บทที่ 12: เอามาให้หมด
แม้นมู่ไป๋ไป่จะยังไม่ลืมตา แต่หูของเธอก็ยังคงได้ยินคำพูดพวกนี้ ส่งผลให้ร่างกายของเธอเกร็งแน่นด้วยความกลัว
ถึงแม้ว่าร่างกายของเธอในปัจจุบันจะเป็นเพียงเด็กอายุ 4 ขวบครึ่ง แต่วิญญาณภายในนั้นเป็นวัยรุ่นที่ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของคนอื่น แล้วเธอจะทนปล่อยให้คนมากมายมามองดูร่างกายของตัวเองโดยไม่อับอายได้อย่างไรกัน
ขณะนี้มู่เทียนฉงไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงจ้องหน้าเด็กน้อยด้วยสายตาเย็นชา “เช่นนั้นก็ถอดเสื้อผ้านางออกซะ”
“...”
คำพูดดังกล่าวทำให้มือของ ‘หมอหลวงจ้าว’ ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ แม้ว่าองค์หญิงหกจะเป็นเพียงเด็กอายุ 4 ขวบครึ่ง แต่ถึงอย่างไรนางก็มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง
หมอหลวงจ้าวมีท่าทีกระดากอายเล็กน้อยในขณะที่พูดออกมาว่า “เอ่อ… กระหม่อมเกรงว่ามันจะไม่เหมาะสม…”
นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างเข้าใจทันทีที่เห็นท่าทางของหมอหลวง นางรีบออกหน้าพูดขึ้นมาอย่างชาญฉลาดว่า “ฝ่าบาท ให้หม่อมฉันเป็นคนถอดเสื้อผ้าองค์หญิงหกเองเถิดเพคะ”
ชายที่มีอำนาจสูงสุดพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ดึงแขนที่วางรองอยู่ที่หลังคอของมู่ไป๋ไป่ออก แล้วลุกขึ้นยืนรออยู่ด้านข้าง
ทางด้านเด็กหญิงเห็นมือของสาวใช้หลายคนกำลังขยับเข้ามาใกล้ผ่านสายตาที่แอบหรี่มอง แล้วเธอก็ยิ่งตื่นตระหนกในใจ
“ซี้ด!” จู่ ๆ มู่ไป๋ไป่ก็รู้สึกเจ็บแขนขึ้นมา ทำให้ร่างเล็กทรุดตัวลงบนเตียงโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เบามือหน่อยสิ!” มู่เทียนฉงส่งเสียงดุขึ้นมา
ขณะนี้มีเหงื่อกาฬไหลซึมอยู่บนหน้าผากของนางกำนัล ในขณะที่พวกนางพยายามผ่อนแรงของตัวเองมากขึ้น
“โอ๊ย!” มู่ไป๋ไป่ร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง
คราวนี้ฮ่องเต้หนุ่มจ้องนางกำนัลด้วยสายตาดุดัน “หลบไป เราจะจัดการเอง”
เหล่านางกำนัลรีบพากันถอยออกไปด้านหลังแล้วคุกเข่าหมอบอยู่บนพื้นโดยไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง
หมอหลวงที่เห็นเหตุการณ์นี้ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หันไปมองพวกนางที่อยู่ด้านข้างก่อนจะก้มหน้าลงเงียบ ๆ
ยามนี้มู่ไป๋ไป่ยิ่งเกร็งร่างกายตัวเองมากขึ้น เพราะเธอไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพ่อขี้หงุดหงิดถอดเสื้อผ้าให้เธอแล้วเกิดโมโหขึ้นมา?
เธอควรจะพูดปฏิเสธอย่างไรดีเพื่อให้ฟังดูสุภาพ?
ขณะนี้มู่เทียนฉงยื่นมือเข้ามาใกล้ตัวเธอมากขึ้นแล้ว และร่างกายเล็กกะทัดรัดของเด็กหญิงก็กำลังขยับไปมาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
“เจ็บหรือ?”
ฮ่องเต้หนุ่มขมวดคิ้วถามคำถามแสดงความห่วงใยออกมาจากริมฝีปากบางสวยของเขา
มู่ไป๋ไป่ส่ายหัวก่อนจะพยักหน้า
ขันทีที่อยู่ด้านข้างเห็นว่าคนตัวเล็กแสดงท่าทีเขินอาย เขาจึงรีบออกหน้าเข้าไปช่วย
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีความคิดบางอย่าง เหตุใดเราถึงไม่ใช้พระแสงกรรไกรตัดแขนเสื้อขององค์หญิงหกออกแทน เช่นนี้พระองค์จะได้ไม่ต้องขยับตัวมากพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจมาก เพราะเขาได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลาพอดี
มู่เทียนฉงขมวดคิ้วขณะกล่าวว่า “ไปเอากรรไกรมาให้เรา”
หมอหลวงจ้าวรีบหยิบกรรไกรออกมาจากกล่องยาแล้วเอาไปวางไว้ที่มือของขันที ซึ่งขันทีก็ยื่นให้กับฮ่องเต้ต่อไป
แล้วมือสวยก็หยิบกรรไกรคมขึ้นมา จากนั้นจึงหยิบแขนเสื้อที่เปื้อนเลือดขึ้นมาด้วยปลายนิ้ว ก่อนจะค่อย ๆ ตัดจากปลายแขนไปจนถึงบริเวณที่ขาดเป็นรอยแส้
“ไป๋ไป่ ยกแขนขึ้น”
คนเผด็จการซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องอารมณ์รุนแรงบัดนี้กลับแสดงท่าทีอ่อนโยนต่อเด็กหญิงคนหนึ่ง
ขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่ค่อย ๆ ยกแขนขึ้นอย่างเชื่อฟัง
การตัดแขนเสื้อออกเป็น 2 ส่วนดูเหมือนว่าจะใช้เวลานานเป็นวัน เพราะมู่เทียนฉงกลัวว่าจะเผลอเอากรรไกรไปทิ่มแทงโดนเนื้อของอีกคน ดังนั้นเขาจึงลงมืออย่างระมัดระวังมากเป็นพิเศษ จนทำให้มีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเขา
ขันทีที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างก็รู้สึกกังวลใจเช่นกัน
“ฝ่าบาท ให้กระหม่อมเป็นคนทำเองเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป็นถึงโอรสสวรรค์ ปล่อยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ให้เหล่าข้าราชบริพารเป็นคนทำแทนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
อันกงกงรวบรวมความกล้าทั้งหมดและขยับตัวออกไปพูดกับฮ่องเต้
มู่เทียนฉงที่กำลังเพ่งสมาธิจู่ ๆ ก็ถูกขัดจังหวะ เขาจึงตวัดตามองคนพูดด้วยสายตาคมดุ “หืม?”
ดูเหมือนว่าจะมีรังสีฆ่าฟันที่แข็งแกร่งถูกปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงในลำคอของเขา
อันกงกงจึงปิดปากฉับ หดคอตัวเอง และถอยกลับไปอยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง
ปัจจุบันแขนเสื้อที่เปื้อนเลือดถูกตัดออกเป็น 2 ชิ้น แล้วมู่เทียนฉงก็โยนกรรไกรลงไปในอ่างที่นางกำนัลถือรออยู่ด้านข้าง
“ขอบคุณท่านพ่อ…”
ปากเล็ก ๆ ของมู่ไป๋ไป่เปิดขึ้นช้า ๆ และเธอก็เอ่ยคำขอบคุณออกมา
แม้ว่าเสียงที่เปล่งออกมาจะเบามาก แต่มันกลับฟังดูนุ่มนวลน่ารักน่าชังเสียอย่างนั้น
มู่เทียนฉงจึงวางมือลงบนหน้าผากของลูกสาวแล้วพูดให้นางสบายใจว่า “ไม่เป็นไร พ่ออยู่นี่แล้ว”
คำพูดนี้ทำให้หัวใจของมู่ไป๋ไป่รู้สึกอบอุ่น มันเหมือนกับเมล็ดพืชที่ถูกรดน้ำอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะงอกขึ้นมา
ส่วนคนอื่น ๆ ที่รออยู่ด้านข้างก็พากันก้มศีรษะลงเพื่อรอรับคำสั่งตลอดเวลา “...”
แม่เจ้า อยากจะควักลูกตาตัวเองออกมาจริง ๆ พวกเรากำลังเห็นอะไรกันเนี่ย!
แม้แต่องค์หญิงใหญ่ที่ได้รับความโปรดปรานมานานนับ 10 ปีตั้งแต่นางเกิด แต่นางก็ไม่เคยได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยนจากฝ่าบาทเลยสักครั้ง
และตอนนี้องค์หญิงหกผู้ด้อยสติปัญญาที่ถูกละเลยมาโดยตลอดกลับเปลี่ยนให้ฝ่าบาทกลายเป็นเหมือนคนละคนได้อย่างไรกัน?
“หมอหลวงจ้าว เข้ามาตรวจดูนางสิ”
หมอหลวงจ้าวที่ยังคงตกตะลึงไม่หายพยายามขยี้ตาตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่ได้ตาฝาดไป
เมื่อจู่ ๆ เขาก็ถูกเรียกอย่างกะทันหัน สติที่ลอยไปไกลของเขาก็กลับเข้าร่างอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะกุลีกุจอเดินไปที่ข้างพระแท่นบรรทม
จากนั้นเขาก็ใช้เข็มเงินเพื่อเปิดดูบาดแผลบนแขนอย่างระมัดระวัง เสร็จแล้วเขาก็หันไปรายงานฮ่องเต้ว่า
“ฝ่าบาท โชคดีที่บาดแผลไม่ได้ลึกถึงขั้นตัดเส้นเลือด นอกจากนี้องค์หญิงหกยังคงมีพระชนมายุน้อย ร่างกายของพระนางสามารถรักษาตัวเองให้หายได้หากพระนางคอยดูแลทายาและเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกวัน และเสริมด้วยการดื่มยาสักหน่อย อีกไม่กี่วันก็คงจะหายดีพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านมั่นใจหรือ?” มู่เทียนฉงขมวดคิ้วถาม
หมอหลวงจ้าวพยายามเพ่งสมาธิอย่างเต็มที่ และเค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก “กระหม่อมมั่นใจพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วนางต้องใช้ของบำรุงร่างกายหรือไม่?” ฮ่องเต้หนุ่มถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวล
“แน่นอนว่ายังต้องใช้ของบำรุงร่างกาย แต่…”
ก่อนที่หมอหลวงจะทันได้พูดจบ มู่เทียนฉงก็หันไปออกคำสั่งกับคนของเขาแล้ว “พวกเจ้าไปนำสมุนไพรที่หายากทั้งหมดมาให้เรา”
“...” คนเป็นหมอถึงกับพูดไม่ออก
หลังจากฮ่องเต้หนุ่มออกคำสั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันกลับมาและเห็นว่าหมอหลวงมีท่าทีอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเลที่จะพูด เขาจึงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสับสน “มีอะไรอีกหรือ?”
หมอหลวงจ้าวส่ายหัวพร้อมกับกลืนคำพูดที่มาจ่ออยู่ที่ริมฝีปากของตัวเองกลับไป
ครั้นมู่เทียนฉงเห็นว่าไม่มีใครยอมขยับตัว เสียงที่ร้อนรนของเขาจึงดังขึ้นในห้องบรรทมอีกครั้ง
“ทำไมยังไม่รีบไปอีก!”
สิ้นเสียงคำสั่ง นางกำนัลกลุ่มหนึ่งก็พากันเร่งรีบวิ่งหน้าตื่นออกจากห้องบรรทมของฮ่องเต้ไปราวกับนักโทษประหารที่ได้รับการปลดปล่อย
หลังจากที่หมอหลวงป้อนยาให้กับมู่ไป๋ไป่แล้ว เขาก็ถอยกลับไปรอรับคำสั่งอยู่ด้านหลัง
ตั้งแต่นั้นมาก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นทั่วทั้งวังหลวง ในยามที่ทุกคนเอ่ยถึงองค์หญิงหก ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดถึงเทพเซียนที่น่าเคารพบูชา
นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของฮ่องเต้ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยิ่งไม่เคยเกิดขึ้นในยามที่อยู่กับองค์หญิงหก มันทำให้ผู้คนต่างพากันพูดคุยถึงเรื่องนี้เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน
หลังจากนั้นวังหลังก็เต็มไปด้วยเรื่องเล่าเกี่ยวกับมู่ไป๋ไป่
…
ในขณะนี้ ตำหนักเย่าเจิ้งได้กลับมาสงบสุขอีกครั้ง
ยามนี้ผ้าชุบน้ำเปียกหมาด ๆ กำลังแตะเบา ๆ อยู่บนริมฝีปากแห้งผากของมู่ไป๋ไป่ และในที่สุดริมฝีปากอ่อนนุ่มของเธอก็กลับมามีสีสันอีกครั้ง
หลังจากได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เธอก็รู้สึกดีขึ้นมาก
ทันทีที่เธอลืมตาขึ้น เธอก็เห็นม่านสีม่วงทองบนเพดาน และยังมีม่านที่ถูกจับจีบสีเหลืองที่ทำมาจากผ้าโปร่งเบาสบายข้างเตียง ประกอบกับลวดลายมังกรอันวิจิตรงดงามขับให้บรรยากาศโดยรอบดูมีมนต์ขลัง
ขณะนั้นเด็กหญิงได้กลิ่นจากหมอนที่ตนหนุนอยู่ แม้แต่ผ้าไหมสีดำที่ถูกห่มอยู่บนตัวก็มีกลิ่นหอม มันไม่เหมือนกับหมอนเน่าที่เธอได้นอนในคืนแรกที่มาถึงที่นี่
ต่อมา คนตัวเล็กสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก็ได้กลิ่นหอมเย็นจาง ๆ ลอยเข้ามาในจมูก ทำให้เธอต้องสูดหายใจด้วยความละโมบอยู่หลายครั้ง
ในระหว่างการกระทำทั้งหมดนี้ เธอไม่ได้สังเกตเห็นสายตาเย็นชาที่จ้องมองมาจากด้านข้างเลย
ในสายตาของมู่เทียนฉง เขาเห็นหัวกลมเล็ก ๆ กำลังมองไปรอบ ๆ แม้ว่าใบหน้าที่ซีดเซียวของนางจะยังไม่กลับมาแต่งแต้มสีดอกกุหลาบ แต่มันก็ไม่ได้มีผลต่อรูปลักษณ์ของนางมากนัก
นั่นทำให้มีรอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของเขาโดยไม่รู้ตัว
เจ้าตัวเล็กนี่น่ารักเสียจริง
ไม่กี่อึดใจถัดมา ประตูก็ถูกผลักเปิดออกเบา ๆ และนางกำนัลก็ถือถ้วยยาเข้ามาภายในห้องบรรทม
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ท่านพ่อผู้โดนลูกสาวตัวน้อยตกเข้าจัง ๆ ถึงขั้นลงมือทำเองเลยทีเดียว