ตอนที่แล้วตอนที่ 2 เธอคือเจ้าแห่งการหลอกลวง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 4 อ๋องหลิน

ตอนที่ 3 การโจมตีของแมลงประหลาด


ตอนที่ 3 การโจมตีของแมลงประหลาด

ในช่วงเวลาที่คับขัน เวิ่นหยุนซีตะโกนว่า "เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งขยับกันนะ! ขอเวลาให้ฉันหน่อย!"

หลังจากตะโกนออกไป แม้เธอจะลังเล แต่ก็รีบไถลตัวลงจากหน้าผา จับขอบทางแคบๆ ใช้มือค่อยๆ ขยับเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

ร่างกายผอมบางของเวิ่นหยุนซีสั่นไหวไปมากับสายลม หากไม่ใช่เพราะมือทั้งสองจับหน้าผาไว้แน่น เธอคงโดนลมพัดตกลงไปในหุบเขาแล้ว

นิ้วมือเจ็บปวดอย่างรุนแรง ของเหลวอุ่นๆ ที่เพิ่งไหลออกมาก็ถูกลมพัดจนเย็นเฉียบ เวิ่นหยุนซีเลียริมฝีปาก ได้รสชาติคาวหวานเต็มปาก

ไม่ต้องเงยหน้ามองก็รู้ได้ทันที ว่าเล็บของเธอแตกเพราะออกแรงมากเกินไป แต่เธอก็ไม่สามารถผ่อนแรงลงได้เลยแม้แต่น้อย ถ้าปล่อยมือเพียงนิดเดียว เธอจะถูกลมพัดตกลงจากหน้าผาแน่นอน

"เจ้า..."

ทุกคนต่างตกตะลึง แม้แต่คนที่ก่อนหน้านี้ที่โกรธจนด่าออกมา ก็ยังเริ่มเงียบลงทีละน้อย

เวิ่นหยุนซีค่อยๆ คลานไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ เด็กหญิงคนนั้นถอยออกไปสองก้าวเพื่อเปิดทางให้ ดวงตาของเธอมองไปที่นิ้วมือที่เต็มไปด้วยเลือดของเวิ่นหยุนซีด้วยความรู้สึกซับซ้อนยากเกินจะอธิบายได้

เจ้านี่...น่าสนใจจริงๆ

เวิ่นหยุนซีค่อยๆ คลานไปจนถึงด้านหน้าของเด็กชาย โดยไม่พูดอะไรสักคำ เธอฉีกชายเสื้อของชุดนักโทษมาผูกเด็กชายที่ดิ้นรนไว้กับเอวของตัวเอง

พอเธอหันกลับไปจับหน้าผา ก็มีคนเกาะหลังเธอทันที

"ลงไป!" เวิ่นหยุนซีกัดฟันพูด

เด็กสาวพูดเสียงอ่อนแรงว่า "ข้าใช้แรงไปเยอะมากแล้ว ไต่หน้าผาไม่ไหวแล้ว"

เวิ่นหยุนซี: "..."

เธอก็ไม่มีแรงเหลือเหมือนกัน! นิ้วแตกไปห้านิ้ว บนเอวยังมีเด็กชายเกาะอยู่ ถ้ายังต้องแบกเด็กสาวอีกคนไว้บนหลัง คงไม่พ้นต้องตกลงไปเป็นซากในหุบเขานั่นแน่!

"หยุดพูดมาก แล้วไสหัวลงไป!"

เธออยากช่วยคน แต่ไม่ได้อยากเสียชีวิตของตัวเอง!

เด็กสาวกลับไม่ขยับ แถมยังกอดแน่นขึ้นกว่าเดิมอีก

จะตายก็ให้มันตายไปเถอะ อย่างน้อยก็ไม่เหงาระหว่างทาง

เวิ่นหยุนซีไม่กล้าขยับตัวแรงๆ เพราะกลัวจะทำให้ทั้งคู่ตกลงไป สุดท้ายก็ต้องยอมเป็นสัตว์ขนของ แบกความเจ็บปวดจากนิ้วที่แตกๆ แล้วก้าวเท้าข้ามหน้าผาไป

เธอพลาดแล้ว จริงๆ!

สองวันต่อมา เมื่อมองดูเด็กสองคนข้างหน้าทั้งตัวใหญ่และตัวเล็ก เธอยิ่งรู้สึกเสียใจเข้าไปอีก

เด็กสาวที่โกงข้าวเธอไปครึ่งชาม และยังให้เธอแบกมาตลอดทาง ชื่อว่า ฉินอวี้ ปีนี้อายุครบ 12 ปี

ชีวิตของเด็กสาวคล้ายกับเธอ ครอบครัวของฉินอวี้ก็โดนโทษเพราะการกบฏเมื่อช่วงต้นเดือนหกเช่นกัน พ่อและพี่ชายถูกประหาร ญาติผู้หญิงพอได้ยินว่าจะถูกเนรเทศไปแคว้นหลานโจวก็พากันแขวนคอตายหมด เหลือเพียงเด็กสาวคนนี้ที่เดินทางเพียงลำพัง

เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาเลย คนอื่นโดนเนรเทศจนทรมานทั้งกายและใจ แต่เด็กสาวกลับใช้ชีวิตราวกับปลาได้น้ำ

เวิ่นหยุนซีพยายามหลบเลี่ยงเด็กคนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ไม่วายถูกตามติดจนได้ ด่าเท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป ไม่มีทางทำอะไรได้เลย

ส่วนเด็กชายคนนั้น หลังจากถามเรื่องราวชัดเจนแล้วก็ได้รู้ว่าเขาชื่อ เสี่ยวเล่อ ปีนี้เพิ่งจะสี่ขวบ ถูกเนรเทศพร้อมกับแม่ แต่แม่ของเขาตกลงไปตายในหุบเขา

สำหรับเด็กคนนี้ เวิ่นหยุนซีแม้จะรู้สึกลำบากใจ แต่ก็ไม่อาจทิ้งเขาไปโดยไม่สนใจได้

"เฮ้อ..."

ช่างมันเถอะ มีคนมากขึ้นก็คงจะครึกครื้นขึ้นบ้าง ยังไงในอนาคตก็ต้องจ้างคนงานอยู่ดี

"พี่สาวเวิ่น ข้าหิว" ชายเสื้อถูกดึงเบาๆ

เวิ่นหยุนซีก้มลงมอง เห็นสายตาอ้อนวอนของเด็กชายแล้วรีบเบือนหน้าไปทางอื่นทันที

"หิวก็ต้องทนเอา"

มองเธอไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอเองก็หิวเหมือนกัน

เมื่อวานเธอได้กินแค่ขนมปังแห้งครึ่งชิ้น วันนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย

ที่นี่มันเป็นที่บ้าอะไร รอบตัวมีแต่หินสีเทาๆ ขาวๆ หาหญ้าสักต้นยังไม่มี เธอจะไปหาอะไรกินได้จากไหน ถ้าไม่ได้สนิทกับพวกผู้คุม คงไม่ได้แม้แต่ขนมครึ่งชิ้นด้วยซ้ำ

เมื่อวานเธอก็เห็น คนอื่นได้แค่ชิ้นเล็กๆ ขนาดสองนิ้ว กินยังไม่ทันเต็มฟันก็หมดแล้ว

ในขณะที่คิดๆ อยู่ ขบวนก็หยุดกะทันหัน

"พักที่เดิม ห้ามส่งเสียงดัง"

หัวหน้าผู้คุมเจียงถือแส้เดินมาจากด้านหน้าขบวน เสียงเขาแม้ยังฟังดูดุดันเหมือนเดิม แต่ก็กดเสียงให้ต่ำลง ราวกับกลัวจะรบกวนใครบางคน

เวิ่นหยุนซีหรี่ตาเล็กน้อย ยืนขึ้นบนก้อนหินแล้วมองไปไกลข้างหน้า

สุดขอบฟ้าอันแห้งแล้ง เธอเห็นธงสีแดงเข้มกำลังโบกสะบัดตามลม บนธงมีตัวอักษร "หลิน" ที่ปักด้วยเส้นไหมทองคำเปล่งประกายท่ามกลางแดดร้อนแรง

หลังจากหัวหน้าผู้คุมเจียงเดินผ่านไป เวิ่นหยุนซีก็หันไปถามผู้คุมข้างหลังเธอเบาๆ "ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มีอ๋องหลิน?"

ผู้คุมชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงเบา "ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้ ก็ตอนนั้นบ้านของตระกูลหยุนซี ถูกจับเข้าคุกไปแล้ว"

เขามองซ้ายมองขวา แล้วลดเสียงลงอีก

"เรื่องที่องค์ชายสามบีบคั้นจักรพรรดิ เจ้าคงได้ยินบ้างล่ะสิ ได้ข่าวว่าคนที่หยุดเรื่องนี้ได้ก็คือองค์ชายเก้า หรืออ๋องหลินในตอนนี้นี่แหละ"

เวิ่นหยุนซีพยักหน้า ข้างๆ กัน ฉินอวี้ก็พยักหน้าตามไปด้วย

นักโทษในกลุ่มนี้ล้วนเป็นครอบครัวของขุนนางที่เข้าข้างองค์ชายสาม จึงรู้เรื่องที่องค์ชายสามบีบคั้นราชบัลลังก์และความล้มเหลวกันมาก่อนอยู่แล้ว

“พูดถึงองค์ชายเก้าของเรานี่ก็ซวยแต่เด็ก ตอนเกิดก็ดันเจอพวกเป่ยตี้บุกชายแดน พออายุครบหนึ่งขวบก็มีข่าวว่าแม่ทัพเหยียนผู้เป็นตาของเขาพ่ายศึก สุดท้ายเราต้องยอมยกดินแดนและจ่ายเงินให้เป่ยตี้เพื่อความสงบ”

คนทั่วไปชอบเรื่องซุบซิบ พอเห็นเด็กสาวสองคนฟังอย่างสนใจ ผู้คุมก็ยิ่งเล่าอย่างออกรส

“เขาเลยถูกลือว่าเป็นตัวอัปมงคล ไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิเลย ได้ยินว่าพระราชพิธีใหญ่ๆ ยังไม่ให้เขาเข้าร่วม แต่ถึงอย่างนั้นองค์ชายเก้าก็ฉลาดมาก ตอนอายุสิบขวบได้รับคำชมจากไท่ฟู่เพราะบทความที่เขาเขียน เจ้ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”

เด็กสาวทั้งสองส่ายหัวพร้อมกัน รอฟังต่อ

“ลูกพี่ลูกน้องของป้าฝั่งพ่อของข้าทำงานอยู่ในวัง เขาบอกว่าทันทีที่จักรพรรดิได้อ่านบทความนั้น ก็สั่งขับไล่องค์ชายเก้าออกจากวังทันที ให้บ้านหลังหนึ่งแบบส่งๆ แล้วก็ห้ามกลับมาเรียนอีกเลย”

เวิ่นหยุนซีส่ายหัวเบาๆ องค์ชายเก้าคนนี้คงไม่ใช่ลูกแท้ๆ เป็นแน่

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ในความทรงจำของเธอแทบไม่มีเรื่องเกี่ยวกับองค์ชายเก้าเลย ถูกรังเกียจขนาดนี้ ก็ไม่แปลกที่จะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน

ฉินอวี้เห็นผู้คุมหยุดพูด จึงรีบถามต่อด้วยความสงสัย “แล้วเขาหยุดองค์ชายสามได้ยังไงล่ะ?”

ผู้คุมส่ายหัว “เรื่องนั้นยังไม่ได้แพร่ออกมา ตอนข้าออกจากเมืองหลวงก็ยังไม่มีข่าว”

พวกเขาคุยกันต่อเบาๆ อีกสักพัก จากนั้นก็หาที่นั่งพักกันตามสะดวก

ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน เวิ่นหยุนซีก็ถูกปลุกด้วยเสียงโหวกเหวก

เธอขมวดคิ้วลืมตาขึ้น ก็เห็นผู้คุมที่คุยซุบซิบกับเธอกำลังกระโดดลงจากหน้าผา

“เจ้าทำอะไร?!”

เวิ่นหยุนซีพุ่งเข้าไปจับตัวเขา แต่ก็สายไปแล้ว แม้แต่ชายเสื้อก็ยังจับไม่ทัน

เธอนอนลงมองไปข้างล่างอย่างงุนงง แล้วก็เห็นร่างของผู้คุมคนนั้นแตกกระจายเป็นชิ้นๆ

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ในขณะที่ยังสงสัย เสียงตะโกนก็ดังมาจากด้านหน้าของขบวน

“หนีเร็ว! มีเสือ!”

“เฮ้ย! นั่นมันกระต่ายนี่!”

“แม่จ๋า อย่าแขวนคอเลย!”

“เร็วเข้า! ปกป้องท่านอ๋อง มีนักฆ่า!”

เวิ่นหยุนซี: "???"

เกิดอะไรขึ้น? พวกเขาบ้ากันหมดแล้วหรือ?

หน้าผาที่มีแต่หินแบบนี้ จะมีทั้งกระต่ายและเสือได้ยังไง?

หรือว่า...

หรือว่าหินสีเทาๆ พวกนี้จะมีรังสีอะไรบางอย่าง?

เวิ่นหยุนซีรีบลุกขึ้นยืน ผูกตัวเสี่ยวเล่อไว้บนหลัง

"เสี่ยวเล่อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามขยับเด็ดขาด"

เธอคิดไปคิดมาก็หันไปบอกฉินอวี้ "แล้วเจ้าด้วยนะ ต้องเดินตามข้าให้ดี ถ้ารู้สึกไม่ดีต้องรีบบอกทันที"

ฉินอวี้พยักหน้า กำลังจะยื่นมือไปจับชายเสื้อของเวิ่นหยุนซี แต่ทันใดนั้นภาพเบื้องหน้าของเธอก็มืดลง สายตาเลื่อนลอย

เวิ่นหยุนซีไม่เห็นฉินอวี้ขยับจึงหันไปมองด้วยความสงสัย ก็เห็นเด็กสาวยืนจ้องไปทางขวามือด้วยสายตาเหม่อลอย ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยน้ำตา

"ฉินอวี้? นี่เจ้าเป็นอะไร?"

ยังไม่ทันที่เวิ่นหยุนซีจะถามจบ ฉินอวี้ก็พุ่งตรงไปทางหน้าผาทันที

"เจ้าจะทำอะไร! ทางนั้นมันหน้าผา!"

เวิ่นหยุนซีรีบดึงคอเสื้อของฉินอวี้กลับมา เห็นเธอตาลอยไร้สติ จึงฟาดไปที่หน้าแรงๆหนึ่งที แต่ก็ไม่สามารถปลุกให้ตื่นได้

มีบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว!

เวิ่นหยุนซีรีบกดฉินอวี้ลงกับพื้น แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าของเธอออก มือคลำไปตามผิวหนังอย่างละเอียด

เดี๋ยวก่อน นั่นมันอะไร?

เวิ่นหยุนซีมองดูอย่างตั้งใจ ก็เห็นเส้นสีดำบางๆ คลานขึ้นไปตามลำคอของฉินอวี้ มุ่งหน้าไปยังหนังศีรษะ

"อดทนหน่อยนะ"

เวิ่นหยุนซีตัดสินใจทันที ใช้นิ้วจิกลงไปตรงนั้นอย่างแรง แล้วดึงเส้นสีดำนั้นออกมา

เส้นดำดิ้นไปมาอยู่ในมือเธอ พยายามม้วนตัวเข้าไปในนิ้วของเธอ

ว่าแล้วเชียว คนพวกนี้โดนเจ้าตัวประหลาดนี่เข้าสิงสมอง

เวิ่นหยุนซีปัดมันออกจากมือแล้วใช้ก้อนหินทุบเส้นดำจนแหลกละเอียด เมื่อเห็นว่าไม่ขยับอีกก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ

"พี่สาวเวิ่น?"

ฉินอวี้มองการกระทำของเวิ่นหยุนซีด้วยความงุนงง

เวิ่นหยุนซีไม่ได้อธิบาย เธอเพียงแต่หันไปบอกเสี่ยวเล่อ "ข้าขอฝากให้ฉินอวี้ช่วยตรวจดูเจ้านะ เดี๋ยวข้าจะไปดูข้างหน้าเอง"

…โปรดติดตามตอนต่อไป…

หากพบเจอคำที่พิมพ์ผิด แจ้งได้เลยนะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด