ตอนที่แล้วบทที่ 385 ทายาทของโตว 
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 387 การต่อสู้อย่างดุเดือด 

บทที่ 386 ซ่งหยุนซีออกจากการปิดด่าน


ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา อวี้ฉีฉีรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก

เขาได้กราบเฉินโม่เป็นอาจารย์ และได้รับผลประโยชน์จากเขา หากไม่ทำอะไรเลย เกรงว่าเฉินโม่จะมาเรียกร้องเอาคืน ซึ่งอาจจะไม่เป็นผลดีสำหรับเขา

แต่ถ้าต้องให้เขาเดินทางไกลไปยังสำนักหอควบคุมสัตว์วิญญาณเขาก็ไม่กล้าพอ

แต่เดิมเขายังมีสหายร่วมมือ แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งก่อน เขาก็ไม่กล้าไปเจอหน้าใครอีกแล้ว

ในเมื่อมิตรภาพระหว่างผู้ฝึกตน้เร่ร่อนนั้นเปราะบาง เหมือนกับแผ่นกระดาษที่ขาดง่ายเมื่อถูกฉีก

อวี้ฉีฉีเดินวนไปวนมารอบเมืองเป่ยเยว่ เป็นเวลาหนึ่งถึงสองวัน คิดพิจารณาผลได้ผลเสียอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายตัดสินใจไปที่หอควบคุมสัตว์วิญญาณ แม้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม เขาก็ได้พยายามแล้ว

หลังจากตัดสินใจ เขากลับเข้าเมืองเพื่อซื้อเสบียงและแผนที่ หลังจากระบุเส้นทางได้แล้ว เขาก็เริ่มออกเดินทางทันที

แต่ในขณะที่เขาออกเดินทาง เงาๆหนึ่งที่ตามเขามาตลอดก็หายไปทันที และกลับไปยังสระวิญญาณฉางเกอ

เนื่องจากอวี้ฉีฉีไม่มีนกปีกทองความเร็วของเขาจึงไม่อาจเทียบกับคนอื่นได้

การเดินทางนี้ใช้เวลาทั้งหมดหนึ่งเดือนเต็มกว่าจะไปถึง

เมื่อเขาเข้าใกล้ประตูสำนัก ความกังวล ความกลัว และความหวาดหวั่นก็เริ่มเข้ามา

แม้ว่าเขาจะมาถึงหน้าประตูสำนักหอควบคุมสัตว์วิญญาณแล้ว แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเข้าไปสักก้าวเดียว!

สุดท้าย เมื่อรวบรวมความกล้าได้ เขาก็เดินไปยังประตูสำนัก แต่ก่อนที่จะเข้าใกล้ เสือขาวลายด ก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอย่างช้าๆ

ความกดดันที่แผ่ออกมาทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก

สัตว์เทพพิทักษ์ของสำนักหอควบคุมสัตว์วิญญาณเป็นสัตว์ขั้นทอง ซึ่งก็เป็นอย่างที่อวี้ฉีฉีคาดไว้ไม่ผิดนัก

เมื่อได้ยินเสียงคำรามต่ำๆ เขาก็ถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วเขาก็สูดหายใจลึก แล้วตะโกนอย่างกล้าหาญว่า

"ข้าเป็นศิษย์ของสำนักมั่วไถนามอวี้ฉีฉี ข้ามาเยี่ยมเยือน!"

เสือขาวลายดำเพียงนอนลงอย่างช้า ๆ ราวกับไม่สนใจเขาเลย

อวี้ฉีฉีรู้ดีว่าเสือขาวไม่มีทางปล่อยเขาเข้าไป

เขาจึงตะโกนอีกครั้งว่า

“ศิษย์ของหอควบคุมสัตว์วิญญาณอย่างฉินว่านหลินและซางซูซู ผู้ใช้อำนาจในทางที่ผิดและรังแกผู้อ่อนแอ ข้าเคยถูกควบคุมไว้หนึ่งเดือน ข้ามาเรียกร้องความยุติธรรม!”

นี่คือข้ออ้างที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้ หากยังไม่ได้ผล เขาก็จะหันหลังกลับทันที

และเขาก็ไม่ต้องรับโทษอะไร

ในขณะที่เขาคิดว่าไม่มีใครสนใจ และเตรียมตัวจะจากไป ร่างหนึ่งก็ลอยลงมาตรงหน้าเขา

คนที่มาไม่ใช่ใครอื่น นั่นคือหนึ่งในสองคนที่เคยควบคุมตัวเขา

“สหายอวี้?” ฉินว่านหลินพูดด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่าอวี้ฉีฉีจะกล้าตามพวกเขามาถึงที่นี่

“ฉิน? ฉิน...ท่าน?”

อวี้ฉีฉีตกใจยิ่งกว่าเดิม เขาแค่ตะโกนแบบส่งเดชเท่านั้นเอง

ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะออกมาจริง ๆ!

ตอนนี้จะทำยังไงดี?

เขาเหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่ถอยไม่ได้แล้ว!

ในใจของฉินว่านหลินเริ่มคิดแผน เมื่อได้ยินอวี้ฉีฉีบอกว่าเป็นศิษย์ของเขามั่วไถ นี่ก็ยืนยันได้ว่าทำไมพวกเขาถึงถูกขังอยู่ในค่ายกลมายาเป็นเดือน

ในที่สุด พวกเขาก็ไปมีปัญหากับสำนักมั่วไถจริง ๆ!

“สหายอวี้ ท่านบอกว่าเป็นศิษย์ของสำนักมั่วไถใช่ไหม?”

“ใช่...ใช่แล้ว”

อวี้ฉีฉีพยักหน้า

ในใจคิดว่าสำนักเซียนเล็ก ๆ ที่ตั้งขึ้นเองกลับมีคนเชื่อจริง ๆ ด้วย?

แต่เขาก็อายเกินกว่าจะบอกว่าเป็นศิษย์คนแรกของสำนัก

มันไม่ต่างจากการอ้างตัวเป็นแม่ทัพในหมู่บ้านเล็ก ๆ เลย!

“สหายอวี้ ข้าขอโทษอย่างยิ่ง ข้าไม่ทราบมาก่อน ข้าผิดเองที่ทำให้ท่านลำบาก”

“หา?”

อวี้ฉีฉีงงงัน

เขาเพิ่งคิดจะขอโทษเพื่อขอความเห็นใจ แล้วทำไมฉินว่านหลินถึงเป็นฝ่ายขอโทษก่อน?

“เชิญท่านเข้ามา ข้าจะจัดงานเลี้ยงให้ท่าน หวังว่าท่านจะยกโทษให้”

พูดจบ ฉินว่านหลินก็ทำท่าทางเชื้อเชิญ

อวี้ฉีฉีรู้สึกยิ่งลำบากใจ กลัวว่าพวกเขาจะหลอกให้เข้าไปข้างใน แล้วปิดประตูตีกระหน่ำ แบบนั้นเขาคงตายแน่ ๆ!

“ไม่เป็นไร!” อวี้ฉีฉียกมือขึ้น ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

“ทำไมล่ะ?”

“อาจารย์ข้าสั่งให้ข้ามาบอกท่านเรื่องหนึ่ง เมื่อบอกแล้วข้าก็จะรีบกลับทันที”

“เชิญท่านบอกมา”

“อาจารย์บอกว่า สำนักมั่วไถอยากจะทำพันธมิตรกับพวกท่าน ข้าขอลา!”

พูดจบ อวี้ฉีฉีก็หันหลังกลับทันที ใช้พลังทั้งหมดวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว

แต่ฉินว่านหลินก็รีบพุ่งมาขวางทางเขาไว้ทันที พูดอย่างจริงจังว่า

“สหาย ท่านเพิ่งพูดว่าอะไรนะ?”

“ข้า...ข้าบอกว่า...”

“ท่านบอกว่าต้องการจะทำพันธมิตรใช่ไหม?”

“ใช่...ใช่แล้ว”

อวี้ฉีฉีพูดอย่างตะกุกตะกัก เขารู้แล้ว!

จบแล้ว!

เขาคงถูกหัวเราะเยาะว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแน่ ๆ

เขารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ง่ายที่จะได้รับรางวัลเป็นยาและยันต์ และตอนนี้เขาคงจะถูกตีจนตายครึ่งตัวแล้ว

แต่ถัดจากนั้น คำพูดของฉินว่านหลินทำให้เขาตะลึงงัน

ฉินว่านหลินประสานมืออย่างสุภาพแล้วพูดว่า

“สหายอวี้! ข้าเข้าใจความประสงค์ของท่านอาจารย์เฉินแล้ว ข้าจะรีบไปบอกอาจารย์ของข้า ไม่ช้าเราจะเดินทางไปสำนักมั่วไถเพื่อคารวะท่านอาจารย์เฉิน!”

พูดจบ ฉินว่านหลินก็รีบกลับสำนักหอควบคุมสัตว์วิญญาณทันที

เหลือเพียงอวี้ฉีฉียืนมองไปที่ทางเข้าอย่างงุนงง พูดกับตัวเองว่า

“เรื่อง...มันสำเร็จแล้วเหรอ?”

สำนักเซียนที่ยิ่งใหญ่จะไปคารวะหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างนั้นหรือ?

เขาคิดไม่ตกจริง ๆ คิดไม่ออกเลย

...

ที่ใต้ยอดเขาจื่อหยุน มีถ้ำลับแห่งหนึ่ง

เงาดำพุ่งผ่านรอยแยกแล้วโผล่เข้าไปในหุบเขา

ทันใดนั้นเสียงกระดูกที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วก็ได้ยินชัดเจน

ผู้ที่มาเป็นคนที่สภาพมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง และดูเหมือนจะไม่ได้ทำความสะอาดตัวเองมานาน

เขามองไปรอบ ๆ พบว่าต้นไม้ผลหลายต้นเติบโตเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนนี้สูงเท่ากับคนสองหรือสามคน

อีกไม่นานก็จะออกผลแล้ว

เขาหยิบกระบี่บินออกมา และใช้มันตัดผมยาวที่เกือบจะถึงเอวออก

จากนั้นใช้คาถาชำระล้างตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ กลับสู่สภาพที่ดูดีขึ้น

ไม่สิ!

ควรจะบอกว่าหล่อกว่าเดิมอีกสามส่วน

“กี่ปีแล้ว?”

“น่าจะเจ็ดหรือแปดปีแล้วล่ะ?”

“อัดอั้นตายแน่ๆ!” ซ่งหยุนซี  พูดอย่างมีพลังเต็มที่

“ข้าต้องไปพักผ่อนที่เวินเซียงเก๋อหน่อยแล้ว”

หลายปีมานี้เขาถูกขังอยู่ในที่ที่แม้แต่นกยังไม่บินผ่าน

เมื่อผ่านการทดสอบมาได้ เขาก็ได้รับอิสรภาพอีกครั้ง

เขามองไปรอบ ๆ แล้วรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง

“พืชวิญญาณพวกนี้ต้องเป็นฝีมือเฉินโม่แน่ นั่นหมายความว่าเขาน่าจะยังอยู่ที่นี่!”

ซ่งหยุนซีแปลงร่างเป็นเงาดำ และค้นหาภายในหุบเขาและถ้ำ แต่ไม่พบร่องรอยของเฉินโม่

ไม่นานเขาก็รู้ว่าเฉินโม่น่าจะออกจากถ้ำไปแล้ว!

“เขาน่าจะยังอยู่แถวนี้” ซ่งหยุนซีมั่นใจ เพราะเขารู้จักนิสัยของน้องชายคนนี้เป็นอย่างดี

หากเฉินโม่ปลูกพืชที่ไหน เขาก็ต้องดูแลที่นั่น

เฉินโม่เกิดมาเพื่อเป็นชาวนาวิญญาณจริง ๆ!

“ในเมื่อเขาไม่อยู่ ข้าก็จะไปหาเขาเอง!”

ซ่งหยุนซีคิดได้ง่าย ๆ ในฐานะพี่ใหญ่ เขาต้องให้ความช่วยเหลือน้องชายอย่างเต็มที่

โดยเฉพาะเมื่อเขาได้สิ่งของดี ๆ มามากมายจากการอยู่ในแดนลับ จะให้เขาเก็บไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร?

ยิ่งกว่านั้น บางทีของเหล่านี้อาจจะได้ผลดีที่สุดในมือของเฉินโม่เท่านั้น!

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรดน้ำให้ต้นไม้ผลในหุบเขา ก่อนจะแปลงร่างเป็นเงาดำแล้วพุ่งออกจากถ้ำที่เขาไม่ได้ออกมาเป็นเวลานานเกือบสิบปี!

เมื่อได้สัมผัสอิสรภาพของโลกภายนอกอีกครั้ง ซ่งหยุนซีก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

เขาเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า และหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ได้ยินว่าทางทิศใต้ของสำนักชิงหยางมีเมืองเป่ยเยว่ ทำไมไม่ไปดูที่นั่นก่อนล่ะ?”

(จบบท)

5 2 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด