ตอนที่ 10 ฉินอวี้ตัวปลอม
ตอนที่ 10 ฉินอวี้ตัวปลอม
ฉินอวี้เขย่าตัวเสี่ยวเล่อ ที่สะดุ้งด้วยความตกใจ “จะหลบอยู่นี่ทำไม กลับไปนอนต่อเร็ว”
เสี่ยวเล่อทำตามอย่างว่าง่าย กลับไปนอนยังที่เดิม แต่ดูเหมือนจะหนาวจึงขดตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ฉินอวี้ยกมือขึ้นเพื่อจะปิดหน้าต่างที่ถูกกระแทกจนเปิดออก โดยไม่ทันสังเกตว่าเวิ่นหยุนซีกำลังใช้แสงจันทร์พินิจใบหน้าของเธอ
ผิวที่ค่อนข้างเข้ม คิ้วและดวงตาดำเข้ม ใบหน้ายังมีความไร้เดียงสา ดูแล้วไม่น่าจะเกิน 12 หรือ 13 ปี
หรือว่าเธอสวมหน้ากาก?
หรือไม่ก็เป็นเทคนิคการปลอมตัวขั้นสูง?
ถ้าคิดไม่ออก งั้นพิสูจน์ไปเลยแล้วกัน!
เวิ่นหยุนซีโผเข้ากอดเอว ฉินอวี้ พลิกตัวเธอลงกับพื้นและเริ่มจับบริเวณขมับและลำคอของเธอ
“พี่สาวเวิ่น ทำอะไรน่ะ?!”
ฉินอวี้พยายามยกขาขึ้นจะถีบเวิ่นหยุนซี แต่กลัวจะทำเธอบาดเจ็บ เลยยอมลดขาลง
“อย่าขยับ ให้ฉันดูหน้าเธอจริง ๆ หน่อย”
เวิ่นหยุนซีเห็นเธอดิ้นจึงใช้มือข้างหนึ่งค้นหาขอบหน้ากาก ส่วนอีกข้างก็ยื่นไปที่รักแร้ฉินอวี้ แล้วเริ่มจั๊กจี้
ฉินอวี้พยายามอดทนแต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหว หัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ... อย่าจั๊กจี้สิ ข้านี่แหละตัวจริง... ฮ่าๆๆ…”
เวิ่นหยุนซีไม่พบรอยต่อใด ๆ และสัมผัสได้ถึงผิวหนังที่ดูสมจริง จึงหยุดมือ
“อย่ามาหลอกข้า เจ้าเป็นใครกันแน่?”
เสียงหัวเราะของฉินอวี้หยุดลงทันที เมื่อเห็นว่าเวิ่นหยุนซีมีสีหน้าจริงจัง รู้ว่าปิดบังต่อไปคงไม่สำเร็จจึงเลิกปิดบัง
“ข้าไม่มีชื่อ รู้แค่ว่ามีคนสั่งให้ข้า มาแทนฉินอวี้ที่ถูกเนรเทศ ส่วนงานต่อไปยังต้องรอคำสั่ง”
เวิ่นหยุนซีสังเกตสีหน้าของฉินอวี้อย่างละเอียดก่อนจะถามต่อ “แล้วทำไมถึงตามข้ามาตลอด?”
ฉินอวี้ยิ้มออกมาโชว์เขี้ยวเล็ก ๆ “ตอนแรกก็แค่คิดว่าตามเธอแล้วจะมีอะไรกิน พอหลังจากนั้น...ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่อยากตามเจ้าไปเรื่อย ๆ”
ดูเหมือนเธอจะไม่ได้โกหก...
เวิ่นหยุนซีถอนหายใจ ปลดความระแวงไปกว่าครึ่ง “ขอถามอีกเรื่อง เธออายุแค่ 12 จริง ๆ เหรอ?”
งานอันตรายขนาดนี้ จะส่งเด็กอายุ 12 มาจริง ๆ เหรอ?
ถ้าทำแบบนั้น มีสองเหตุผล คืออาจมีอีกหลายคนที่ได้รับมอบหมายแบบเดียวกัน หรือไม่ก็ เด็กคนนี้มีความสามารถพิเศษ
อีกอย่าง อาจเป็นแค่เบี้ยที่ไม่สำคัญ ส่งมาแทนฉินอวี้เพื่อให้ถูกเนรเทศ ก็ถือว่าจบภารกิจแล้ว
ฉินอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วคิด แล้วตอบอย่างลังเล “ไม่มีใครบอกข้าเรื่องอายุ ข้าไม่รู้วันเกิดของตัวเอง ผู้บัญชาการฟางซ่งหลินบอกว่า ข้าอายุพอๆ กับฉินอวี้ ก็เลยเลือกข้ามา”
“เจ้าแน่ใจนะ ว่าไม่เคยฝึกวิชาหดกระดูก?”
ฉินอวี้: “...นั่นวิชาอะไร?”
เวิ่นหยุนซีหัวเราะแห้งๆ อายที่จะบอกว่าตัวเองคิดไปไกลเหมือนอยู่ในโลกยุทธจักร ก่อนจะยื่นมือไปดึงฉินอวี้ขึ้น แล้วช่วยปัดฝุ่นออกจากเสื้อของเธอ “ไปนอนเถอะ เจ้าต้องโตอีกเยอะ”
“ไปนอนด้วยกันเถอะ คืนนี้พวกนั้นไม่กล้ามาอีกหรอก”
เวิ่นหยุนซีผลักฉินอวี้ไปนอนข้างเสี่ยวเล่อ “คืนนี้ข้ายังนอนไม่ได้ ต้องรอแขก”
เมื่อเห็นสีหน้าฉินอวี้เต็มไปด้วยความสงสัย เวิ่นหยุนซีจึงอธิบาย “ข้าโยนหินกลับไปสี่ก้อนเมื่อครู่ หมายความว่าให้เขามาหาข้าตอนยามสี่ เขารู้แล้ว คืนนี้เขาต้องมาแน่”
ฉินอวี้: “...”
นางคนนี้ สมองอาจจะมีปัญหาจริงๆ
ใครจะไปรู้ว่าโยนหินสี่ก้อนหมายถึงเจอกันยามสี่?
“พี่สาวเวิ่น ที่นี่ไม่มีคนตีบอกเวลากี่ยามนะ แล้วเขาจะมาตรงเวลาได้ยังไง?”
เวิ่นหยุนซียิ้ม “ไม่เป็นไร ข้ารอได้”
ฉินอวี้บ่นพึมพำสองสามคำ ก่อนจะหันไปนอนกอดเสี่ยวเล่อ
เอาเถอะ เจ้าจะทำอะไรก็ช่าง!
พระจันทร์ปลายเดือนกรกฎาคมคม รูปเหมือนเคียว ในหมู่บ้านชิงลั่วที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์อันสลัว ดูชวนให้รู้สึกอึมครึมและน่ากลัว
เวิ่นหยุนซีนั่งพิงข้างหน้าต่าง ฟังเสียงกบและแมลงร้องอย่างเงียบ ๆ ท่าทางดูสงบ แต่ในใจกลับรู้สึกกระวนกระวาย
นี่ก็รอมาตั้งครึ่งคืนแล้ว ทำไมเขายังไม่มาอีก?!
เมื่อมองดูตำแหน่งของพระจันทร์ ตอนนี้ยังไงก็น่าจะเกินตีสองไปแล้ว ถ้าเธอจำไม่ผิด ยามสี่น่าจะประมาณตีหนึ่งกว่าๆ
เฮ้ พี่ชาย! ท่านมาสายมากแล้ว!
เวิ่นหยุนซีรู้สึกว่าตากำลังจะปิด จึงรีบหยิกขาตัวเองเพื่อให้ตื่น และไม่ให้ตัวเองหลับไปอีก เธอจึงเปิด ระบบเทพปรุงยา ขึ้นมาฆ่าเวลา
วันนี้คือวันที่ 25 กรกฎาคม
เธอมาถึงที่นี่เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังอยู่ระหว่างการโดนเนรเทศ
ผ่านไป 18 วันแล้ว แต้มสะสมของเธอก็ขึ้นๆ ลงๆ สุดท้ายหยุดอยู่ที่ 1,625 แต้ม
ใน 14 วันแรกเธอทำแต้มได้มาก จากการหลอกเรื่องยาพิษของต้นหญ้าเจ็ดวันพิฆาต
แต่ระหว่างการเนรเทศ คนก็น้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้คะแนนที่ได้ก็ลดลงตาม
โชคดีที่ระบบมีช่องโหว่ ถ้าผู้ป่วยของเธอรู้สึกขอบคุณเธอเมื่อไหร่ ที่ไหน คะแนนก็จะเพิ่มขึ้น
เวิ่นหยุนซี เปิดบันทึกการสะสมของแต้มคะแนนดู
ไม่กี่วันก่อนเธอยังได้คะแนนหลายสิบแต้ม เมื่อวานได้มาแค่ 2 แต้มเพราะถูกหาว่าเป็นนักต้มตุ๋น หนึ่งแต้มได้มาจากหัวหน้าผู้คุมเจียง น่าจะเป็นเพราะเขาขอบคุณสำหรับใบไม้ทองคำที่เธอให้ อีกหนึ่งแต้มได้มาจากอ๋องหลิน น่าจะเพราะเขายังไม่ลืมคนที่ให้ยา
เมื่อคิดถึงอ๋องหลิน เวิ่นหยุนซีก็ค้นจากกระเป๋าของเธอ หยิบใบทอง 10 ใบออกมา
ใบทองเหล่านี้ต่างจากที่เห็นในละครมาก มันไม่ใช่รูปทรงใบไม้ แต่ดูคล้ายแผ่นทองคำบาง ๆ ที่พับได้
พอพับแล้วขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือ หนึ่งใบหนักประมาณหนึ่งตำลึง ถ้าคิดตามค่าเงินของราชสำนักหยู่ ใบหนึ่งมีค่าเท่ากับสิบตำลึงเงิน หรือประมาณสองหมื่นเหรียญทองแดง
เวิ่นหยุนซียิ่งคำนวณยิ่งรู้สึกตาเป็นประกาย อ๋องหลินช่างใจกว้างเสียจริง แม้จะเป็นนกฟีนิกซ์ตกยาก แต่ก็ยังให้ค่ารักษาสามแสนเหรียญแบบไม่ลังเล ต้นไม้เงินแบบนี้ต้องเลี้ยงไว้ดี ๆ
ยาถอนพิษต้องใช้ห้าหมื่นแต้มเพื่อแลก แต่เธอสามารถเริ่มจากการสะสมห้าพันแต้มเพื่อแลกทักษะฝังเข็มระดับกลางก่อน เมื่อถึงเวลานั้น เธอก็สามารถเก็บค่ารักษาเพิ่มได้อีก
ฮี่ๆๆ...
“พี่สาวเวิ่น... พี่สาวเวิ่น... อาหารเช้าพร้อมแล้ว...”
เวิ่นหยุนซีถูกเสี่ยวเล่อปลุกขึ้นด้วยเสียงงัวเงีย พอมองออกไปข้างนอกก็พบว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
แย่แล้ว!
เจ้าคิดผิด หรือว่าเขาไม่มา?
ฉินอวี้ซุกหน้าลงที่อก ไหล่สั่นระริก เมื่อรู้สึกว่าเวิ่นหยุนซีกำลังมองก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาดังลั่น
“โยนหินสี่ก้อน... ยามสี่... ฮ่าๆๆ ยังนัดหมายกันอีก... ฮ่าๆๆ ตลกจะตายแล้ว...”
“พี่สาวเวิ่นนี่ซื่อบื้อจัง...” เสี่ยวเล่อก็อดหัวเราะตามไม่ได้
เมื่อคิดถึงท่าทีจริงจังของตัวเองก่อนหน้านี้ เวิ่นหยุนซีก็หน้าแดงทันที
คนราชสำนักหยู่พวกนี้มันเป็นอะไร ไม่มีความโรแมนติกกันบ้างเลยรึไง?!
“ไป กินข้าวเช้ากัน”
“ฮ่าๆๆ ยามสี่... ฮ่าๆๆ...”
เวิ่นหยุนซีลูบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเองอย่างโกรธ ๆ “ห้ามหัวเราะแล้วนะ ถ้ายังหัวเราะอีก ข้าจะไม่พาพวกเธอเข้าป่า!”
เสียงหัวเราะของฉินอวี้และเสี่ยวเล่อหยุดลงทันที แต่พอเห็นหน้าแดง ๆ ของเวิ่นหยุนซี พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีก
“พวกเจ้านี่!”
เวิ่นหยุนซีที่ไม่เคยได้รู้สึกอับอายขนาดนี้มาก่อน หน้าแดงตั้งแต่หน้าจนถึงคอ
“พวกเจ้าบังคับข้าเองนะ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
เวิ่นหยุนซีร้องเสียงดังแล้วกระโจนใส่คนที่หัวเราะไม่หยุดทั้งสองคน จากนั้นก็สลับกันจั๊กจี้พวกเขาไม่ยั้ง
เรื่องเข้าป่าค่อยว่ากันทีหลัง วันนี้ต้องทำให้สองคนนี้ยอมแพ้ให้ได้!
...โปรดติดตามตอนต่อไป...
หากพบคำที่พิมพ์ผิด แจ้งได้เลยนะ