บทที่ 32 ลุมลามจนใหญ่โต?
**แจ้งให้ทราบมีการปรับแก้ไขเนื้อหาในตอนที่ 29-31ใหม่ เหตุมาจากผู้แปลเกิดความสะเพร่าในการแปล ต้องขออภัยที่ทำให้สับสนกันด้วยครับ**
ปล.หากมีความสงสัยหรือสับสนในเนื้อหาสามารถคอมเม้นมาได้เลยนะครับ
ดูเหมือนว่าสำนักเต๋าอี้จะไม่รู้เรื่องไข่มุกอสูร ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าพวกเขามาเพราะ…?
ชิงเหนี่ยวมองไปยังเย่ฉางชิงและจินหมิงที่อยู่ข้างหลังหงจุ้น แม้ว่ามันจะรู้สึกว่าเรื่องนี้เหลือเชื่อไปหน่อย แต่การยกกองกำลังเช่นนี้ แท้จริงแล้วก็อาจจะเป็นเพราะศิษย์สายในคนเดียว?
หรือว่าศิษย์สายในคนนี้เป็นลูกหลานของผู้คุมในสำนักเต๋าอี้กันแน่?
สายตาของชิงเหนี่ยวมองตรงไปที่จินหมิงตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนนี้มันก็ยังไม่สนใจ เย่ฉางชิงเลยสักนิด
แต่ไม่นานนักเมื่อหลูยูอูและหลิวซวงลงมาประกบข้างเย่ฉางชิง และเริ่มพูดคุยปลอบโยนอย่างเป็นห่วงเป็นใย ใบหน้าของชิงเหนี่ยว ก็เริ่มแสดงความแปลกใจออกมา
“ศิษย์น้องเย่ฉางชิง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
“ดีแล้วที่มีเสี่ยวไป๋อยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นเจ้าคงตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ”
“ต่อไป หากศิษย์น้องเย่ฉางชิงมีภารกิจนอกสำนัก ต้องบอกข้าก่อนนะ พี่สาวจะติดตามเจ้าไปด้วยตัวเองดีกว่า”
เมื่อได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของสองศิษย์หญิง ชิงเหนี่ยวก็เพิ่งจะเข้าใจ พวกเขาทั้งหมดมาที่นี่เพราะชายหนุ่มคนนี้?
ความคิดของชิงเหนี่ยวยุ่งเหยิง มันหันไปมองหงจุ้นด้วยความไม่เชื่อ
“พวกเจ้า...พวกเจ้ามาที่นี่เพราะเด็กหนุ่มคนนี้หรือ?”
เพราะศิษย์รับใช้คนเดียว ถึงทำให้หงจุ้นผู้นำยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ต้องมาเอง พร้อมทั้งนำศิษย์นับพันคนติดตามมาเรื่องนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี
เมื่อได้คำถามจี้ตรงจุดนี้ หงจุ้นก็กล่าวตอบอย่างสงบนิ่ง
“ศิษย์ของสำนักเต๋าอี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม นับว่าล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วเมื่อเข้ามาอยู่ในสำนัก แม้แต่ศิษย์รับใช้ สำนักเราก็ต้องปกป้อง”
คำพูดนี้ฟังดูจริงจังและยิ่งใหญ่ แต่เมื่อได้ยินชิงเหนี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ใครกันจะเชื่อคำพูดนี้?
ศิษย์รับใช้ของสำนักเต๋าอี้ที่ตายอยู่ข้างนอกมีน้อยเสียเมื่อไหร่? ไม่ต้องพูดถึงศิษย์รับใช้ แม้แต่ศิษย์สายนอกหรือสายใน ก็ไม่เคยเห็นสำนักเต๋าอี้แสดงปฏิกิริยาใหญ่โตเช่นนี้
ในที่สุดชิงเหนี่ยวก็เข้าใจคำตอบ แต่คำตอบนี้ทำให้มันยากจะยอมรับ
ต้นตอของทุกสิ่งทุกอย่างกลับเป็นเพราะศิษย์รับใช้คนเดียว เพราะศิษย์คนนี้ทำให้พวกมันเสียแผนทั้งหมด หากรู้เช่นนี้ มันคงจะลงมือก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ต้องมาคอยซ่อนตัวทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ
แม้แต่การที่ศิษย์สายตรงจะลงมือ ก็คงไม่ทำให้สำนักเต๋าอี้มีปฏิกิริยามากมายถึงเพียงนี้
ชิงเหนี่ยว จ้องมองไปที่ เย่ฉางชิง ด้วยสายตาเย็นเยียบ ขณะนั้นเอง เย่ฉางชิง กำลังพูดคุยกับหลูยูอูและหลิวซวง แต่ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกถึงสายตาแหลมคมที่จ้องมองมาจากชิงเหนี่ยว เขาจึงหันมามองกลับ
จากท่าทางของมัน ดูเหมือนว่าจะจดจำเขาไว้เพื่อล้างแค้นในภายหลัง
ภายในใจของเย่ฉางชิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
'เจ้าอย่ามองข้าเลย ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ใช้ตราขอความช่วยเหลือ ไม่คิดว่าจะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เลย'
ไม่มีโอกาสแม้แต่จะพูดอะไรออกมาและในวินาทีต่อมา คำพูดของชิงเหนี่ยวก็ทำให้เย่ฉางชิงถึงกับต้องถอนหายใจด้วยความอึดอัดใจอย่างที่สุด
“มนุษย์เจ้าเล่ห์! กล้าดีนักที่ปลอมตัวเป็นศิษย์รับใช้? ดี ดีมาก ข้าจะจำเรื่องนี้ไว้ให้ขึ้นใจ!”
ในสายตาของชิงเหนี่ยว เย่ฉางชิงไม่ได้เป็นเพียงแค่ศิษย์รับใช้ธรรมดาแน่ๆ เขาต้องจงใจปลอมตัวเช่นนี้เพื่อให้พวกมันประมาท
‘เจ้ามนุษย์เจ้าเล่ห์มาก’ ชิงเหนี่ยวคิดพลางสาปแช่งตัวเองที่ไม่ทันสังเกตอะไรเลยตั้งแต่ต้น
เมื่อเห็นสายตาของชิงเหนี่ยวที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าตนมองทะลุแผนการทุกอย่างได้ เย่ฉางชิงก็ได้แต่กระตุกริมฝีปากขึ้นพร้อมกับคิดในใจว่า
‘เจ้าคงดูละครมากไป ข้านี่แหละเป็นเพียงศิษย์รับใช้จริง ๆ จะปลอมตัวทำไมกัน!’
แต่ยังไม่ทันที่เย่ฉางชิงจะเอ่ยพูดอะไรกลับไป หลูยูอูและหลิวซวงเมื่อได้ยินคำพูดของชิงเหนี่ยว ก็โกรธจนตะโกนออกมาเสียงดัง
“กล้าดียังไง! เจ้ากำลังจะตายอยู่แล้วยังกล้าข่มขู่ศิษย์น้องเย่ฉางชิงอีก! หาเรื่องตายแน่แล้ว!”
พวกนางเห็นได้ชัดว่าชิงเหนี่ยวกำลังหมายตาจะเล่นงานเย่ฉางชิง ดังนั้นพวกนางจึงไม่รอช้ารีบลงมือทันทีเพื่อปกป้องศิษย์น้องเย่ฉางชิงจากอันตรายใด ๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ซูเจี้ยนก็ชูแขนขึ้นพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“ปกป้องศิษย์น้องเย่ฉางชิง ฆ่าพวกมัน!”
“ฆ่า!”
“ปกป้องศิษย์น้องเย่ฉางชิง!”
ในทันทีนั้น ศิษย์ยอดเขาเทพดาบศักดิ์สิทธิ์หลายพันคนต่างพากันลงมือโจมตีชิงเหนี่ยวและลิงดำพร้อมกัน
เผชิญกับการโจมตีจากคนจำนวนมากเช่นนี้ ชิงเหนี่ยวและลิงดำถึงกับยืนตะลึง โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากศิษย์หลายพันคน
‘ปกป้องศิษย์น้องเย่ฉางชิง? คนตั้งเยอะนี่มันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ? ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครจะเข้าใกล้เย่ฉางชิงได้กัน?’
พวกมันอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่มีโอกาสเพราะภายใต้การโจมตีของศิษย์จำนวนมาก แม้แต่ชิงเหนี่ยวและลิงดำที่เป็นอสูรขั้นสูงก็ถูกฆ่าอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนตายชิงเหนี่ยวยังไม่หลับตาลง มันยังคงจ้องเย่ฉางชิงด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเสียงกระซิบสุดท้ายที่หลุดออกมาจากปาก
“เจ้ามนุษย์เจ้าเล่ห์...”
เมื่อมองดูสายตาแห่งความเจ็บแค้นและไม่พอใจของชิงเหนี่ยว เย่ฉางชิงก็ได้แต่ส่ายหัวพลางยิ้มอย่างขมขื่น
“ข้าเป็นเพียงศิษย์รับใช้จริง ๆ นะ ไม่ได้หลอกเจ้าเลย เชื่อข้าสิ”
น่าเสียดายที่ ชิงเหนี่ยว ไม่สามารถได้ยินคำพูดของเขาอีกต่อไป
ในขณะเดียวกันอสูรนักรบอีกสองตัวที่เหลืออยู่ในถ้ำ เมื่อเห็นว่าหงจุ้นปรากฏตัวขึ้น พวกมันก็ไม่รอช้า ฃรีบหนีทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อวิกฤตถูกขจัดไปแล้ว ศิษย์หลายคนต่างพากันล้อมรอบ เย่ฉางชิง และกล่าวปลอบโยนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทำให้ เย่ฉางชิง รู้สึกเหมือนตัวเองถูกยกย่องเกินจริง เขาทำได้แค่กล่าวขอบคุณอย่างต่อเนื่อง
“ท่านอาจารย์ เมื่อครู่อสูรตัวนั้นพูดถึงไข่มุกอสูรในเมืองเล่อซาน ข้าคิดว่าพวกมันคงมาเพราะเหตุนี้”
ซูเจี้ยนยืนอยู่ข้างๆหงจุ้นและกล่าวขึ้น หลังได้ยินหงจุ้นพยักหน้าเบา ๆ แสดงท่าทีไม่สนใจมากนัก
“ไข่มุกอสูรหนึ่งลูกไม่ได้ถือว่าเป็นปัญหาอะไรมาก แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ในเมืองเล่อซานนานเกินไป วันหนึ่งอาจจะก่อปัญหาได้ เจ้าจงไปจัดการด้วยตัวเอง นำไข่มุกอสูรนั้นกลับมาที่ ยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์”
แม้จะยังไม่รู้ว่าเหตุใดไข่มุกอสูรจึงปรากฏอยู่ในเมืองเล่อซาน แต่หงจุ้นดูไม่สนใจเท่าไรนัก สำหรับเขาแม้แต่ไข่มุกอสูรหรือราชาอสูรที่ยังมีชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ซูเจี้ยนไปจัดการเรื่องนี้แทน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นซูเจี้ยนก็พยักหน้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเมืองเล่อซาน
ในขณะเดียวกัน ที่ด้านหน้าของเย่ฉางชิงบรรดาศิษย์ต่างพูดถึงเรื่องของพรรคพยัคฆ์ดำ โดยบางคนแสดงความกังวล
“ข้าดูแล้วว่าเมื่อครู่อสูรตัวนั้นแสดงท่าทีชัดเจนว่าจำศิษย์น้องเย่ฉางชิงได้ พวกเจ้าคิดว่าพรรคพยัคฆ์ดำจะมาลอบทำร้ายศิษย์น้องหรือไม่?”
“มีความเป็นไปได้ อสูรพวกนี้ล้วนโหดเหี้ยมและเจ้าคิดเจ้าแค้น”
“หากเป็นเช่นนั้น เราคงต้องระวังไว้ ศิษย์น้องเย่ฉางชิงเจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้น”
“ไม่มีทางที่เจ้าจะสามารถระวังตัวได้ตลอดเวลา การระวังศัตรูตลอดเวลานั้นมีแต่จะล้มเหลว ข้าว่า! ในเมื่อพรรคพยัคฆ์ดำ มีความแค้นกับศิษย์น้องเย่ฉางชิง ทำไมเราไม่ถือโอกาสบุกไปที่พรรคพยัคฆ์ดำและกำจัดมันทั้งหมดซะ จะได้จบปัญหาอย่างถาวร?”
“พี่ใหญ่หวังพูดถูก!”
“ใช่แล้ว! ไม่มีทางระวังศัตรูได้ตลอดเวลา ถ้าพรรคพยัคฆ์ดำต้องการทำร้ายศิษย์น้องเย่ฉางชิงเราควรเป็นฝ่ายลงมือก่อน กำจัดพวกมันซะ!”
เมื่อได้ยินการถกเถียงกันของบรรดาศิษย์พี่น้อง เย่ฉางชิงซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องทั้งหมดก็กุมขมับทันที
ก่อนหน้านี้ทุกคนยังพูดกันอย่างดีอยู่เลย แล้วทำไมทันใดนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นว่าจะบุกไปกำจัดพรรคพยัคฆ์ดำแล้วล่ะ?
ข้าก็แค่รับภารกิจตรวจสอบระดับหนึ่งดาวเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ไม่เพียงแค่กำจัดอสูรระดับนักรบไปสามตน
ดูเหมือนพวกเจ้าจะวางแผนจะทำลายพรรคพยัคฆ์ดำทั้งหมดแล้ว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เย่ฉางชิงสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ