บทที่ 113 เหตุไม่คาดฝัน
"หม่อมฉันได้ลองฝึกมาหลายครั้งแล้วเพคะ รับรองว่าจะไม่ทำให้ใครได้รับบาดเจ็บ" หย่งผิงกงจู่ตอบอย่างมั่นใจ
ไทเฮาทอดถอนหายใจเบาๆ พลางนวดขมับด้วยความเหนื่อยหน่าย "ในเมื่อเจ้าหมายมั่นจะร่ายรำ ก็เชิญเถอะ"
"ขอบพระทัยไทเฮา ขอบพระทัยฝ่าบาท" หย่งผิงกงจู่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ ก่อนจะก้าวขึ้นไปยืนกลางเวที
แส้ที่อยู่ในมือของนางดูใหม่เอี่ยม มีด้ามจับผูกด้วยเชือกสีแดง ดูเหมือนจะไม่ใช่แส้ที่นางใช้ฝึกซ้อมก่อนหน้านี้
ซูเล่อหยุนเหลือบมองแส้นั้นครู่หนึ่งก่อนจะเบนสายตากลับมา
เมื่อเสียงพิณดังขึ้น หย่งผิงกงจู่เริ่มร่ายรำ แส้ในมือนางฟาดไปในอากาศเกิดเสียงแตกดังสอดประสานกับเสียงพิณได้อย่างลงตัว
การร่ายรำด้วยแส้ของนางกลับน่าประทับใจเกินคาด แม้แต่ซูเล่อหยุนยังอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความสนใจ นางเคยคิดว่าแส้จะดูรุนแรงและไม่เหมาะสมกับการแสดงในวัง แต่ตอนนี้แส้ในมือของหย่งผิงกงจู่เปรียบได้กับผ้าคลุมของนักเต้นรำที่สวยงาม เพียงแต่แฝงไปด้วยพลังแข็งแกร่งแทนที่จะอ่อนช้อย
ระหว่างที่หย่งผิงกงจู่หมุนตัว แส้ในมือนางก็ฟาดออกไปตรงทิศทางของเซียวเฉิงอวี่-องค์ชายจิ้น หย่งผิงยิ้มอย่างมีเสน่ห์ แส้ของนางกวัดแกว่งเข้าใกล้เซียวเฉิงอวี่จนเกือบสัมผัสตัวเขา แต่กลับหยุดลงก่อนที่จะแตะโดน เพียงห่างจากถ้วยเหล้าในมือขององค์ชายเพียงนิ้วเดียว แล้วนางก็รวบแส้กลับมา
เสียงพิณเริ่มจางลง สัญญาณว่าใกล้ถึงตอนจบของการแสดง
หย่งผิงกงจู่ฟาดแส้ออกไปครั้งสุดท้ายอย่างทรงพลัง แต่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เมื่อมองดู นางพบว่าด้ามแส้อยู่ในมือของนาง แต่ตัวแส้กลับหลุดออกไปฟาดตรงไปยังทิศทางของภรรยาของหลินและลูกสาวของนาง หลินฉิงฉิง
แส้พุ่งเข้าหาทั้งคู่ด้วยความเร็วที่ไม่ทันให้พวกนางได้ตั้งตัว ทั้งสองได้แต่เบิกตากว้างมองแส้พุ่งเข้ามาหา
"ระวัง!" เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับถ้วยเหล้าที่พุ่งออกจากมือของจ้าวหมิงเยี่ยนเพื่อสกัดแส้ไม่ให้ฟาดโดนพวกนาง
การเคลื่อนไหวของจ้าวหมิงเยี่ยนรวดเร็วและเด็ดขาด ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
ซูเล่อหยุนที่นั่งอยู่ห่างออกไปถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะนางไม่สามารถช่วยอะไรได้ในสถานการณ์นี้
"ขอบพระทัยคุณหนูจ้าวที่ช่วยชีวิต" ภรรยาของหลินกล่าวขอบคุณจ้าวหมิงเยี่ยนอย่างซาบซึ้งใจ
จ้าวหมิงเยี่ยนเก็บแส้ที่ตกลงพื้นและยิ้มอย่างอ่อนโยน "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอแค่ภรรยาและคุณหนูหลินปลอดภัยก็พอ"
นางเดินขึ้นไปข้างหน้าและส่งแส้คืนให้หย่งผิงกงจู่พร้อมกับกล่าว "กงจู่ ครั้งหน้าหากท่านจะแสดงแส้ ควรตรวจสอบแส้ให้ดีเสียก่อนนะเพคะ"
"เจ้า..." หย่งผิงกงจู่หน้าแดงด้วยความอับอาย นางเคยยืนยันว่าไม่มีทางเกิดอุบัติเหตุ แต่กลับเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ความอายทำให้นางยิ่งโกรธ เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวหมิงเยี่ยนยิ่งทำให้นางหงุดหงิด "ข้าไม่ได้ตั้งใจ!"
"หย่งผิง" ไทเฮาตรัสเสียงเข้ม "เจ้าเกิดความผิดพลาดเช่นนี้ ยังไม่รีบขอโทษภรรยาหลินและคุณหนูหลินอีกหรือ"
จ้าวหมิงเยี่ยนแอบยิ้มก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่
หย่งผิงกงจู่เดินไปขอโทษอย่างไม่เต็มใจ "ภรรยาหลิน หขอโทษเจ้าค่ะ เกือบทำให้ท่านบาดเจ็บ"
น้ำเสียงของนางฟังดูไม่จริงใจและยังแฝงความหงุดหงิด
"ไม่เป็นไรเพคะกงจู่" แม้ว่าภรรยาหลินจะไม่พอใจ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่อาจแสดงออกได้ นางจึงยิ้มและตอบรับด้วยความสุภาพ
เรื่องนี้จึงถูกปิดลงชั่วคราว
หย่งผิงกงจู่เดินกลับไปยังที่นั่งของนางด้วยความหงุดหงิด นางไม่เพียงพลาดการแสดง แต่ยังสร้างความอับอายในงานเลี้ยงต่อหน้าองค์ชายจิ้น
เมื่อบรรยากาศของงานเลี้ยงเริ่มผ่อนคลาย ซูหว่านเออร์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ฝ่าบาท หม่อมฉัน ซูหว่านเออร์ ได้เตรียมการร่ายรำเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับทุกท่านเพคะ"
จักรพรรดิพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงาม ขันทีหวังกงกงจึงประกาศ "คุณหนูซูจะถวายการแสดงร่ายรำ"
เสียงดนตรีเริ่มดังขึ้น และจากหลังฉาก ซูหว่านเออร์ปรากฏตัวในชุดร่ายรำที่เปลี่ยนใหม่ นางก้าวออกมาพร้อมท่วงท่าที่อ่อนช้อย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอ่อนหวานนุ่มนวล
ซูเล่อหยุนที่นั่งชมอยู่ ต้องยอมรับว่า ซูหว่านเออร์ร่ายรำได้งดงามอย่างแท้จริง
ท่วงท่าของซูหว่านเออร์ค่อยๆ เคลื่อนไป จนกระทั่งนางหมุนตัวไปหยุดตรงหน้าหยู่หวัง (องค์ชายหยู่) ผ้าแพรในมือนางหลุดออกจากมืออย่างบังเอิญ ตกลงตรงหน้าหยู่หวัง
หยู่หวังยิ้มเล็กน้อย พลางก้มเก็บผ้าแพรขึ้นมา แต่ก่อนที่เขาจะส่งคืน ซูหว่านเออร์ก็หมุนตัวห่างออกไปแล้ว ราวกับการกระทำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง
เมื่อร่ายรำจบลง ผู้คนต่างตบมือด้วยความชื่นชม
"ร่ายรำได้งดงามนัก มอบรางวัลให้!" จักรพรรดิตรัสพร้อมกับโบกมือ
ซูหว่านเออร์ยิ้มหวาน "ขอบพระทัยฝ่าบาท"
ขณะลุกขึ้น นางส่งสายตาเป็นนัยไปทางหยู่หวัง แฝงด้วยความหมายบางอย่าง
ซูเล่อหยุนที่มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในใจครุ่นคิด นี่เป็นการแสดงความกล้าหาญของซูหว่านเออร์ ที่กล้าสร้างสายสัมพันธ์ในงานเลี้ยงของวังหลวงเช่นนี้
หลังจากนั้น ก็มีลูกสาวของตระกูลขุนนางหลายคนออกมาแสดงเช่นกัน
เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง ซูเล่อหยุนที่นั่งทานอาหารจนรู้สึกอิ่มเกือบจะเกินไป ก็รู้สึกโล่งใจเมื่อจักรพรรดิทรงลุกขึ้น
"ท่านทั้งหลาย ตามสบายได้" จักรพรรดิกล่าวก่อนจะเสด็จออกจากงาน โดยมีขันทีหวังกงกงช่วยประคอง ส่วนไทเฮาก็เสด็จออกตามไปเช่นกัน
เมื่อสองพระองค์เสด็จจากไป บรรยากาศในงานก็เริ่มผ่อนคลายขึ้น ขุนนางทั้งหลายต่างเดินไปมาพบปะสังสรรค์กับสหาย และหญิงสาวทั้งหลายก็เริ่มสนทนากันอย่างออกรส
ขณะที่ซูเล่อหยุนกำลังลูบท้องตัวเองเพื่อคลายความอึดอัด นางกำนัลของฉินกุ้ยเฟยก็เดินมาหานางและกระซิบว่า
"คุณหนูซู พระสนมขอให้ท่านไปพบที่ตำหนัก"
ซูเล่อหยุนเงยหน้าขึ้นมองไปที่ทางเข้าตำหนักเว่ยยาง และเห็นฉินกุ้ยเฟยยืนรออยู่ที่ประตู
"รบกวนท่านพี่กรุณารอข้าสักครู่ ข้าจะไปบอกแม่ข้าก่อน" ซูเล่อหยุนรีบไปบอกซุนเจียโหรวอย่างนุ่มนวล
"ท่านแม่เจ้าคะ พระสนมเรียกข้าไป ข้าไปไม่นาน เดี๋ยวจะรีบกลับเจ้าค่ะ"
"เจ้าระวังตัวด้วยนะลูก" ซุนเจียงหรูวกล่าวเตือน นางรู้ว่าปฏิเสธไม่ได้ เพราะการทำให้คนใหญ่คนโตในวังขุ่นเคืองย่อมไม่ใช่เรื่องดี
ซูเล่อหยุนพยักหน้ารับ แล้วหันไปหาลู่เสวี่ยหย่าที่นั่งอยู่ข้างๆ "พี่เสวี่ยหย่า ข้ารบกวนพี่ดูแลแม่ให้ด้วยนะเจ้าคะ"
"ข้าเข้าใจ ข้าจะดูแลแม่เจ้าเอง"
เมื่อออกจากพระตำหนักเว่ยยางแล้ว ฉินกุ้ยเฟยขึ้นไปบนเกี้ยวและหันมาทางซูเล่อหยุน “คุณหนูซู ขึ้นมานั่งด้วยกันเถอะ เราจะได้รีบกลับ”
ซูเล่อหยุนมองที่ว่างในเกี้ยวด้วยความลังเล แต่ฉินกุ้ยเฟยไม่เปิดโอกาสให้นางปฏิเสธ สองนางกำนัลขนาบข้างซูเล่อหยุนและช่วยพานางขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว
“ในงานเลี้ยง ทำไมเจ้าถึงไม่แสดงความสามารถอะไรบ้างล่ะ” ฉินกุ้ยเฟยถามด้วยความสงสัย
ซูเล่อหยุนก้มหน้าลงเล็กน้อยและตอบด้วยน้ำเสียงเรียบร้อย
“หม่อมฉันไม่มีความสามารถที่น่าประทับใจ จึงไม่ได้ขึ้นไปแสดงอะไรเจ้าค่ะ กลัวว่าจะทำให้เสียหน้า”
“เจ้าช่างถ่อมตัวเกินไป” ฉินกุ้ยเฟยตอบอย่างไม่เชื่อ นางรู้สึกว่าซูเล่อหยุนซ่อนความสามารถบางอย่างไว้
“แต่ไม่เป็นไร เจ้ายังเด็ก มีเวลามากมาย ไม่ต้องรีบแสดงออกในตอนนี้หรอก”
คำพูดของฉินกุ้ยเฟยแฝงนัยลึกซึ้ง แต่ซูเล่อหยุนไม่ได้คิดมาก นางเพียงพยักหน้าตอบ “พระสนมตรัสถูกแล้วเพคะ”
ไม่นานนัก เกี้ยวหยุดลงที่หน้าพระตำหนักหยู่ฝู เมื่อก้าวลงจากเกี้ยว ฉินกุ้ยเฟยเดินตรงไปยังตำหนักด้วยท่าทางรีบร้อน
เมื่อเข้ามาด้านใน องค์ชายสิบสามตื่นแล้วและกำลังดื่มยาอยู่ภายใต้การดูแลของนางกำนัล
หมอหลวงอู๋เห็นฉินกุ้ยเฟยและซูเล่อหยุนจึงรีบลุกขึ้น “พระสนม ไม่ต้องกังวลแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้องค์ชายอาการปลอดภัยแล้ว”
องค์ายเพิ่งกลืนยาลงไปพอดี เขาเงยหน้าขึ้นมองฉินกุ้ยเฟยและเรียกเสียงอ่อน “ท่านแม่”
“ลูกเอ๋ย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกชาย ฉินกุ้ยเฟยก็เป็นเพียงแค่แม่ที่รักและห่วงใยบุตรชายอย่างหมดใจ