ตอนที่ 6 เล่นตลก
ตอนที่ 6 เล่นตลก
จนกระทั่ง เวิ่นหยุนซี ช่วยชีวิต อ๋องหลิน ที่กำลังถูกพิษเย็นเล่นงานได้สำเร็จ
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ผู้บัญชาการฟางซ่งหลิน กำลังลาก หลิวจงกวน ออกมาจากป่าทึบอย่างทุลักทุเล
หลิวจงกวน ถูกมัดมือมัดเท้า ปากก็ถูกยัดด้วยผ้าผืนหนึ่ง เสื้อสีน้ำเงินของเขายังเต็มไปด้วยรอยคราบเหนียวเหนอะ
เขาจ้องมองฟางซ่งหลินด้วยความโกรธจัด ใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่มีหนวดเครานั้นเต็มไปด้วยน้ำตา
ฟางซ่งหลินทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง เขารีบปลดผ้าที่อุดปากของหลิวจงกวนออก แต่เชือกเถาวัลย์ที่พันตัวเขาไว้ยังคงไม่ถูกปลด
"ปล่อยข้า ข้าจะเข้าไปช่วยอ๋องหลิน!" หลิวจงกวนตะโกนเสียงแหบแห้ง
ผู้บัญชาการฟางซ่งหลินมองไปทางป่าทึบ เขาขยับขาขวาที่บาดเจ็บเล็กน้อย กัดฟันแน่นก่อนจะพูดว่า "ข้างกายอ๋องหลินยังมีองครักษ์ฝีมือดีอยู่อีกเป็นสิบคน..."
"เจ้านี่มันพูดไร้สาระ! เจ้าเป็นถึงผู้บัญชาการแต่ไม่ทุ่มเทชีวิตเพื่อปกป้องอ๋องหลิน แล้วจะหวังพึ่งพวกองครักษ์พวกนั้นได้ยังไง?!"
ผู้บัญชาการฟางซ่งหลินเริ่มโกรธเช่นกัน "เจ้าคิดว่าถ้าเข้าไปก็จะเจออ๋องหลินง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ? ถ้าอ๋องหลินถูกจับไปจริง พวกเรายังต้องมีชีวิตอยู่เพื่อหาทางช่วยต่างหาก!"
หลิวจงกวนไม่โต้แย้งต่อ แต่ยังยืนยันหนักแน่น "ปล่อยข้า!"
ฟางซ่งหลินถึงกับหัวเราะในความโกรธ หากรู้ว่าเป็นแบบนี้เขาคงไม่ลำบากช่วยหลิวจงกวนออกจากปากงูตั้งแต่แรก!
เขาคลายเชือกเถาวัลย์ที่พันหลิวจงกวนออก "ถ้าอย่างนั้นก็กลับเข้าป่า ไปตายซะเถอะ"
หลิวจงกวนกล่าวขอบคุณ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในป่าทันที
"แค่ก แค่ก...ข้าอยู่ตรงนี้"
มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้หลิวจงกวนหยุดวิ่งและหันกลับมาด้วยความตกใจ อ๋องหลินกำลังนั่งอยู่บนเกี้ยวนุ่ม ๆ และได้ยินทุกอย่างที่พวกเขาพูดกันอย่างชัดเจน
หลิวจงกวนไม่อยากเชื่อสายตา เขาร้องไห้พลางวิ่งไปหาเกี้ยวทันที
"ฮือๆๆ... อ๋องหลิน ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้าตกใจแทบแย่ หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะอธิบายต่อพระสนมเหยียนได้อย่างไรกัน ฮือๆๆ..."
ผู้บัญชาการฟางซ่งหลินถูกองครักษ์ช่วยพยุงขึ้น เขาคำนับอ๋องหลินและเดินกลับอย่างเงียบ ๆ ไปจัดการบาดแผลของตน
แต่อ๋องหลินไม่ได้ตำหนิเขาเลย เพราะการตัดสินใจของผู้บัญชาการฟางซ่งหลินไม่ผิด หากไม่ได้เวิ่นหยุนซีช่วย เขาก็คงถูกจับไปจริง ๆ การที่หลิวจงกวนจะวิ่งเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ที่ฝั่งนักโทษ เวิ่นหยุนซีจับมือเด็กสองคนตรวจดูอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร หลังจากนั้น จึงค่อยรู้สึกโล่งอกจริง ๆ
เสี่ยวเล่อกอดขาเวิ่นหยุนซีไว้แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
"พี่สาวเวิ่น ท่านออกมาได้เสียที"
ฉินอวี้ตบหัวเขาเบา ๆ "ข้าบอกแล้วว่านางจะไม่เป็นอะไร เจ้ายังไม่เชื่อข้าอีก!"
เวิ่นหยุนซีลูบหัวเสี่ยวเล่ออย่างอ่อนโยน ก่อนจะถามว่า "พวกเจ้าออกมากันนานแล้วหรือยัง?"
"ไม่นานหรอก ก็แค่สองสามชั่วยามได้มั้ง ข้าไม่แน่ใจนัก แต่พวกเราออกมาก่อนใคร"
ฉินอวี้ยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ ที่น่ารักของนาง ก่อนจะนั่งลงกับพื้นอย่างสบายใจ
"หลังจากที่เจ้าผลักข้า ข้าก็ลากเสี่ยวเล่อไปทางขวา พอวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็ลื่นตกลงตามเนินเขา แล้วก็กลิ้งไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่พอฟื้นขึ้นมา ข้าก็แบกเสี่ยวเล่อเดินต่อมาอีกหน่อย ก็ออกจากป่าได้แล้ว"
เวิ่นหยุนซีที่เกือบจะกลายเป็นอาหารงูถึงกับนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา "เจ้าโชคดี เหลือเกินจริง ๆ"
"ข้าก็โชคดีพอตัว ปกติเดินตามถนนก็เก็บเงินได้บ้าง พอต้องถูกเนรเทศก็เก็บขนมปังได้บ้าง"
เวิ่นหยุนซี: "..."
เธอจะพูดอะไรได้อีกเล่า ไม่มีอะไรทำร้ายจิตใจได้เท่ากับการเปรียบเทียบเลยจริง ๆ
ในสองวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้เจอกับอันตรายอีก จึงเดินทางอย่างปลอดภัยมาถึงเมืองเฮยซื่อ
แม้จะเรียกว่าเมือง แต่จริง ๆ แล้วเป็นสถานที่ที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่ชนเผ่าจันหยู่ซูยอมจำนนต่อราชวงศ์หยู่ ก่อนหน้านี้ที่นี่ถูกเรียกว่าเฮยซื่อเซี่ยน เป็นศูนย์รวมการค้าที่ใหญ่ที่สุดของหลายชนเผ่าในแคว้นหลานโจว
ประตูเมืองไม่มีแนวกำแพงสูงตระหง่าน มีเพียงเสาหินสองต้นตั้งอยู่เพื่อเป็นเครื่องหมายแบ่งเขต ด้านซ้ายมีตัวอักษรคำว่า "เฮยซื่อเซี่ยน" ในตัวอักษรจีนตัวเต็ม ส่วนด้านขวานั้น เวิ่นหยุนซีไม่รู้จัก คาดว่าน่าจะเป็นตัวอักษรของชนเผ่าจันหยู่ซู
ชายร่างสูงใหญ่ ผิวดำกร้านสิบคนจากชนเผ่าจันหยู่ซูยืนถือหอกขวางทางพวกเขาไว้ สายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยการจับจ้อง ทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
หัวหน้าผู้คุมเจียงเดินไปข้างหน้า ยื่นเอกสารทางการให้ตรวจสอบ แต่พูดไม่กี่คำก็ถูกผลักล้มลงกับพื้น
เวิ่นหยุนซีเดินไปหาหัวหน้าผู้คุมเจียงที่ถอยกลับมา แล้วกระซิบถามเบา ๆ ว่า "เกิดอะไรขึ้น?"
หัวหน้าผู้คุมเจียงเหลือบมองยามที่ยืนอยู่ไกล ๆ ก่อนจะดึงเวิ่นหยุนซีไปที่มุมหนึ่งแล้วพูดเบา ๆ ว่า "พวกเขาบอกว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้าเมือง"
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปมองทางอ๋องหลิน
เวิ่นหยุนซีหัวเราะเบา ๆ เธอเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นการตั้งใจแสดงอำนาจข่มอ๋องหลินผู้เป็นเจ้าเมืองใหม่ ส่วนพวกเขา นักโทษเหล่านี้ก็แค่โชคร้ายที่มาเจอเหตุการณ์นี้ พวกเขาไม่สำคัญอะไรเลยด้วยซ้ำ
ในขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการฟางซ่งหลินก็เดินไปที่หน้าเกี้ยว ก่อนจะโค้งตัวแล้วรายงานว่า "ท่านอ๋อง คนพวกนั้นไม่มีรอยสักที่ชัดเจนให้เห็น"
อ๋องหลินพยักหน้า และไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลย
หัวหน้าชนเผ่าจันหยู่ซูที่สามารถคิดหาทาง ยึดอำนาจโดยการพึ่งพาราชวงศ์หยู่ ย่อมไม่ใช่คนโง่ที่จะทิ้งหลักฐานให้ถูกจับได้ง่าย ๆ ไม่นานเกินรอ หัวหน้าชนเผ่าจันหยู่ซูผู้ฉลาดหลักแหลมก็นำคนอีกหลายพันคนเดินมายังที่พวกเขาอยู่
คนที่มาไม่ต่างจากภาพเหมือนที่อ๋องหลินเคยเห็น ใบหน้าขาว หนวดเครายาว พร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร เสื้อคลุมกว้างแขนยาว การเคลื่อนไหวท่วงท่าละม้ายคล้ายบัณฑิตมากกว่าหัวหน้าชนเผ่าป่าเถื่อนที่เพิ่งยอมสวามิภักดิ์เมื่อห้าปีก่อน
ซางฝูยกมือขึ้นประนมเหนือศีรษะแล้วโค้งคำนับลงลึก "ขออภัยที่มาต้อนรับช้า โปรดอ๋องหลินทรงลงโทษ"
คำพูดของเขาเป็นภาษาฮั่นอย่างคล่องแคล่ว เต็มไปด้วยความสำนึกผิดและความจริงใจ
"แค่ก ๆ ๆ... ท่านซางทำผิดสิ่งใดกันเล่า? ข้าเองที่มาถึงโดยไม่แจ้งล่วงหน้า"
หลังจากพูดจบ อ๋องหลินก็ไอออกมาอย่างอ่อนแรงหลายครั้ง ราวกับหมดเรี่ยวแรง ผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือของเขาหลุดร่วงลงจากเกี้ยว
สายตาของซางฝูเหลือบมองรอยเลือดสดบนผ้าเช็ดหน้า แววตาของเขาแวววาวขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งดูเป็นมิตรขึ้นไปอีก
"ท่านอ๋องหลินเดินทางเหนื่อยล้า ของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ โปรดรับไว้เถิด"
เขาปรบมือเรียก คนรับใช้ผู้ติดตามก็ยกกล่องไม้ที่ดูประณีตมาเปิดต่อหน้าทุกคน ภายในมีไข่มุกสีทองขนาดเท่าหัวแม่มือสิบเม็ด แค่เห็นก็รู้ได้ว่ามีมูลค่าสูงมาก
อ๋องหลินรับไว้และมอบของตอบแทนเป็นภาพวาดหนึ่งภาพ
หลิวจงกวนคลี่ภาพวาดนั้นออกให้ทุกคนเห็น เป็นภาพวิวชนบท เด็กหนุ่มผู้หนึ่งในชุดหรูหรานั่งบนหลังวัว สีหน้าดูผ่อนคลายและสบายใจ
"ของเล็กน้อยนัก หวังว่าท่านซางจะไม่ถือสา"
ซางฝูรับภาพวาดนั้นด้วยรอยยิ้มและเอ่ยชื่นชมอย่างไม่ขาดปาก "ได้ภาพวาดจากอ๋องหลิน ถือเป็นบุญวาสนาของข้าจริง ๆ"
ทั้งสองสบตากัน โดยไม่พูดอะไรต่อ
ขณะที่พวกเขากล่าวคำเยินยอกันไปมา ขบวนนักโทษที่ถูกเนรเทศก็เดินตามหัวหน้าผู้คุมเจียงเข้าเมืองไปแล้ว
หลิวจงกวนมองตามกลุ่มที่ค่อย ๆ ลับตาไป ก่อนจะถอนหายใจยาว
อ๋องหลินสังเกตเห็นท่าทางของหลิวจงกวน เขาก้มลงซ่อนอารมณ์ของตัวเอง แล้วหันกลับมาสนทนากับซางฝูต่อ
เขาไอเบา ๆ สองสามครั้งก่อนจะเอ่ยว่า "ข้าได้ยินมาว่าแคว้นหลานโจวมีทิวทัศน์ที่งดงามยิ่งนัก ตอนนี้สภาพร่างกายของข้าไม่รู้จะทนได้อีกนานแค่ไหน ถ้าหากได้พักพิงอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม ก็คงจะไม่มีอะไรให้เสียดายอีกแล้ว"
"ท่านอ๋องจะต้องมีอายุยืนยาวแน่นอน"
อ๋องหลินเห็นว่าซางฝูยังไม่ตอบรับสิ่งที่เขาต้องการ จึงพูดออกมาอย่างชัดเจนขึ้นว่า "ท่านซางพอจะมีสถานที่พักผ่อนที่ไหนแนะนำหรือไม่?"
ซางฝูเหลือบมองอ๋องหลินอีกสองสามครั้ง ก่อนจะยอมโอนอ่อน "นอกเมืองไปห้าสิบลี้ มีหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง ที่นั่นสามารถได้ยินเสียงดนตรีสวรรค์ และมีบ่อน้ำพุร้อนให้แช่ ข้าคิดว่าท่านอ๋องคงจะชอบ"
อ๋องหลินยิ้มเบา ๆ ใบหน้าที่ซีดเซียวดูอ่อนแอลงไปอีก
ซางฝูเองก็ไม่ได้โกหก ที่หมู่บ้านร้างนั้นวิวทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก ด้านซ้ายมีน้ำตกไหลลงมา ส่วนด้านหลังเป็นบ่อน้ำพุร้อน
เบื้องหน้าคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีลำธารใสไหลผ่าน เมื่อสายลมพัดมาก็หอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้และความเย็นสดชื่นมาด้วย
ท่ามกลางความงดงาม หลิวจงกวนก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
อ๋องหลินรับน้ำชามาบ้วนปาก พร้อมกับเช็ดเลือดปลอม ที่มุมปากออก
เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องยังไม่สนใจตนเอง หลิวจงกวนจึงเอ่ยขึ้นว่า "ท่านอ๋อง ทำไมไม่เชิญแม่นางเวิ่นมาอยู่ด้วยเล่า?"
อ๋องหลินวางถ้วยชาแล้วหัวเราะเบา ๆ "นางมีแผนการของตัวเอง หากอยู่ที่นี่จะเสียความสามารถของนางเปล่า ๆ"
"ท่านเป็นถึงอ๋อง..."
อ๋องหลินขัดจังหวะเขา "หลิวจงกวน รินชาให้ข้าอีกถ้วย ส่วนเรื่องเวิ่นหยุนซี รอดูอีกสักพักแล้วเจ้าจะเข้าใจเอง"
...โปรดติดตามตอนต่อไป...
หากพบเห็นคำที่พิมพ์ผิด แจ้งได้เลยนะ