บทที่ 51 สุดแสนเสียใจในสิ่งที่ผ่านมา
ณ ยอดเขา หน้าประตูตำหนัก
เย่หลัวมองดูประมุขนิกายเฉียนตี้เต๋าที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก
ประมุขแห่งสถานศักดิ์สิทธิ์แคว้นตงโจว ผู้นำนิกายเฉียนตี้เต๋า ยอดฝีมือขั้นหลอมจิต บัดนี้กลับสูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมด กลายเป็นเพียงปุถุชนธรรมดา
ทว่าด้วยร่างกายของคนธรรมดา กลับแสร้งทำเป็นผู้แข็งแกร่งมาได้ถึงสามเดือน โดยที่ไม่มีใครในนิกายเฉียนตี้เต๋าล่วงรู้เลยแม้แต่คนเดียว
เรื่องนี้... หากเล่าออกไปคงไม่มีใครเชื่อเป็นแน่
เย่หลัวสูดหายใจลึก จ้องมองประมุขเฉียนหยวนอย่างพินิจพิเคราะห์
"ท่านประมุข ในเมื่อท่านปิดบังมาตลอด เหตุใดบัดนี้จึงเปิดเผยความจริงกับข้า? ท่านไม่กลัวหรือว่าข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่นๆ?"
"หรือว่า... ท่านต้องการความช่วยเหลือจากนิกายอู๋เต้าของข้า?" เย่หลัวเอ่ยถามอย่างสงสัย
"ถูกต้อง ท่านเย่ สถานการณ์ของข้าทั้งแคว้นตงโจวก็ไม่มีทางช่วยได้ ความหวังเดียวที่เหลืออยู่ก็คือนิกายอู๋เต้าเท่านั้น!" ประมุขเฉียนหยวนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ประมุขนิกายเฉียนตี้เต้าที่ไร้วรยุทธ์... หากเรื่องนี้รั่วไหลออกไป ชีวิตของเขาคงไม่เหลือแม้แต่ศีรษะเป็นแน่
เมื่อได้ยินดังนั้น เย่หลัวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปนอกประตูตำหนัก เงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า
สายลมเย็นพัดโชย ทำให้อาภรณ์ของเขาพลิ้วไหว
ชั่วขณะหนึ่งผ่านไป เย่หลัวจึงเอ่ยปากอีกครั้ง
"ข้าช่วยท่านไม่ได้"
"แต่อาจารย์ของข้าอาจจะช่วยได้ ข้าเพิ่งเข้าสำนักและฝึกฝนกับอาจารย์ไม่ถึงครึ่งปี จึงรู้จักนิกายอู๋เต้าของข้าเพียงผิวเผิน ไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร"
"แต่อาจารย์ของข้าเป็นประมุขนิกายอู๋เต้า มีวรยุทธ์สูงส่งเหลือคณานับ บางทีมีเพียงอาจารย์ของข้าเท่านั้นที่อาจช่วยท่านได้"
เสียงของเย่หลัวดังขึ้น ทำให้ประมุขเฉียนหยวนรู้สึกตื่นเต้นและตกตะลึงไปพร้อมกัน
ตื่นเต้นเพราะอาจมีหนทางแก้ไขสถานการณ์ของเขาจริงๆ
ตกตะลึงเพราะนิกายอู๋เต้าช่างน่าเกรงขามเหลือเกิน ความแข็งแกร่งของเย่หลัวนั้นเขาได้เห็นกับตา แม้แต่ยอดฝีมือขั้นหลอมจิตทั่วไปก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้
ทว่าผู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กลับเพิ่งเข้าสำนักไม่ถึงครึ่งปี!
ประมุขเฉียนหยวนคิดว่าตนประเมินนิกายอู๋เต้าสูงพอแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขายังประเมินต่ำเกินไป
"ท่านเย่ เช่นนั้นท่านมีวิธีติดต่อท่านอาจารย์ของท่านหรือไม่? ข้าอยากพบท่านอาจารย์สักครั้ง ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขใดข้าก็ยินดีตอบรับทั้งสิ้น!" ประมุขเฉียนหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่พยายามข่มเอาไว้
"ขออภัย อาจารย์ของข้าเป็นเหมือนมังกรที่เห็นหัวแต่ไม่เห็นหาง โดยปกติแล้วไม่อาจพบได้ง่ายๆ เว้นแต่ท่านจะติดตามข้ากลับไปที่นิกายอู๋เต้าสักครั้ง บางทีอาจจะได้พบอาจารย์ของข้า" เย่หลัวส่ายหน้าพลางตอบ
"งั้นข้าขอติดตามท่านไปนิกายอู๋เต้าได้หรือไม่?! ขอเพียงท่านเย่ตอบตกลง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรข้าก็ยินดีทั้งสิ้น!!" ประมุขเฉียนหยวนกัดฟันกล่าว
ในฐานะประมุขสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นตงโจว เขารู้ข้อมูลมากกว่าใครในแคว้นตงโจว
แม้แต่เขายังไม่มีทางแก้ไขสถานการณ์ของตนเองได้
ดังนั้นความหวังเดียวที่เหลืออยู่จึงอยู่ที่นิกายอู๋เต้าเท่านั้น
หากสามารถฟื้นฟูวรยุทธ์ได้ เขาก็จะมีโอกาสกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร เขาก็ยินดีทั้งสิ้น
เย่หลัวที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ตอบตกลงทันที แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
"ได้ก็ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่อยากกลับสำนัก ข้าตั้งใจจะออกไปท่องเที่ยวสักหน่อย แล้วค่อยกลับสำนัก"
"อีกอย่าง ข้าวางแผนจะออกจากนิกายเฉียนตี้เต๋าพรุ่งนี้" เย่หลัวกล่าว
พูดตามตรง เขาตั้งใจจะไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ ในแคว้นตงโจว เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงของนิกายอู๋เต้า
ให้ชาวแคว้นตงโจวจดจำความยิ่งใหญ่ของนิกายอู๋เต้า และจดจำความสูงส่งของอาจารย์ของเขา
เมื่อได้ยินดังนั้น ประมุขเฉียนหยวนก็กล่าวออกมาทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย "ถ้าเช่นนั้นขอให้ท่านเย่พาข้าไปด้วย ข้าจะติดตามท่านไปท่องเที่ยว ถึงอย่างไรข้าก็เป็นประมุขสถานศักดิ์สิทธิ์ มีประสบการณ์มากมาย อาจช่วยเหลือท่านได้บ้าง ขอเพียงได้ติดตามท่านกลับไปนิกายอู๋เต้าสักครั้งก็พอ!"
นี่มัน...
ประสบการณ์มากก็มากอยู่หรอก
แต่ตอนนี้ท่านเป็นแค่คนธรรมดา แน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นภาระข้า?
เย่หลัวมองประมุขเฉียนหยวนด้วยสายตาเหยียดๆ
ประมุขเฉียนหยวนสังเกตเห็นสายตานั้น ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
นึกดูสิ เขาผู้เป็นประมุขสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นตงโจว
เคยถูกใครดูถูกมาก่อนที่ไหน
แต่ตอนนี้...
ตอนนี้เขากลับถูกคนดูถูก...
"ท่านเย่! ข้าจะไม่เป็นภาระท่านแน่นอน! ข้าจะพาสัตว์วิญญาณของตัวเองไปด้วย สัตว์วิญญาณของข้ามีพลังถึงขั้นแก่นทองเชียวนะ!" ประมุขเฉียนหยวนกัดฟันกล่าว
"ตามที่ท่านบอก วิญญาณของท่านหายไป พันธะกับสัตว์วิญญาณก็หายไปด้วย แล้วท่านสื่อสารกับสัตว์วิญญาณได้อย่างไร? ใช้ความรู้สึกสื่อสารหรือ?" เย่หลัวนึกขึ้นได้ถึงประเด็นนี้ จึงถามด้วยความสงสัย
"อืม... ใช้ความรู้สึก แล้วก็... สัตว์วิญญาณของข้าไม่รู้ว่าข้าสูญเสียวรยุทธ์ไปแล้ว"
"งั้นถ้าสัตว์วิญญาณของท่านรู้ว่าท่านสูญเสียวรยุทธ์ มันจะดูถูกท่านบ้างไหม?"
ประมุขเฉียนหยวน "..."
ขอบคุณมาก รู้สึกถูกล่วงเกินจริงๆ
"พอเถอะ ไม่ต้องพูดกันมากความแล้ว ในเมื่อท่านจะติดตามข้าไปท่องเที่ยว ก็ออกเดินทางตอนกลางคืนนี้เลย ถ้าเป็นกลางวันท่านอาจออกไปลำบาก ตอนนี้เขียนจดหมายทิ้งไว้ แล้วเราก็ไปกันเลย" เย่หลัวส่ายหน้าพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกล่าวต่อ
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในตำหนัก
เตรียมจะเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้พวกสุนัขเลียเหล่านั้น แล้วก็จากไป
ประมุขเฉียนหยวนยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่คิดๆ ดูแล้ว การออกเดินทางในยามราตรีอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดจริงๆ
ดังนั้น เขาจึงได้แต่หันหลังกลับไปยังตำหนักของตัวเอง
หลังจากที่ทั้งสองจัดการธุระเรียบร้อยแล้ว ก็ทิ้งจดหมายไว้สองฉบับ แล้วอาศัยความมืดของราตรีออกเดินทาง
ศิษย์ที่เฝ้าประตูเห็นเย่หลัว ก็ไม่กล้าขัดขวาง ได้แต่ปล่อยให้ผ่านไป
......
วันรุ่งขึ้น
ผู้อาวุโสใหญ่ตื่นแต่เช้าตรู่ รีบร้อนวิ่งมาที่ตำหนักของเย่หลัวด้วยความตื่นเต้น หวังจะมา 'พูดคุย' กับเย่หลัว
แต่พอมาถึงตำหนัก กลับหาเย่หลัวไม่พบเลย
ในที่สุด หลังจากค้นหาอยู่พักใหญ่ ก็พบจดหมายที่เย่หลัวทิ้งไว้
ผู้อาวุโสใหญ่เปิดอ่านดู จึงได้รู้ว่าเย่หลัวได้จากไปแล้ว ออกไปท่องเที่ยวทั่วแคว้นตงโจว
"ท่านเย่! ท่านช่างใจร้ายเหลือเกิน ทิ้งข้าไปเช่นนี้ได้อย่างไร!!"
ผู้อาวุโสใหญ่ร้องครวญครางแต่เช้าตรู่ เสียงดังราวกับผีร้องไห้หมาหอน
เขายังไม่ทันได้ประจบเอาใจอย่างถึงที่สุดเลย
แล้วก็หายไปเสียแล้ว
ครั้งหน้าจะได้พบเย่หลัวอีกเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้
ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน!!
ขณะที่ผู้อาวุโสใหญ่กำลังถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ศิษย์คนหนึ่งก็บินมาบนกระบี่วิเศษ นำข่าวมาแจ้ง
ประมุขเฉียนหยวนก็จากไปแล้วเช่นกัน
และทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับ
บอกว่าตนเองวรยุทธ์ยังไม่แก่กล้าพอ จึงติดตามเย่หลัวไปท่องเที่ยวทั่วแคว้นตงโจว แล้วจะตามเย่หลัวไปฝึกฝนที่นิกายอู๋เต้า
พร้อมกันนั้นก็ประกาศสละตำแหน่งประมุข มอบให้คนอื่นบริหารนิกายเฉียนตี้เต๋าแทน
เย่หลัวพาประมุขเฉียนหยวนหนีไปแล้ว!!!
ผู้อาวุโสใหญ่ร้องครวญครางขึ้นมาอีกครั้ง
"ไอ้ประมุขบ้านั่น!! กล้าดีเชียวนะที่ฉวยโอกาสก่อน!!"
"แสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยม ไม่ยอมเป็นสุนัขเลียซะดีๆ ที่แท้ก็แอบไปยั่วยวนท่านเย่ลับหลัง ช่างไร้ยางอายเสียจริง!!"
"นึกว่าในนิกายเฉียนตี้เต๋า ข้าจะเป็นสุนัขเลียที่เก่งกาจที่สุด ไม่นึกเลย ไม่นึกเลย! ที่แท้ประมุขนั่นเป็นสุนัขเลียตัวจริงที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง..."
"เสียดายนักที่ไม่ได้ทำเช่นนั้นแต่แรก..."
ผู้อาวุโสใหญ่คร่ำครวญอย่างสิ้นหวัง...