ตอนที่ 2 เธอคือเจ้าแห่งการหลอกลวง
ตอนที่ 2 เธอคือเจ้าแห่งการหลอกลวง
"ข้าไม่ได้พูดมั่ว!"
ถึงแม้จะถูกมองด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม เวิ่นหยุนซี ก็ไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้คุมด้วยแววตาที่แน่วแน่
"ตาของข้า สอนข้าว่า จรรยาบรรณของหมอคือความเมตตา แล้วข้าจะปล่อยให้พวกท่านตายอย่างทรมานได้อย่างไร"
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้งในกลุ่มนักโทษที่เพิ่งจะเงียบสงบลง
"ทุกคนเงียบ!"
หัวหน้าผู้คุม เจียง หันกลับมาตวาด แล้วจับคอเสื้อของเวิ่นหยุนซี ยกเธอขึ้นทั้งตัว
"เจ้าแช่งข้าเหรอ!"
ถึงแม้จะโดนบีบคอจนเกือบหายใจไม่ออก เวิ่นหยุนซีก็ยังคงใจเย็นอยู่ เธอชี้ไปที่บริเวณไหล่ของหัวหน้าผู้คุมเจียงแล้วพูดขึ้น
"ท่านลองกดตรงนี้ดู หากรู้สึกปวดท้องน้อย แสดงว่าท่านติดพิษหญ้าเจ็ดวันพิฆาตแล้ว"
หัวหน้าผู้คุมเจียง ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ก็รีบปล่อยเวิ่นหยุนซีลง แล้วลองกดตรงจุดที่เธอชี้ จากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว
เวิ่นหยุนซีหรี่ตามองด้วยรอยยิ้มเงียบๆ สำเร็จ!
และเป็นไปตามที่คิด หลังจากที่หัวหน้าผู้คุมเจียงไปปรึกษากับผู้คุมคนอื่นกลับมา ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
"เอ่อ ท่านหญิง เอ่อ ไม่สิ ท่านหมอ ข้าขอโทษที่หยาบคายใส่ เอ่อ…พอจะมีทางรักษาไหม?"
เวิ่นหยุนซีไม่ได้ตอบในทันที เธอเดินไปดูรอบๆ ข้างทางจนกระทั่งหัวหน้าผู้คุมเจียงเริ่มเร่งถาม เธอจึงเด็ดใบไม้อันหนึ่งขึ้นมาให้ดู
"พิษกับยาอยู่เคียงข้างกันเสมอ ต้นหญ้านี้ หากใช้ผสมกับการกดจุดของข้า วันละครั้ง ทำต่อเนื่องสิบสี่วันก็จะหายได้"
พอเธอพูดจบ ทุกคนก็ถอนหายใจกันอย่างโล่งอก
แม้การถูกเนรเทศไปยังดินแดนรกร้างอย่างแคว้นหลานโจวจะดูไม่ค่อยดีนัก แต่ใครกันจะอยากตาย แถมยังต้องตายเพราะพิษอีกด้วย
เวิ่นหยุนซีใช้กลเม็ดเด็ดดวง สร้างความเชื่อมั่นกับผู้คุมทั้งกลุ่มได้สำเร็จ
หนึ่งชั่วยามต่อมา
ขณะที่ เวิ่นหยุนซีกำลังนั่งกินข้าวอยู่นั้น จู่ๆในหัวของเธอก็มีเสียงดังขึ้นพร้อมกับแจ้งเตือนว่าได้รับแต้มคะแนนสะสมอย่างต่อเนื่อง รอยยิ้มที่มุมปากของเธอกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ถึงจะต้องสะสมให้ได้ถึงสิบพันล้านแต้มก็เถอะ แต่ในพจนานุกรมของเธอนั้นไม่มีคำว่ายอมแพ้แน่นอน
ถูกเนรเทศแล้วยังไงล่ะ ถ้าสู้สุดใจก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นใหญ่ได้เหมือนเดิม!
"พี่สาวเวิ่น กลิ่นข้าวหอมจังเลย อร่อยหรือไม่?"
เสียงเด็กน้อยที่ยังไม่โตเป็นสาวดังขึ้นข้างๆ เวิ่นหยุนซี จึงหยุดความคิดของเธอที่กำลังฮึกเหิม
เธอเงยหน้าขึ้นมองและเห็นเด็กสาวอายุประมาณ 12 ถึง 13 ปี กำลังจ้องมองข้าวสวยในชามของเธอด้วยความหิวโหย
เวิ่นหยุนซี: "..."
เธอขยับขาหลบแล้วหันหลังไปกินต่อ
"ข้าขอแลกขนมปังนี้กับข้าวของท่านได้ไหม?"
เด็กสาวยื่นขนมปังแข็งที่ถูกกัดไปแล้วให้เวิ่นหยุนซี
อืม…ดูคุ้นๆ เหมือนจะเป็นชิ้นที่เธอทำตกเมื่อตอนบ่าย
เวิ่นหยุนซีเหลือบมองขนมปังนั้นแค่แวบเดียว แล้วกินข้าวต่อเหมือนไม่สนใจเด็กสาว
"ตอนที่เก็บฟืนข้าเดินอยู่ใกล้ท่าน ข้าเห็น..."
ไม่ทันที่เด็กสาวจะได้พูดจบ เวิ่นหยุนซีก็ยัดข้าวครึ่งชามที่เหลือให้เด็กสาวไป
ข้ายอมเจ้าเลย!
หลังจากได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ข้างหลัง เวิ่นหยุนซีเบ้ปาก
นังเด็กคนนี้ รอให้ถึงคราวของเจ้าบ้างเถอะ!
ก่อนเข้านอน เวิ่นหยุนซีเปิดดูหน้าจอระบบ ตอนนี้คะแนนที่มีจาก 0 เพิ่มขึ้นมาเป็น 134 คะแนนแล้ว
ถึงแม้เธอจะ "รักษา" คนได้ถึง 400 คน แต่การได้รับคำ "ขอบคุณ" จากคนไข้ มากถึงหนึ่งในสามก็ถือว่ามากเกินคาดแล้ว
การเริ่มต้นใหม่มันยากเสมอ แต่มันก็เหมือนกับงานขาย หลังจากนี้หากเธอสร้างความเชื่อใจได้มากขึ้น แต้มคะแนนสะสมก็จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
ในอีกห้าวันต่อมา เวิ่นหยุนซี ก็ยังคงใช้วิธีการเดิมต่อไป
เธอทำการกดจุดที่ข้อมือของผู้คนทุกวัน ทำให้แต้มสะสมของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มีแต้มสะสมได้ถึงหลักพันแล้ว
เธอเองก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์
เธอใช้คะแนนไปกับระบบแลกเปลี่ยนทักษะขั้นต้นจากหลากหลายสาขา รวมถึงทักษะเกี่ยวกับนรีเวช (สาขาวิชาที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของผู้หญิง) และเรียนรู้ไปกับระบบทั้งวันทั้งคืน
เหล่าผู้คุมที่เห็นว่าเธอมีขอบตาดำคล้ำ ก็คิดว่าเธอพยายามรักษาพวกเขาอย่างเต็มที่ จึงพาเธอขึ้นไปนั่งบนเกวียน ให้เธอไม่ต้องเดินทางด้วยเท้าต่อไป
ณ ตอนเที่ยงของวัน ขณะที่แสงแดดแผดเผาอย่างรุนแรง
ทุกคนหยุดเดิน และมองไปยังหน้าผาที่สูงชันเบื้องหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หน้าผาสีเทาอมน้ำตาลตั้งตระหง่านขึ้นไปอย่างสูงชัน มีแต่ทางแคบๆ ที่เหมือนกับว่ามีเพียงเท้าข้างเดียวที่จะสามารถเดินผ่านไปได้ และเป็นช่องทางที่ตัดผ่านหน้าผา ส่วนด้านข้างคือหุบเขาที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ไม่มีร่องรอยของต้นไม้เขียวขจีเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าอากาศร้อนในเดือนกรกฎาคมจะร้อนอบอ้าว แต่กลับทำให้รู้สึกหนาวเย็น และกลัวจนตัวสั่น
ผู้คุมที่ดันเกวียน รู้ดีว่าพวกเขาต้องข้ามที่นี่ไป พอเดินไปถึงหน้าผา เขาก็เริ่มแบกของทั้งหมดขึ้นบนหลัง หัวหน้าผู้คุมนำพาผู้คุมทุกคนไปปลดล็อกกรอบไม้ที่คอนักโทษชายแต่ละคน
"อ๊า! ฉันไม่ไปต่อแล้ว!"
มีคนร้องลั่นแล้วพยายามวิ่งหนีไปทางด้านหลัง แต่ถูกหัวหน้าผู้คุมไล่ตามไปทันและฟันคอขาดทันที!
เลือดกระเซ็นเปื้อนเสื้อผ้า หน้าและแก้มของเขา แต่เขาก็ไม่ยอมเช็ดมันออก เขาหยิบหัวของชายคนนั้นขึ้นมาแทน
"เข้าแถว แล้วเดินไปทีละคน หากใครกล้าหนี นี่คือจุดจบของพวกเจ้า!"
แม้ว่าเสียงของเขาไม่ได้ดังมาก แต่ก็ดังพอให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน คนขี้ขลาดทนไม่ไหวก็ต้องสั่นสะท้าน และละทิ้งความคิดที่จะวิ่งหนีไป
การข้ามหน้าผายังมีโอกาสรอดได้ แต่ถ้าหนีก็ต้องตายสถานเดียว
เวิ่นหยุนซีมองดูที่ศีรษะนั้น ก่อนจะเข้าแถวตามผู้คุมที่ดันเกวียนเธอมา
หนีเหรอ? จะหนีไปไหนได้?
ตั้งแต่เริ่มถูกเนรเทศ พวกเขาก็เหลือแค่ทางเลือกเดียว คือเดินหน้าต่อไป
ผู้คนหลายร้อยคนเว้นระยะห่างกัน 2 ถึง 3 เมตร แล้วเดินทีละคนขึ้นไปบนทางแคบ เกาะหน้าผาไว้แน่นๆ ค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวังไปข้างหน้า
เวิ่นหยุนซีก็เดินขึ้นไปด้วย
เพิ่งเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง ตามด้วยเสียงกระแทกหนักๆ ดังมาจากก้นหุบเขา
เธอหันไปมองก้นหุบเขาโดยอัตโนมัติ เห็นโครงกระดูกเก่ากระจัดกระจายอยู่ท่ามกลางก้อนหินที่วางเกลื่อนกลาด สีแดงฉานที่อยู่ไกลออกไปทำให้เธอต้องปวดตา
ขบวนนักโทษเดินไปอย่างเงียบๆ หยุดพักสักครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเดินต่อไป
แต่ยังไม่ทันเดินได้เกิน 100 เมตร ก็มีเสียงกรีดร้องดังติดกันอีก 2 ครั้ง
เสียงนี้กระตุ้นความกลัวที่ถูกกดทับอยู่ในใจของทุกคนให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ขบวนนักโทษเริ่มมีเสียงร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ
มีผู้คุมคนหนึ่งตะคอกว่า "ร้องไห้อะไร! เดินต่อไป!"
แต่เสียงเขายังพูดไม่ทันจบ เขาก็เหมือนจะหมดแรง เหยียบพลาดและตกลงไปในหุบเขาตามไปด้วย
เสียงร้องไห้ยิ่งดังและโกลาหลมากขึ้น
คนข้างหน้าบางคนเริ่มคิดอยากจะเดินกลับไป แต่ตอนนี้ทุกคนก็ติดกันอยู่บนหน้าผา จะกลับไปได้ยังไง?
ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ
เสียงร้องไห้ของผู้คนสะท้อนอยู่ในหุบเขา ราวกับแฝงไปด้วยคำสาปแช่งและความไม่พอใจ ฟังแล้วทำให้เวิ่นหยุนซีรู้สึกขนลุก
"เงียบซะ ใครหยุดอยู่ตรงนี้ ข้าจะตัดหัวมัน เดินต่อไป!"
จนกระทั่งเสียงตะโกนของหัวหน้าผู้คุมดังมาจากข้างหน้า เหล่านักโทษจึงค่อยๆ ใจเย็นลงและเริ่มเดินต่อไปได้
เวิ่นหยุนซีถอนหายใจอย่างโล่งอก
ความโกลาหลเมื่อครู่นี้ ทำให้มีคนตกลงไปเป็นสิบๆ คนแล้ว ถ้ายังโกลาหลต่อไปอีก เกรงว่าจะมีคนตายเพิ่มอีกเป็นร้อยคน
คิดว่าพวกเขาน่าจะผ่านหน้าผานี้ไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว ไม่คิดว่าจะยังมีคนตกลงไปอีก
ผู้หญิงคนนั้นอยู่ห่างจากเธอหกเจ็ดคน ตอนที่เธอตกลงไปเสียงร้องของเธอยังคงดังก้อง ร่างที่แตกกระจายไปทั่วก้นหุบเขา
คนที่ยังคุยกันอยู่ดีๆ กลับกลายเป็นร่างไร้วิญญาณที่แตกเป็นชิ้นๆ ในพริบตา
“แหวะ…”
เวิ่นหยุนซีรีบหันหน้าหนี แต่ก็ยังเห็นภาพของอวัยวะภายในร่างเหล่านั้น กระตุ้นจนท้องไส้ปั่นป่วน
ท่ามกลางเสียงแห้งและไออย่างต่อเนื่อง เสียงร้องของเด็กชายดังขึ้น แหลมเป็นพิเศษ
“ปล่อยข้าไป ข้าจะลงไปหาท่านแม่!”
“อย่าขยับนะ ข้าจะจับไม่ไหวแล้ว ข้าจับเจ้าไว้ไม่ไหวจริงๆ แล้ว!”
เสียงของเด็กหญิงที่คุ้นหูดังขึ้น เหมือนว่าเธอกำลังดึงเด็กชายไว้ไม่ให้กระโดดลงจากหน้าผา
“ถ้าจะกระโดดก็โดดเถอะ, แต่พวกเจ้าอย่าหยุดอยู่ตรงนั้นได้ไหม? ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว ขอร้องล่ะ... ขอให้พวกเจ้าช่วยข้าเถอะ”
ผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังเด็กสาวร้องตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้
เมื่อเห็นว่าขบวนแถวด้านหน้าเริ่มเดินห่างออกไปเรื่อยๆ แต่พวกเขากลับถูกเด็กสองคนนี้ขวางอยู่ คนที่ถูกขวางไว้จึงเริ่มหงุดหงิด
“โอ๊ยยย! แบบนี้พวกเราก็ไม่ต้องรอดกันแล้ว!”
ผู้หญิงคนนั้นตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ้าคลั่ง อารมณ์ของเธอใกล้ถึงจุดแตกหักแล้ว
…โปรดติดตามตอนต่อไป…
ตอนที่2แล้ว หากพบเจอคำที่พิมพ์ผิด สามารถแจ้งได้เลยนะ