี้ยนมาก!"
"อะไรนะ?! ข้าร้องเพลงเพราะมากนะ!"
“พี่สาวเวิ่น ร้องเพี้ยนจริงๆ นะ”
เวิ่นหยุนซี "…?"
ทุกคนต่างบอกว่าข้าร้องเพลงเพราะมาก จะเพี้ยนได้ยังไงกัน!
“จริงๆ นะพี่สาวเวิ่น ท่านอย่าร้องเลยเถอะ”
ฉินอวี้ยิ้มพร้อมกับถือตุ๊กตาดอกไม้ที่ทำจากใบหญ้า ก่อนจะเดินนำหน้าเวิ่นหยุนซีไป
“อย่าวิ่งหนีนะ เจ้าโดนแน่!”
“ฮ่าๆๆๆ…ถ้าไล่ข้าทันก็ค่อยว่ากันเถอะ”
ทั้งสามคนวิ่งไล่ตามกันอย่างสนุกสนานผ่านป่าเขา
ในตอนแรกเสี่ยวเล่อยังมีท่าทางกลัวอยู่บ้าง แต่ไม่นานนักเขาก็เริ่มสนุกสนาน หัวเราะคิกคักขณะนั่งอยู่บนบ่าของเวิ่นหยุนซี
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาวิ่งมาไกลแค่ไหน จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผา ที่มีน้ำตกอยู่สายหนึ่ง
"พอแล้ว ไม่ไหวแล้ว" เวิ่นหยุนซีวางเสี่ยวเล่อลง ก่อนจะยืนพักหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย
ฉินอวี้ เด็กคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ ทำไมถึงดูไม่เหนื่อยเลย เธอเป็นคนเหล็กหรือไง?!
"โกร๊ก..."
ไม่รู้ว่าใครในกลุ่มท้องร้อง
ทั้งสามคนหันมามองหน้ากัน แล้วจึงพร้อมใจกัน หันไปทางบ่อน้ำที่อยู่ใต้ม่านน้ำตกตรงหน้า
"ไปจับปลากันเถอะ" เวิ่นหยุนซีพูดพร้อมเอามือกุมท้องก่อนจะพยักหน้าไปทางฉินอวี้
ฉินอวี้มองน้ำในบ่อนั้นอย่างละเอียด แล้วส่ายหน้า "ข้าไม่เห็นมีปลาเลยนะ ถึงจะมีข้าก็จับไม่เป็นหรอก"
"ข้าล่ะผิดหวังจริงๆ พวกเจ้าไม่เก่งอย่างที่คิดเลย สกิลหดกระดูกก็ไม่เคยได้ยิน จับปลายังไม่ได้ พวกเจ้าจะทำอะไรเป็นได้ยังไง?"
ฉินอวี้นิ่งเงียบเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของเวิ่นหยุนซี นี่นางไปฟังเรื่องเล่ามาจากที่ไหนกันนะ คนเราหดกระดูกได้ที่ไหนกัน!
ยิ่งกว่านั้นน้ำบ่อนี้อยู่ใกล้น้ำตก น้ำลึกขนาดนี้ต่อให้แรงแค่ไหนก็จับปลาไม่ได้หรอก!
เวิ่นหยุนซีดูจะยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ เธอนั่งลงกับพื้นก่อนจะถามต่อด้วยความสนใจ
“วิ่งบนกำแพงได้ไหม? แล้วอย่างเช่นหมัดทะลุผ่านกำแพงล่ะ?”
ฉินอวี้กรอกตาก่อนจะส่ายหน้า เรื่องพวกนี้ฟังยังไงก็ดูเหมือนนิทานบ้าๆ ทั้งนั้น
"แล้วพวกวิชาตัวเบา เดินบนน้ำ มวยหมัดมังกร วิชาดูดดาว กระบวนท่ามวยเส้าหลิน เคยได้ยินไหม?"
ฉินอวี้ยิ้ม "พี่สาวเวิ่น ท่านควรรักษาสมองท่านก่อนเถอะ"
นี่มันเรื่องอะไรกัน! ไม่มีอะไรพวกนี้จริงๆ หรอกหรอ!
"เอาล่ะ แล้วเจ้าทำอะไรได้บ้างล่ะ?" เวิ่นหยุนซีเริ่มจะหมดความหวังแล้ว ดูเหมือนว่าคงไม่ได้เจอยอดฝีมือแล้ว
ฉินอวี้ลุกขึ้นยืนแล้วทำท่าเริ่มต้น "ข้าถนัดวิชาจับกุมและต่อสู้ นอกจากนี้ยังเชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิด"
เมื่อเห็นว่าเวิ่นหยุนซีเริ่มสนใจขึ้นมาเล็กน้อย ฉินอวี้ก็เสริม "ไม่มีใครในรุ่นเดียวกัน สู้ข้าได้หรอก"
เวิ่นหยุนซีพยักหน้าเบาๆ แล้วตบมืออย่างไม่กระตือรือร้น "ไปเถอะ เราไปทางขวากัน"
ไม่มีใครตอบรับ บรรยากาศพลันเงียบงันลง
เวิ่นหยุนซีรู้สึกแปลกใจจึงหันไปมองฉินอวี้กับเสี่ยวเล่อ ทั้งสองอ้าปากค้าง มองเธอด้วยสายตาตกตะลึง
ด้านหลังของเธอ มีเสียงลมพัดใบไผ่ดังซู่ซ่า แต่หากฟังอย่างตั้งใจ จะได้ยินเสียงเคี้ยวและกลืนอาหารแทรกเข้ามาด้วย
เวิ่นหยุนซีค่อยๆ กลืนน้ำลายอย่างประหม่า แล้วหันหัวกลับไปดูสิ่งที่อยู่ข้างหลังเธอ
เพียงแค่แวบเดียว หัวใจของเธอก็เต้นแรงทันที
มันไม่ใช่งู หรือสัตว์ป่า แต่เป็นมนุษย์
คนผู้นั้นนั่งอยู่ในท่าทีประหลาด ห่างจากเธอไปไม่ถึงยี่สิบเมตร
เส้นผมยาวเปียกน้ำปรกหน้า จนมองไม่เห็นใบหน้าและเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่
แต่ประเด็นไม่ใช่ตรงนั้น ประเด็นคือเขากำลังถือปลาตัวใหญ่อยู่ในมือ และกำลังแทะกินมันดิบๆ
กำ-ลัง-แทะ-ปลาดิบ!
เส้นขนทั้งร่างของเวิ่นหยุนซีลุกตั้งขึ้นทันที ความเย็นยะเยือกปกคลุมทั่วคอ
ลมที่พัดผ่านมา ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้าน เธอรีบหมุนตัวไปยืนบังฉินอวี้กับเสี่ยวเล่อไว้
"ข้าจะไปดูเอง" ฉินอวี้ลังเล แต่สุดท้ายก็เสนอตัวขึ้นมา ทว่าเพียงก้าวแรกก็ถูกเวิ่นหยุนซีรั้งไว้
"เจ้าโง่! จะไปทำไม โยนอะไรไปก่อน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเถอะ"
พูดจบ เวิ่นหยุนซีก็หยิบดินจากพื้นโยนไปทางเขาคนนั้น
คนๆนั้นไวต่อการรับรู้มาก เมื่อถูกโยนดินใส่ก็ดีดตัวขึ้นมาทันที
ผมที่ยุ่งเหยิงและเปียกน้ำ กระจายออก เผยให้เห็นใบหน้าของเขาครึ่งหนึ่ง
...โปรดติดตามตอนต่อไป...
หากพบคำที่พิมพ์ผิด แจ้งได้เลยนะ