บทที่ 39 เสียงดนตรีแห่งเซียน
ระหว่างทางกลับลานใหญ่ ซื่อเฟยเจ๋อเห็นศิษย์สำนักแสงตะวันจันทราหลายคนกำลังต่อสู้กัน พร้อมกับตะโกนคำแปลกๆ เช่น "เย่" "กวา" "ย่า" "ฮิ"
แม่เจ้า พวกนี้ต่อสู้ก็ต่อสู้ไป ทำไมต้องส่งเสียงแปลกๆ ด้วย
พวกเขาไม่รู้สึกอายบ้างหรือ?
ด้วยความสงสัยเต็มท้อง ซื่อเฟยเจ๋อมาถึงห้องของฝานเจี้ยนเฉียงและเคาะประตู
ตอนนี้ในลานใหญ่เหลือแค่พวกเขาสองคน คนอื่นๆ หนีไปหมดในคืนเดียวหลังจากสำนักแสงตะวันจันทราเริ่มต่อสู้กันเอง
"เชิญเข้ามา!" ฝานเจี้ยนเฉียงพูด
ซื่อเฟยเจ๋อเข้าไป เห็นฝานเจี้ยนเฉียงนอนอยู่บนเตียง ขาไขว้ห้าง ขมวดคิ้วอ่าน 'คัมภีร์ดวงใจตะวันจันทรา'
ทำไม? ทำไมคัมภีร์นี้ หลังจากฝึกแล้วถึงเพิ่มพลังได้มากมายขนาดนั้น!
"ทำไมล่ะ? พี่ฝานไม่เคยสนใจคัมภีร์ดวงใจตะวันจันทราไม่ใช่หรือ? ทำไมวันนี้ถึงสนใจอ่าน ต้องการให้ข้าอธิบายให้อีกรอบไหม?" ซื่อเฟยเจ๋อถาม ช่วงนี้เขาเคยอธิบาย 'คัมภีร์ดวงใจตะวันจันทรา' ให้ฝานเจี้ยนเฉียงฟังแล้ว!
"หรือว่าเจ้ารู้สึกอะไรบางอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีความเข้าใจใหม่?" ฝานเจี้ยนเฉียงมองซื่อเฟยเจ๋ออย่างสนใจพูด
"อะไรคือความเข้าใจใหม่?" ซื่อเฟยเจ๋อพูดอย่างไม่พอใจ "ทั้งหมดนี้คืออาจารย์ผู้เฒ่าฮวาถ่ายทอดให้พวกเราตอนนั้น! ข้าเป็นแค่คนอ่อนแอในยุทธภพ จะมีความเข้าใจใหม่ได้อย่างไร!"
"อ๋อ ใช่ๆๆ เจ้าพูดถูกหมด!" ฝานเจี้ยนเฉียงกลอกตาพูด
ไอ้นี่ยังจะแกล้งโง่กับเขาอีก!
"พี่ฝาน! สำนักแสงตะวันจันทรามีอะไรไม่ชอบมาพากลนะ!" ซื่อเฟยเจ๋อพูดถึงความสงสัยในใจ "สำนักแสงตะวันจันทราจู่ๆ ก็เกิดสงครามภายใน พวกเราไปกันดีไหม!"
"ทำไมต้องไปด้วยล่ะ!" ฝานเจี้ยนเฉียงพูด "ที่นี่มีกินมีดื่ม แถมไม่ต้องเสียเงิน ดีออก!"
"อืม..." ซื่อเฟยเจ๋อคิดแล้ว ก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ! แค่คิดว่าที่นี่เป็นโรงแรมฟรีก็พอแล้ว!
"ก็ดีนะ! ยังไงข้าก็ไม่มีที่พักในเมืองชิวหยางอยู่แล้ว!" ซื่อเฟยเจ๋อพยักหน้า รู้สึกว่าฝานเจี้ยนเฉียงช่างไม่ยึดติดจริงๆ
"ข้าจะออกไปซื้อสมุนไพรมาทำน้ำอาบยา ไม่ทราบว่าพี่ฝานมีอะไรจะฝากซื้อไหม?" ซื่อเฟยเจ๋อพูดอีก
"อืม..." ฝานเจี้ยนเฉียงมองซื่อเฟยเจ๋อแวบหนึ่ง พูดว่า "สภาพร่างกายเจ้าตอนนี้ ใช้น้ำอาบยาได้แล้วจริงๆ"
"ตอนนี้ในเมืองไม่ค่อยสงบ เจ้าออกไปข้างนอกระวังหน่อยล่ะ!" ฝานเจี้ยนเฉียงพูดลอยๆ แล้วก้มหน้าอ่าน 'คัมภีร์ดวงใจตะวันจันทรา' ต่อ
"รู้แล้ว! รู้แล้ว! เสียงสวดมนต์และท่องบทกวีตอนกลางคืน ข้าก็เคยได้ยินนะ!" ซื่อเฟยเจ๋อพูดพลางเดินออกไป
"ปิดประตูด้วย!" ฝานเจี้ยนเฉียงเห็นเขาออกไปก็ตะโกนบอก
ปิดประตูแล้ว ซื่อเฟยเจ๋อออกจากลานใหญ่ที่ค่อนข้างเงียบเหงา ตอนนี้เขาฝึกหมัดรางวัลความดีมาพักใหญ่แล้ว ไม่ใช่มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มฝึกหมัดอีกต่อไป
สมรรถภาพร่างกายของเขาพัฒนาขึ้นมาก เตรียมจะเริ่มฝึกเท้าลงโทษความชั่ว ก่อนฝึกเท้าลงโทษความชั่ว ต้องเตรียมสมุนไพรสำหรับน้ำอาบยา ไม่อย่างนั้นอาจจะฝึกจนบาดเจ็บได้
ซื่อเฟยเจ๋อเดินอยู่บนถนนใหญ่ในเมืองชิวหยาง พูดอย่างเคร่งครัดแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาเที่ยวเมืองชิวหยาง เขาเพิ่งเข้าเมือง ก็ถูกสำนักแสงตะวันจันทราลากไปที่ลานใหญ่ ให้เป็นศิษย์สำรองแล้ว
กว่าครึ่งเดือน นอกจากลานรอบๆ ลานใหญ่ เขายังไม่เคยไปที่อื่นในเมืองชิวหยางเลย
สำนักแสงตะวันจันทรา แปดส่วนเป็นหลุมพรางใหญ่!
ประสบการณ์หลายปีในฐานะมนุษย์เงินเดือน ทำให้เขาตัดสินว่าสำนักแสงตะวันจันทราเหมือนบริษัทขยะ เจ้านายพูดเกินจริง สอนล้างสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่จริงๆ แล้วเงินเดือนยังค้างจ่ายเกินหนึ่งเดือน
ได้ยินว่าในยุทธภพ บางสำนักหลังจากได้รับคัมภีร์ลับ จะหาคนมาลองฝึกในที่ลับ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองฝึกแล้วเกิดปัญหา
คิดว่า 'คัมภีร์ดวงใจตะวันจันทรา' ก็คงเป็นเช่นนั้น!
แต่ 'คัมภีร์ดวงใจตะวันจันทรา' ลึกลับเหลือเกิน คงมีแต่อัจฉริยะวิทยายุทธ์อย่างเขาเท่านั้นที่ฝึกสำเร็จ! คนอื่นแม้แต่ให้เขาอธิบายหนึ่งรอบ ก็ยังไม่เข้าใจ
ฮ่ะ ความเหงาของอัจฉริยะวิทยายุทธ์ ใครจะเข้าใจได้!
คนชั้นล่างในโลกนี้ฝึกวิทยายุทธ์ ก็ยากจริงๆ นะ! พลาดนิดเดียว อาจจะกลายเป็นหนูทดลองของคนอื่นเลย!
แต่ไม่รู้ว่าทำไมสำนักแสงตะวันจันทราจู่ๆ ก็เสียสติกันหมด เริ่มต่อสู้กันเอง? จากคำพูดของฝานเจี้ยนเฉียง คาดเดาว่าหากพรสวรรค์ไม่พอ บังคับฝึก 'คัมภีร์ดวงใจตะวันจันทรา' ก็จะเสียสติเหมือนเหลิงชิงชิวและเหลิงเชียนเย่! ไม่น่าเป็นไปได้ที่ทั้งสำนักฝึก 'คัมภีร์ดวงใจตะวันจันทรา' แล้วไม่มีใครฝึกสำเร็จสักคน กลับกลายเป็นเสียสติกันหมด?
นี่มันเหลวไหลเกินไปแล้ว!
พวกเขาเป็นคนโง่กันหมดหรือไง? พวกเขาไม่ใช่ซื่อเฟยเจ๋อ ที่ต้องแกล้งโง่เพื่อปกป้องตัวเองในยุทธภพอันตรายนี้
ส่วนฝานเจี้ยนเฉียงก็ลึกลับเกินไป เขาถึงกับรู้จักขั้นบุคคลแท้ ต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ซ่อนพลังแน่ๆ แค่ไม่รู้ว่าเขาแฝงตัวอยู่ในเมืองชิวหยางเพื่ออะไร
ส่วนการต่อสู้ในเมืองชิวหยางนี้ ดำเนินมากว่าเดือนแล้ว ยังไม่มีผู้ชนะ ทำให้คนซื้อยาก็ต้องระแวดระวัง!
ขณะกำลังคิดเรื่องยุ่งๆ เหล่านี้ จู่ๆ ซื่อเฟยเจ๋อก็ได้ยินเสียงพิณ
เสียงพิณกังวานไกล เบาและยาว บางครั้งเหมือนเสียงคนพูด สามารถสนทนาได้ บางครั้งเหมือนอารมณ์ในใจคน ลอยล่องและแปรเปลี่ยน
เสียงพิณอันใสกังวานและสง่างาม ราวกับทำให้คนลืมความกังวลมากมายไปชั่วขณะ
ซื่อเฟยเจ๋อฟังแล้วรู้สึกสบายใจ เขาเดินตามเสียงพิณที่ลอยมา มาถึงด้านนอกของตึกสูงหลังหนึ่ง เสียงพิณดังมาจากบนตึกนั้น
พอดีมีร้านน้ำชาอยู่แถวนั้น ซื่อเฟยเจ๋อจึงเข้าไปนั่ง สั่งชาคุณภาพต่ำหนึ่งกา ในร้านน้ำชาคนแน่นมาก ล้วนมาฟังเพลงพิณ ซื่อเฟยเจ๋อนั่งร่วมโต๊ะกับคนตาบอดสวมเสื้อคลุมสีดำเก่าๆ ปิดบังดวงตา
เสียงพิณเปลี่ยนไป ราวกับสายน้ำเล็กๆ ลำธารไหลริน น้ำตกบนภูเขาสูง เสียงหวานช้าๆ นี่คือเพลง 'สายน้ำไหล'
ซื่อเฟยเจ๋ออยากฟังต่อ แต่พบว่าคนในร้านน้ำชาพากันไปมุงที่หน้าประตูตึก
"เมี่ยวเมี่ยวเซียนจื่อ ออกมาเร็ว!" (เมี่ยวเมี่ยวเซียนจื่อ แปลว่า นางฟ้าเมี่ยวเมี่ยว- ผู้แปล)
"ฟังพิณมาหลายวันแล้ว ในที่สุดก็จะได้เห็นเมี่ยวเมี่ยวเซียนจื่อแล้ว!"
ดูท่าทางแล้ว ดูเหมือนว่าหญิงสาวที่เล่นพิณชื่อเมี่ยวเมี่ยวเซียนจื่อ พวกนี้ล้วนเป็นคนช่างสงสัย อยากดูว่าเมี่ยวเมี่ยวเซียนจื่อหน้าตาเหมือนนางฟ้าจริงหรือไม่
ซื่อเฟยเจ๋อรู้สึกเบื่อ ลุกขึ้นเตรียมจะไปซื้อยาต่อ
"คนหนุ่ม ไม่ไปดูว่าเมี่ยวเมี่ยวเซียนจื่อหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ?" คนตาบอดที่นั่งร่วมโต๊ะกับซื่อเฟยเจ๋อพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
"ท่านไม่ไปดูล่ะ?" ซื่อเฟยเจ๋อย้อนถาม
"ข้าตาบอด จะดูได้อย่างไร!" คนตาบอดพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล
"...ก็จริง…มีเหตุผลดี!" ซื่อเฟยเจ๋อรู้สึกว่าคนตาบอดคนนี้น่าสนใจมาก เขานั่งลงที่โต๊ะชาอีกครั้ง รินชาให้ตัวเองแก้วหนึ่ง พูดว่า "ไปดูแล้วจะเป็นอย่างไรล่ะ?"
"ตามคำร่ำลือ เมี่ยวเมี่ยวเซียนจื่องดงามเป็นเลิศ สวยเป็นยอดหญิงในแผ่นดิน ก่อตั้งคณะดนตรีเมี่ยวเมี่ยวเดินทางแสดงทั่วเก้าแคว้น หลายคนแค่เห็นนางครั้งเดียวก็หลงรักนาง" คนตาบอดพูด
"แล้วไงต่อ?" ซื่อเฟยเจ๋อถาม
"แล้วบางทีเมี่ยวเมี่ยวเซียนจื่ออาจจะโปรดปรานเจ้า ตามคำร่ำลือ เมี่ยวเมี่ยวเซียนจื่อก็มาจากตระกูลใหญ่ ทรัพย์สมบัติมากมาย คนหนุ่ม ได้อยู่กับหญิงงาม มั่งคั่งไปทั้งชีวิต นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนเราแสวงหาหรือ?" คนตาบอดพูดยั่วยุต่อ
"แล้วไงต่อ?" ซื่อเฟยเจ๋อถามต่อ
"จะมีอะไรต่ออีก ตอนนั้นเจ้าก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแล้ว จะมีอะไรต่ออีกล่ะ!" คนตาบอดพูด
"เฮ้อ!" ซื่อเฟยเจ๋อส่ายหน้าพูด "ดูเหมือนท่านก็เป็นโสดเหมือนกันนะ!"