ตอนที่ 1 ศิษย์พี่ ท่านช่างกล้าจริงๆ
ตอนที่ 1 ศิษย์พี่ ท่านช่างกล้าจริงๆ
ทวีปชางเสวียน อาณาจักรหยู เมืองชิงเหอ
บนถนนที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา
ริมถนนมีโรงน้ำชาและโรงเตี๊ยมอยู่แน่นขนัด เพียงแค่วางหินวิญญาณก้อนเดียว ก็สามารถจิบชาสมุนไพรชามใหญ่ได้แล้ว ชายหนุ่มที่ดูธรรมดาคนหนึ่งกำลังนั่งดื่มชาอย่างเงียบ ๆ อยู่ที่นี่
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลายปีมานี้เขาถูกไล่ล่าจนต้องไปซ่อนตัวอยู่ในทิเบตมานานกว่าหนึ่งปี เขาก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย ในฐานะนักข้ามมิติแล้ว มันช่างน่าอับอายยิ่งนักที่ต้องใช้ชีวิตเช่นนี้
ชื่อของเขาคือ ฉู่เสวียน เขาได้ข้ามมิติมายังทวีปชางเสวียนเมื่อยี่สิบปีก่อน จนได้กลายมาเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายอู๋จี๋
เขาไม่มีภูมิหลังครอบครัว คุณสมบัติในการฝึกฝนก็แค่ปานกลาง
โชคดีที่นิกายอู๋จี้เป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรหยู อาณาจักรหยูแห่งนี้มีทั้งหมด 9 แคว้น ซึ่ง 3 ใน 9 แคว้นนั้นยังเป็นอาณาเขตของนิกายอู๋จี๋ทั้งหมด
ฉู่เสวียนใช้เวลาสิบปีในการฝึกฝน จนในที่สุดเขาก็กลายมาเป็นผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณ และฝึกฝนพลังวิญญาณแปลงโลหิตช่วงชิง จนได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์ภายใน
เขารู้ว่าคุณสมบัติในการฝึกฝนของเขายังธรรมดาเกินไป เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ในขณะที่ฝึกฝนเคล็ดลับวิชาของตัวเองอย่างหนัก เขาก็เรียนรู้สาขาต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งการเลี้ยงแมลงกู่ การใช้พิษ การกลั่นศพ การปลอมตัวและหุ่นเชิด ด้วยเทคนิคพิเศษเหล่านี้ ดังนั้นแม้ว่าระดับของเขาจะไม่สูงมากนัก แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ถือว่าดี
จนในที่สุดเขาก็ได้กลายมาเป็นศิษย์อันดับที่สิบในบรรดาศิษย์ภายใน
จนเป็นที่โปรดปรานจากผู้อาวุโส และอีกเพียงก้าวเดียว เขาก็จะถูกผู้อาวุโสรับเป็นศิษย์ผู้สืบทอดแล้ว
ทว่า ก็มีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
บรรพบุรุษลำดับที่หนึ่งของนิกายอู๋จี๋เกิดธาตุไฟเข้าแทรกขณะที่ฝึกฝน และต้องจากไปก่อนโดยไม่คาดคิด
เมื่อฝ่ายธรรมะทั้ง 5 ของอาณาจักรหยูทราบข่าว พวกเขาก็พูดว่านิกายอู๋จี๋นั้นมีแต่ผู้ฝึกฝนพลังมาร เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและความรุนแรง ทุกคนล้วนแต่สาปแซ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกันไล่ล่าคนในนิกายอู๋จี๋
นิกายอู๋จี้ถูกไล่ล่าด้วยศัตรูจำนวนมาหาศาล จนต้องหลบหนีไปคนละทิศละทาง
บรรพบุรุษผู้บำเพ็ญช่วงปราณก่อนกำหนดหนึ่งคน และบรรพบุรุษผู้บำเพ็ญช่วงแก่นปราณทองคำสิบคน เสียชีวิตในการต่อสู้ และอีกหลายคนยอมจำนน เหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีไปได้
ประมุขนิกาย รองประมุขนิกาย ผู้อาวุโสใหญ่ และคนอื่นๆ ตายไปจนหมด ไม่อาจหลบหนีไปไหนได้ทัน
นับตั้งแต่เวลาที่ดวงอาทิตย์ถึงจุดสูงสุดจนถึงเวลาที่ต้นไม้โค่นลงและฝูงสัตว์ก็แยกย้ายกันไป กินเวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น
เมื่อเทียบกับพลังของผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งเหล่านั้นแล้ว ฉู่เสวียนเป็นเพียงกุ้งตัวเล็ก ๆ เท่านั้น เขาจึงหลบหนีไปอยู่ที่อื่นได้
เพียงแต่ว่าด้วยตัวตนของเขา เขาจึงจำเป็นต้องปกปิดตัวตนอยู่ตลอดเวลา
ขณะนี้ เวลาได้ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว นับตั้งแต่ที่ฝ่ายธรรมะทั้ง 5 ได้ร่วมมือกันล้มล้างพวกกากเดนอย่างนิกายอู๋จี๋
ศิษย์นิกายอู๋จี้จำนวนมากถูกจับและประหารชีวิต
แต่เขานั้นกลับยังมีชีวิตอยู่
การต้องใช้เคล็ดลับวิชาต่างๆมากมาย ได้กลายมาเป็นเครื่องมือเอาชีวิตรอดของเขาไปโดยปริยาย
ขณะนี้ แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่กับที่นี่ แต่คำพูดคุยต่างๆ รอบกายก็เข้ามาในหูของเขาทั้งหมด
เพราะเขามี “กู่สดับ” อยู่ในหูทั้งสองข้าง
กู่สดับนี้สามารถขยายเสียงเล็กๆ รอบตัวเขาได้ ทำให้เขาสามารถรับรู้ได้แม้แต่ความคิดของผู้คนรอบตัว
ขณะนั้นเอง ก็ได้มีชายอีกคนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมเดินเข้ามาและนั่งลงตรงหน้า เขามีท่าทีลังเลใจเล็กน้อย
เขาลดเสียงของเขาลงและพูดว่า "ใหญ่แค่ไหนก็ต้องเชื่อฟังคำราชา"
ฉู่เสวียนกล่าวออกมาอย่างใจเย็น “ไม่จำเป็น รอดูไปก่อนเถิด”
ชายคนนั้นถามอีกครั้ง “รอดูไปก่อนอย่างนั้นหรือ?”
ฉู่เสวียนกล่าว “เจ้าอย่ามัวพร่ามอยู่เลย”
จากนั้นชายผู้นั้นจึงถอนหายใจยาวๆ “ศิษย์พี่ ท่านช่างกล้าหาญยิ่งนัก ถึงได้เลือกมาพบกับข้าที่นี่?”
ฉู่เสวียนดื่มชาอย่างใจเย็น “พวกเราทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกฝนมือใหม่ที่จริงจังและปฏิบัติตามกฎ ไม่แปลกที่จะเกรงกลัวบางสิ่งบางอย่าง”
ชายคนนั้นกลืนน้ำลายลงคอ พรางพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาจ้องดูดวงตาของฉู่เสวียนด้วยความชื่นชมอย่างเต็มเปี่ยม
ศิษย์พี่ฉู่อยู่อันดับที่สิบในบรรดาศิษย์ฝ่ายในของนิกายอู๋จี๋
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปี ศิษย์ฝ่ายในของนิกายหลายคนก็ถูกฝ่ายธรรมะทั้ง 5 จับตัวไปจนหมด
เหลือแต่เพียงฉู่เสวียนผู้นี้เท่านั้นที่หนีรอดมาจนถึงบัดนี้
เขายังกล้าที่จะปรากฏตัวในอาณาเขตของนิกายเสินกังด้วยท่าทางโอหังอย่างยิ่ง
ข้าชื่นชมความกล้าหาญของศิษย์พี่ฉู่คนนี้จริงๆ !
“เหอเลี่ยง เจ้าเอาสิ่งนั้นมาแล้วใช่ไหม” ฉู่เสวียนจิบชาและพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ชายคนนั้นพยักหน้า พรางหยิบถุงเกรดต่ำออกมาและยื่นให้
ฉู่เสวียนรับมันมาและเอนตัวเข้าไปเพื่อตรวจสอบ
การฝึกฝนพลังวิญญาณแปลงโลหิตช่วงชิงจำเป็นต้องใช้แก่นแท้โลหิตจำนวนมาก
ต้องใช้เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตทั้งมนุษย์และอสูร เพื่อมาเป็นอาหารเลี้ยงแมลงกู่
การฆ่ามนุษย์เพื่อให้ได้แก่นของโลหิตมาทำลูกปัดโลหิตนั้น ถือเป็นวิธีที่เร็วที่สุดตามธรรมชาติ
แต่การทำเช่นนี้ จะสูญเสียผลบุญ และก่อเกิดให้สวรรค์ลงทัณฑ์เผ่ามนุษย์
เมื่อถึงเวลา หากเขาต้องการไปถึงแขตแดนที่สูงกว่า เขาจะต้องเผชิญหน้ากับการลงทัณฑ์จากสวรรค์ ทั้งฟ้าผ่าที่โหมกระหน่ำลงมา และภัยพิบัติมากมาย
มันยากที่จะผ่านไปได้
ฉู่เสวียนเดาว่าการตายอย่างไม่คาดคิดของบรรพบุรุษลำดับที่หนึ่งของนิกายอู๋จี๋นั้น อาจเกี่ยวข้องกับการที่เขาสังหารหมู่ผู้คนและดูซับพลังวิญญาณเข้ามา
เมื่อนิกายอู๋จี๋ล่มสลายลงด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล ฝ่ายธรรมะทั้ง 5 จึงได้ร่วมมือกันเข้ามากวาดล้างผู้บำเพ็ญมารอย่างเข้มงวด
ดังนั้นการฆ่ามนุษย์เพื่อดูดซับพลังวิญญาณในเวลานี้ ก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย
เขาจึงมาของซื้อลูกปัดโลหิตสัตว์อสูรจากเหอเลี่ยงแทน
ลูกปัดนี้กลั่นมาจากเลือดบริสุทธิ์ของอสูร แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีพลังที่สูง เหมาะกับการฝึกเคล็ดลับวิชาสายมารเป็นอย่างมาก
“คุณภาพดี”
ฉู่เสวียนก้มหน้าลง จากนั้นก็เอาถุงก่อนหินวิญญาณระดับต่ำจำนวนสิบก้อนวางลงบนโต๊ะ
ดวงตาของเหอเลี่ยงฉายแววละโมบออกมา เขาย่อมรับมันไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าตอนที่ฉู่เสวียนกำลังจะออกไป ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติรอบตัวเขา
แผงขายอาหาร แผงขายผัก ร้านขายของ และร้านขายเนื้อในระยะใกล้เคียง ดูเหมือนจะเปลี่ยนคนขายหน้าใหม่
น้ำเสียงและการพูดคุยก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ดูเหมือนว่าจะมีคนกำลังเฝ้าติดตามเขาอย่างใกล้ชิดมาสักระยะหนึ่งแล้ว
คนเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตน ขั้นต่ำสุดก็คือผู้บำเพ็ญสร้างรากฐานอันทรงพลัง!
เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เหอเลี่ยง
ใบหน้าของเขาคือหน้ากากหนังมนุษย์ที่เพิ่งทำขึ้นเมื่อวันนี้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาคือฉู่เสวียน ยกเว้นเหอเลี่ยงคนนี้เท่านั้น
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเปลี่ยนหน้าอีกครั้งแล้วสินะ”
ฉู่เสวียนดูสงบ
“ศิษย์น้อง ข้ายังต้องการอีกสิ่งหนึ่ง” เขากล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เหอเลี่ยงพยักหน้า “ศิษย์พี่ฉู่ ไม่ทราบว่าท่านยังต้องการสิ่งใดอีก”
ฉู่เสวียน “เจ้ายังมีโอสถวิญญาณโลหิตอยู่ไหม”
เหอเลี่ยงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้ามีอยู่สองเม็ด เพราะข้าได้เอาสมบัติของนิกายติดตัวมาด้วยตอนที่ข้าหนีออกมาจากนิกาย”
ฉู่เสวียนลดเสียงลง “ข้าต้องการโอสถวิญญาณโลหิต ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
เหอเลี่ยงตกตะลึง “แต่โอสถวิญญาณโลหิตนั้นคือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญสร้างรากฐานใช้รักษาอาการบาดเจ็บเท่านั้น..หรือว่าศิษย์พี่”
จู่ๆ เขาก็กล่าวออกมาต่อ “ข้ารู้แล้ว! หรือว่าศิษย์พี่พบอาจารย์อาหลิวแล้วอย่างนั้นหรือ?”
อาจารย์อาหลิว ชื่อเต็มคือหลิวเจิ้งสง เขาเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานไม่กี่คนของนิกายอู๋จี๋ที่ยังไม่ถูกจับ เพราะเป็นผู้ฝึกวิชาที่แข็งแกร่ง
ฉู่เสวียนกล่าวอย่างเย็นชา "อย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถามนักเลย"
เหอเลี่ยงรีบปิดปาก “ข้ารู้ ข้ารู้”
“หากเจ้ามีโอสถวิญญาณโลหิต ก็เอาออกมามอบให้ข้าเสีย” ฉู่เสวียนยื่นมือออกมา
ทว่าเหอเลี่ยงก็กล่าวออกมาเบาๆ “โอสถวิญญาณโลหิตนั้นล้ำค่าเป็นอย่างมาก ศิษย์พี่มีหินวิญญาณจ่ายให้ข้าเพียงพอใช่หรือไม่”
ฉู่เสวียนเงียบไป....
เหอเลี่ยงรีบกล่าว “ไม่อย่างนั้น ท่านก็พาข้าไปพบอาจารย์อาหลิว หากข้าได้รับการคุ้มครองจากผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานคนนั้น ข้ายินดีมอบโอสถวิญญาณโลหิตให้แก่ท่านเลย”
ฉู่เสวียนกล่าวอย่างเข้มงวด “ไม่ มันมีความเสี่ยงมันสูงเกินไป!”
เหอเลี่ยงถอนหายใจยาว กัดฟัน แล้วหยิบหินวิญญาณระดับกลางออกมายัดใส่มือของฉู่เสวียน
“หินวิญญาณระดับกลางหนึ่งก่อน ! ข้าขอมอบให้ท่าน!
ฉู่เสวียนยกคิ้วขึ้น
หินวิญญาณระดับต่ำเป็นเศษวัสดุของเส้นเลือดหินวิญญาณ ความบริสุทธิ์ไม่สูงมากนัก และโดยทั่วไปจะมีการใช้หมุนเวียนกันในผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณเท่านั้น
ส่วนหินวิญญาณระดับกลาง ซึ่งมีความบริสุทธิ์และมีขนาดใหญ่พอสมควร ส่วนใหญ่จะหมุนเวียนอยู่ในมือของผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐาน
หินวิญญาณระดับกลางหนึ่งก้อน สามารถแลกเป็นหินวิญญาณระดับต่ำได้ถึงหนึ่งร้อยก้อน
โดยไม่คาดคิด เหอเลี่ยงคนนี้มีหินวิญญาณระดับกลางอยู่ในมือด้วย
“เอาละ เพื่อเห็นแก่ความจริงใจของเจ้า” ฉู่เสวียนก้มหัวเล็กน้อย
เหอเลี่ยงถอนหายใจด้วยความโล่งใจ "ไปกันเถอะ ศิษย์พี่ ด้วยการคุ้มครองของผู้บำเพ็ญสร้างรากฐานอย่างอาจารย์อาหลิวแล้ว ข้าก็จะได้สบายใจมากยิ่งขึ้น"
ฉู่เสวียนพยักหน้า “ฐานที่มั่นลับของพวกเขาคือบ้านร้างทางทิศตะวันออกของเมือง ไปที่นั่นกันเถอะ”
จากนั้นเขาก็เก็บหินวิญญาณระดับกลางเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วลุกขึ้นทันที
เหอเลี่ยงก็รีบตามไปทันที
หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว ผู้บำเพ็ญทั้งหกที่สังเกตดูจากระยะไกล ก็ได้เดินมาที่ร้านน้ำชาทันที
ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนคนแรกนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐาน
“เหอเลี่ยงไปกับเขาแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้ข้าจะล่อลวงปลาที่เล็ดลอดได้เช่นนี้ !” ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนดูจะดีใจเป็นอย่างมาก
“รีบตามไปเร็วเข้า หากเราสามารถจับปลาตัวใหญ่นี้ได้ ไม่เพียงแต่จะได้ความดีความชอบจากนิกายเท่านั้น แค่ทรัพย์สินของพวกมันก็คงเกินพอแล้ว !” เขาเอ่ยกระซิบ
"ใช่!"
อีกครู่ต่อมา..ทั้งสองก็เดินมาถึงบ้านร้างทางตะวันออกของเมือง
ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนและคนอื่นๆ รีบตามไปทันที และแอบล้อมบ้านร้างหลังนี้เอาไว้อย่างรวดเร็ว
“อาจารย์อา เราจะบุกเข้าไปเมื่อไหร่หรือขอรับ” สาวกคนหนึ่งถามขึ้นมา
“รอสัญญาณก่อน!” ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนกระซิบ
ทว่าหลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง ก็มีเสียงแตกหักดังขึ้น
โคร่มมมม..
ประตูถูกกระแทกจากภายในจนเศษไม้กระเด็นลอยออกมา
ร่างของเหอเลี่ยงลอยเคว้งออกมาไกลและตกลงบนพื้นอย่างแรง เขากระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรงจนมันพุ่งกระจายไปในอากาศ
เหอเลี่ยงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “ใต้ดิน! ฉู่เฉวี่ยนกับหลิวเจิ้งสงอยู่ใต้ดิน! ไม่ต้องห่วงข้า!”
ดวงตาของผู้บำเพ็ญวัยกลางคนสว่างขึ้น เขาคำรามออกมาทันที “รีบเข้าไปเร็ว ! อย่าให้พวกมันหนีไปได้!”
หวืด....
ผู้บำเพ็ญฝ่ายธรรมะรีบวิ่งผ่านเหอเลี่ยงเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้ามาข้างในตัวบ้าน ก็เจอแต่ทางลงขนาดใหญ่ ซึ่งนำไปสู่ชั้นใต้ดินโดยตรง
ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนและคนอื่นๆ เดินลงไปข้างล่างนั้น และพบว่ามีทางเดินมากมายอยู่ข้างใน ไม่ต่างจากกับดักที่เป็นเหมือนกับเขาวงกต
หลังจากค้นหาอยู่นาน ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งก็อุทานออกมาว่า “หือ อาจารย์อาขอรับ มีศพแห้งกองอยู่ตรงนี้ โหดร้ายเป็นอย่างมาก ผิวหนังและหนังศีรษะก็ถูกถลกออกจนหมด!”
ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนตกตะลึง และหลังจากสำรวจศพอย่างระมัดระวังแล้ว เขาก็ระบุขึ้นมาทันที “หรือว่า นี่คือเหอเลี่ยง! คนข้างนอกคือฉู่เสวียน ! รีบออกไปเร็วเข้า พวกเราหลงกลมันอีกแล้ว!”
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาวิ่งออกมาจากข้างในบ้านร้าง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของ “เหอเลี่ยง” อยู่เลย
“ไอ้สารเลว ฉู่เสวียน ! ข้าพลาดท่าปล่อยเจ้าหลุดมือไปอีกครั้งแล้วสินะ!”
ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนโกรธเป็นอย่างมาก