บทที่ 38 เหอหลู่ (แก้ใหม่)
การฝึกฝนและการเรียนรู้เคล็ดวิชานั้นจำเป็นต้องใช้พลังปราณในร่างเป็นพื้นฐาน
ถึงแม้ว่าวิชาขั้นสูงจะมีพลังทำลายล้างมากกว่า แต่ด้วยระดับพลังปราณของเย่ฉางชิงตอนนี้ ซึ่งอยู่แค่ระดับลมปราณขั้นแรก ถึงจะให้เขาฝึกวิชาขั้นสูงก็เรียนรู้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้งาน
การเริ่มต้นฝึกวิชาขั้นต่ำไม่เพียงแต่จะใช้งานได้จริงมากกว่า แต่ยังช่วยสร้างพื้นฐานที่มั่นคงอีกด้วย
เย่ฉางชิงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนี้ เขาเข้าใจดีว่าการเริ่มต้นจากพื้นฐานเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สำหรับเขาในตอนนี้ วิชาระดับหวงขั้นก็ถือว่าเป็นวิชาขั้นสูงแล้ว
วิชาแบ่งระดับจากต่ำไปสูง ได้แก่ ต่ำ,กลาง,สูง,ปฐพีและนภา โดยแต่ละขั้นแบ่งออกเป็นระดับต้น กลาง สูง และสูงสุด
คราวนี้เย่ฉางชิงตั้งใจจะฝึกฝนวิชาพื้นฐานระดับต่ำ
“เข้าใจก็ดีแล้ว”
หลังจากมอบป้ายคำสั่งให้เสร็จสิ้น หงจุนก็จากไป หลูยูอูและหลิวซวงถึงแม้ว่าจะเสนอขอตามไปด้วย แต่เย่ฉางชิงก็ปฏิเสธไป
การไปเลือกวิชามาฝึกไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาเลือกด้วยตัวเองมากกว่า
หลังจากทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ เย่ฉางชิงขี่เจ้าเสี่ยวไป๋เดินทางไปยังยอดเขาหลัก
ยอดเขาหลักมีพื้นที่กว้างขวาง ใหญ่กว่าสามสิบหกยอดเขาที่เหลือรวมกันก็ว่าได้ แต่จะไม่มีศิษย์พักอาศัยอยู่ที่นี้ เพราะยอดเขาหลักนี้เป็นที่ตั้งของหน่วยงานสำคัญต่างๆในนิกายเต๋าอี้ไว้
ไม่ว่าจะเป็นหอผู้คุมกฏ หอภารกิจ หอตำราเคล็ดวิชา ตำหนักยา และคลังศาสตราวุธ ทุกแห่งล้วนมีแต่ระดับผู้อาวุโสเป็นผู้ดูแล ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ากับผู้นำยอดเขา
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่ายอดเขาหลักจะไม่มีศิษย์อาศัยอยู่ แต่ก็มีศิษย์จากยอดเขาต่างๆมาใช้งานยังคงคึกคักทุกวัน
ศิษย์มากมายต่างมาเพื่อรับภารกิจ เรียนรู้วิชา หรือแลกเปลี่ยนยาของนิกาย จึงต้องมาที่นี่เท่านั้น
ระหว่างทางที่เดินทางไป เย่ฉางชิงก็ดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อย เพราะเขาขี่เสี่ยวไป๋มา
"โห นั่นใครน่ะ ทำไมมีนกกระเรียนเซียนขี่ด้วย?"
"มองให้ชัดๆ นั่นมันนกกระเรียนเซียนคอแดงนี่น่า!"
เพราะเจ้าเสี่ยวไป๋นั้นโดดเด่นเกินไป ตลอดทางที่มาถึงหอวิชา เย่ฉางชิงที่ถูกมองจนรู้สึกเขินอาย
นอกหอวิชามีเหล่าอาจารย์ดูแลอยู่ ศิษย์ทั่วไปหากต้องการเรียนรู้วิชาจะต้องใช้คะแนนนิกายเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของ
แต่เย่ฉางชิงมีป้ายคำสั่งของหงจุน จึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้
"เจ้าเป็นศิษย์เอกของยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์หรือ?"
เมื่อเห็นป้ายคำสั่งที่เย่ฉางชิงยื่นมา ผู้ดูแลก็อึ้งเล็กน้อย ศิษย์คนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน แต่ทำไมถึงใส่ชุดศิษย์รับใช้?
แล้วยิ่งไปกว่านั้น...
"นั่นใช่คนที่ขี่นกกระเรียนคอแดงมาเมื่อกี้รึป่าวนะ?"
"ใช่ แต่ทำไมถึงใส่ชุดศิษย์รับใช้ล่ะ?"
"ข้าเข้าใจแล้ว"
"เข้าใจอะไร?"
"นี่มันกลยุทธ์ 'แสร้งเป็นหมูเพื่อกินเสือ' ไง ในโลกชาวบ้านมีสำนวนนี้อยู่ หมายถึงคนที่มีฐานะสูงส่ง แต่จงใจแสดงตัวว่าคนธรรมดาสามัญ"
"มีสำนวนนี้ด้วยเหรอ?"
"แน่นอน! ข้าเพิ่งกลับมาจากอาณาจักรเหยียนเฟิง พวกขุนนางตระกูลใหญ่ชอบเล่นอะไรแบบนี้กัน"
"อย่างนี้นี่เอง"
เหล่าศิษย์รอบๆ ต่างพากันจินตนาการไปไกลเกินจริงเพราะไม่สามารถคิดได้เลยว่าศิษย์รับใช้จะมีนกกระเรียนเซียนคอแดงได้ยังไง? ทุกคนจึงสรุปว่าเย่ฉางชิงต้องมีตัวตนไม่ธรรมดาแน่ๆ
เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์รอบตัว เย่ฉางชิงได้แต่ยิ้มเจื่อนเรื่องนี้มันเริ่มหลุดโลกไปทุกที แม้แต่สายตาของผู้ดูแลเฝ้าประตูก็เปลี่ยนไป
"มีป้ายคำสั่งของผู้นำยอดเขา สามารถเข้าออกหอวิชาได้อย่างอิสระ แต่จำไว้ว่าวิชาที่เรียนรู้มาไม่สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ เข้าใจไหม?"
"ศิษย์เข้าใจ"
"เข้ามาเถอะ"
เย่ฉางชิงสามารถเข้าไปในหอวิชาได้สำเร็จ หอวิชามีทั้งหมดหกชั้น ชั้นแรกคือวิชาพื้นฐาน ชั้นที่สองเป็นวิชาระดับกลาง ชั้นที่สามเป็นวิชาระดับสูง ไล่ขึ้นไป
สำหรับชั้นที่หกนั้น เป็นที่เก็บรักษาวิชาที่เหนือกว่าระดับนภา ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของนิกายเต๋าอี้ แม้แต่ผู้ที่ถือป้ายคำสั่งของผู้นำยอดเขาก็ไม่สามารถเข้าไปได้
อย่างไรก็ตาม เย่ฉางชิงก็ไม่ได้คิดจะขึ้นไปถึงชั้นสูงสุดสักนิด จุดประสงค์ของเขาคือการเลือกวิชาพื้นฐานเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
ชั้นแรกของหอวิชามีพื้นที่ใหญ่ที่สุดและมีจำนวนวิชามากที่สุด มีวิชามากมายหลายพันวิชาที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบตามชั้นวางหนังสือ
เย่ฉางชิงตั้งใจเลือกวิชาสำหรับการโจมตีหนึ่ง สำหรับการเคลื่อนไหวหนึ่ง และอีกหนึ่งสำหรับป้องกัน
หลังจากใช้เวลาค้นหาอยู่พักหนึ่ง เย่ฉางชิงก็เลือกได้สามวิชา ได้แก่ กระบวนท่าดาบเงา, ก้าวเจ็ดดาว, และ เกราะปราณ
สำหรับวิชาการโจมตี เย่ฉางชิงเลือกวิชาที่ใช้ดาบ เพราะเขาเป็นพ่อครัวอยู่แล้ว มีดทำครัวก็ถือว่าเป็นดาบอย่างหนึ่ง
ส่วน ก้าวเจ็ดดาว เป็นวิชาที่ช่วยในการเคลื่อนไหวในระยะใกล้ เหมาะสมมากในการต่อสู้ ส่วนเรื่องการเดินทาง เย่ฉางชิงมีเสี่ยวไป๋อยู่แล้ว จึงไม่ต้องการวิชาการเคลื่อนที่เพิ่มเติม
ส่วน เกราะปราณ เป็นวิชาป้องกันที่ค่อนข้างพิเศษ มีทั้งหมดห้าขั้น หากฝึกฝนจนถึงขั้นที่ห้า วิชานี้จะกลายเป็นวิชาระดับกลางที่มีพลังมหาศาล
แต่วิชานี้ฝึกฝนยากมาก นิกายเต๋าอี้จึงแบ่งออกเป็นห้าส่วนตามระดับขั้นต่าง ๆ
เนื่องจากความยากในการฝึกฝน จึงมีศิษย์เพียงไม่กี่คนในนิกายที่ฝึกวิชานี้
แต่สำหรับเย่ฉางชิง เขาไม่ต้องกังวลเรื่องความยากลำบาก เพราะเขามีระบบช่วยทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องง่าย
หลังจากเลือกวิชาเสร็จเย่ฉางชิงไปลงทะเบียนกับผู้ดูแลและได้รับตำราฉบับคัดลอกมา แต่ต้องนำมาคืนภายในหนึ่งเดือน
ในช่วงเวลาต่อมาชีวิตของเย่ฉางชิงเป็นไปอย่างมีระเบียบ นอกจากทานอาหารสามมื้อแล้วก็มีเพียงการฝึกฝนเท่านั้น
ด้วยการช่วยเหลือจากระบบ ทำให้การพัฒนาของเย่ฉางชิงนั้นรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ
【ผู้ใช้: เย่ ฉางชิง】
【ตำแหน่ง: ศิษย์รับใช้ของนิกายเต๋าอี้】
【ระดับการฝึกตน: ลมปราณขั้นสูง (8,360/10,000)】
【เคล็ดวิชา: 】
1. มิ่งซินเจวี่ย ขั้นสูงสุด
2. กระบวนท่าดาบเงา (3,586/10,000)
3. ก้าวเจ็ดดาว (2,813/10,000)
4. เกราะปราณ (689/50,000)
【ชื่อเสียง: เป็นรู้จักในยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์】
【พรสวรรค์: ระดับกลางขั้นกลาง (32,044/50,000)】
【รากฐาน: ระดับกลางขั้นปลาย (40,886/50,000)】
【ปัญญา: ระดับสูงขั้นกลาง (66,974/100,000)】
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เย่ฉางชิงที่ไม่มีอะไรทำได้นอนพักอยู่ในลานบ้าน เขาเปิดดูข้อมูลส่วนตัวและพบว่าพลังของเขาใกล้จะแตะระดับทะลวงเส้นปราณแล้ว
มิ่งซินเจวี่ย นั้นถึงขั้นสูงสุดแล้ว ส่วน กระบวนท่าดาบเงา และ ก้าวเจ็ดดาว ก็ใกล้ถึงขั้นกลางแล้ว สิ่งที่ยากหน่อยคงเป็น เกราะปราณ ซึ่งฝึกยากกว่าวิชาอื่น แต่ด้วยความช่วยเหลือจากระบบ เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา
สำหรับชีวิตในปัจจุบัน เย่ฉางชิงรู้สึกพอใจอย่างมาก ชีวิตสงบสุข ไม่ต้องเผชิญอันตรายใด ๆ และมีทรัพยากรในการฝึกฝนไม่จำกัด มันเป็นชีวิตที่ดีมาก
แต่ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังพึงพอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันของตนเอง จู่ ๆ ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในลาน
"ขอโทษนะ มื้ออาหารผ่านไปแล้ว"
เมื่อรู้สึกถึงตัวตนของผู้มาเยือน เย่ฉางชิงก็พูดขึ้นโดยไม่ได้มองไปที่หญิงสาว แต่ในวินาทีต่อมาเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้น
"เย่ฉางชิง! ผ่านมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว เจ้ายังไม่เอาไหนมากขึ้นทุกที นี่ช่วยทำให้ข้าตัดสินใจแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม"
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เย่ฉางชิงเงยหน้าด้วยความสงสัยและเห็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก แต่ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรังเกียจเหมือนกับไม่ชอบหน้าเขาอย่างมาก
เมื่อมองดูหญิงสาวชัดๆ เย่ฉางชิงนึกถึงคนคนหนึ่งในทันทีและหลุดปากพูดออกมา
"เหอหลู่?"
เขารู้จักหญิงสาวคนนี้ดีและในบางแง่มุมก็สนิทสนมกับเธอ เพราะเธอเป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กและทั้งสองยังมีสัญญาหมั้นหมายกัน จึงถือได้ว่าเธอเป็นคู่หมั้นของเขา
ในใจเขานึกตำหนิตนเองที่ลืมเรื่องนี้ไป ถ้าไม่ได้เจอตัวจริงเย่ฉางชิงก็คงลืมไปแล้วว่าเขารู้จักผู้หญิงคนนี้