บทที่ 303 การลงโทษของเทพเจ้า
บทที่ 303 การลงโทษของเทพเจ้า
ลู่เฉาเฉาพยายามกอดตัวเองที่อ้วนท้วนอย่างรู้สึกเสียดาย
พร้อมกับทำหน้าบึ้งและพึมพำเบา ๆ "เงินทองเป็นของนอกกาย..."
"เกิดไม่ได้เอามา ตายก็เอาไปไม่ได้ ช่างเป็นความคิดที่ซ้ำซาก..."
"ทองและเงินทั้งหมดเป็นแค่ขี้หมา ฉันไม่เสียดาย ฉันไม่เสียดายเลย ฉันไม่เสียดายแม้แต่นิดเดียว...มีอะไรให้เสียดายกัน ไม่ใช่แค่เงินเองหรอก..."
"ไม่ใช่แค่ทองและเงินที่ประเมินค่าไม่ได้ ไม่ใช่แค่โคมไฟที่ส่องสว่างเป็นพันปี ไม่ใช่แค่ไข่มุกเรืองแสงขนาดเท่ากำปั้นเองหรอก ฉันไม่ชอบเลย ไม่ชอบแม้แต่นิดเดียว..." เมื่อพูดไปเรื่อย ๆ เจ้าตัวน้อยก็เริ่มบึนปาก
น้ำตาคลอและมองไปที่ลู่เจิ้งเยว่
【โอ้พระเจ้า สมบัติในสุสานทั้งหมดของฉันถูกขโมยไป! มีคนมาขโมยบ้านฉันแล้ว!!】
【หัวเราะดังเกินไป โดนกรรมตามสนองซะแล้ว】
"ฮือ ๆ พี่รอง ขออ้อมกอดหน่อย..." ลู่เฉาเฉาร้องไห้น้ำมูกไหลและน้ำตานองหน้า เธอซบไหล่พี่ชายจนเสื้อชุ่มไปด้วยน้ำตา
ลู่เจิ้งเยว่???
อะไรเนี่ย? หัวเราะเสียงดังขนาดนั้น แล้วกลายเป็นเรื่องของตัวเองไปซะงั้น?
ลู่เจิ้งเยว่เบิกตากว้าง
"องค์หญิงเจ้าหยาง เป็นอะไรไป?" หมอหลวงชราเหลือบมองอย่างหวาดหวั่น
ลู่เจิ้งเยว่กอดน้องสาวไว้ข้างเดียว พลางลูบจมูกด้วยท่าทีเก้อเขิน
"ก็คงเพราะเห็นเจ้าของสุสานถูกขโมยของ เลยรู้สึกสงสารล่ะมั้ง" ลู่เจิ้งเยว่ได้ยินเสียงในใจของลู่เฉาเฉา เขาก็ทั้งโกรธและขำ
เมื่อกี้ยังหัวเราะเสียงดังอยู่เลย
ตอนนี้ร้องไห้อย่างน่าเวทนา
ลู่เจิ้งเยว่กอดลู่เฉาเฉาและสั่งว่า "ให้ปิดสุสาน ห้ามชาวบ้านเข้าไป ของที่ถูกเอาไปแล้วก็เอาคืนมาได้ก็เอา ถ้าเอาคืนมาไม่ได้ ก็ให้คนที่เข้าไปในสุสานมากราบขอโทษข้างนอก"
เขาตบหลังน้องสาวพลางสั่งผู้ติดตาม
ทหารองครักษ์ตอบรับทันที
ลู่เฉาเฉาซบไหล่พี่ชายแล้วถามว่า "สุสานไม่มีสิ่งกีดขวางหรือผู้เฝ้ารักษาเลยเหรอ?"
【ตอนฉันเป็นเซียนดาบ ฉันถือว่าจนมาก พวกศิษย์มักให้ความสำคัญกับทองและเงิน พวกเขาเก็บสมบัติมากมายในสุสาน ทำไมไม่มีใครดูแล?】
【ฉันไม่เชื่อหรอก】
"ไม่มีการดูแล" ชายที่นำทางส่ายหัว
"แต่ก่อนเมืองร้างมีสิ่งชั่วร้าย พวกมันจะออกมาอาละวาดทุกปีในช่วงกลางปี"
"แต่ก่อนพวกมันรักษาการณ์อยู่ที่นี่ ใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ช่วงหลังมานี้พวกมันออกมาน้อยลง คนถึงเริ่มมาที่นี่"
ลู่เฉาเฉาชะงักไปครู่หนึ่ง
"สิ่งชั่วร้าย..."
ใช่สิ่งนั้นรึเปล่าที่เดินทางระหว่างโลกต่าง ๆ พลางพูดว่า ‘วิญญาณจงกลับมา’
ลู่เฉาเฉารู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งชั่วร้ายนั้นอยู่บ้าง
ลู่เจิ้งเยว่พาเธอขึ้นรถม้า เตรียมกลับเมือง
เจ้าตัวน้อยมองซ้ายขวา และนั่งยอง ๆ อยู่ที่มุมรถม้า ก่อนจะล้วงเอาหนังสือเทพเจ้าออกมาอย่างลับ ๆ
ในวัง ไม่มีใครกล้าตรวจค้นตัวเธอ
เธอเลยแอบเอาหนังสือเทพเจ้าออกจากวังมา
แน่นอนว่า องครักษ์ลับของจักรพรรดิได้รายงานเรื่องนี้ให้จักรพรรดิทราบแล้ว แต่จักรพรรดิไม่ได้ขัดขวาง เพราะมันเป็นแค่หนังสือเทพเจ้าเท่านั้น แม้แต่หยกตราประทับ จักรพรรดิยังยอมให้เธอเล่นได้ไม่กี่วัน
เสี่ยงหลิว ยังต้องแปรงฟันต่อหน้าเธอ เซวียนผิง ไม่กล้าหาเรื่องเธอหรอก
ครั้งก่อนที่ขุนนางทั้งราชสำนักแอบฟังเสียงในใจ เซวียนผิงรู้แล้วว่า เขาคงจับเส้นใหญ่สุดในราชสำนักไว้ได้แล้ว
“เห้อ สิ่งชั่วร้ายคงเป็นศิษย์ทึ่มสักคนสินะ?”
ลู่เฉาเฉาเปิดหนังสือเทพเจ้า
หัวใจของเธอเริ่มหนักอึ้งขึ้นอีกครั้ง
หน้าของจงไป๋ ส่องแสงเล็กน้อย มีประกายฟ้าเล็ก ๆ รอบ ๆ มือของลู่เฉาเฉาสัมผัสแล้วรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตเล็กน้อย
ส่วนหน้าของชงเยว่ ก็มืดลงไปหมด กลายเป็นสีเทาทึบ
ดวงดาวแห่งจงไป๋กลับล้อมรอบไปด้วยหมอกดำหนาแน่น ทำให้เธอรู้สึกกังวล
"จงไป๋เอ๋ย จงไป๋ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้าเป็นถึงเทพแห่งการต่อสู้ เป็นผู้ที่สว่างไสวที่สุดในสวรรค์!" ลู่เฉาเฉารู้สึกกังวลอย่างยิ่งและเก็บหนังสือเทพเจ้าไว้ในพื้นที่มิติของเธอ
"ไปที่หอหมอหลวงก่อนดีกว่า"
เมื่อพวกเขามาถึงหอหมอหลวง ก็พบว่าที่นั่นวุ่นวายมาก
บางคนถึงขั้นลงไม้ลงมือ
ลู่เจิ้งเยว่เห็นคนที่บาดเจ็บเต็มตัวแต่ยังจะสู้กันอยู่ ก็โกรธจัด
"อยากตายหรือไง! ขาข้างหนึ่งเหยียบอยู่ในโลงแล้ว ยังจะตีกันอีก ถ้าอยากสู้กันนักก็ไปสู้ข้างนอก!" ลู่เจิ้งเยว่ทำหน้าถมึงทึงยืนอยู่ที่ประตู ทำให้ผู้ป่วยต่างพากันถอยไปสองข้าง
บางคนถึงกับหลบไปที่มุมแล้วซ่อนเหรียญเงินไว้ในเสื้อ
"นี่ของฉันนะ ฉันทำหล่นเอง!" ผู้หญิงที่มีรอยจุดแดงเต็มใบหน้าตะโกนออกมา
"ฮึ ไม่ใช่ของที่ขโมยมาจากสุสานหรอกเหรอ!" ชายหน้าจิ้งจอกเย้ยหยัน
ลู่เจิ้งเยว่โกรธจนตาแดงก่ำ
"ถ้าอยากตายก็ไปให้ไกล ๆ อย่ามาเปลืองที่ในหอหมอหลวง!"
"บอกพวกเจ้ามาหลายครั้งแล้วว่าโรคนี้ห้ามอารมณ์เสียเด็ดขาด มิฉะนั้นจะทำให้โรคร้ายแรงขึ้น จะเอาเงินไปทำไมมากมาย สุดท้ายแม้แต่โลงศพก็ซื้อไม่ได้!" ลู่เจิ้งเยว่พูดด้วยใบหน้าเข้มขรึม
"อีกอย่าง พวกเจ้าจะเอาเงินก็เอาไปเถอะ แต่ทำไมต้องทำลายสุสานด้วย?"
"ถ้ามีจิตสำนึก ก็ไปกราบขอโทษที่หน้าสุสาน เพื่อให้วิญญาณที่ล่วงลับสงบ"
หญิงสาวแสยะปาก "คนตายแล้ว กราบขอโทษไปทำไม อีกอย่างฉันไม่ได้ขโมยคนเดียว ทุกคนก็ขโมยกันทั้งนั้น"
เธอพูดพลางเกาหลัง รู้สึกคันมาก
แต่พอเกา...
เธอก็รู้สึกว่าผิวหนังเจ็บแสบ พอเธอก้มมองดู ก็เห็นเลือดเต็มมือ เธอตกใจจนกรีดร้องลั่น "อ๊า!!!"
ดวงตาเธอกระตุก เธอดึงแขนเสื้อขึ้นดู และทันใดนั้นก็หน้ามืด
"ทำไมฉันเริ่มเน่าแล้วล่ะ? เมื่อวานนี้ฉันเพิ่งเป็นผื่นแดงเองนะ! ท่านหมอหลวง ช่วยด้วย!" หญิงสาวตะโกนลั่น ทั้งที่รู้ว่าปกติจะต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวันกว่าจะแสดงอาการเน่า
แต่เธอใช้เวลาแค่วันเดียว กลับเริ่มเน่าแล้ว
พอทุกคนได้ยินดังนั้น ต่างพากันถอยออกไปทันที
ชายที่เพิ่งแย่งเงินของเธอไปรีบโยนเหรียญทิ้งทันที "ลางร้าย ลางร้าย..."
หมอหลวงมองหน้ากันด้วยความเคร่งเครียด
"ถอดเสื้อออก ดูที่เท้าด้วย..." หมอหลวงหลายคนตรวจสอบอย่างละเอียด
"เมื่อวานนี้เธอยังไม่มีผื่นแดงเลยหรือ?" หมอหลวงสั่งให้คนไปเอาสมุดบันทึกมา
เด็กฝึกงานพลิกดูสมุด "ใช่ค่ะ เมื่อวานเธอมีอาการปวดตามตัวทั้งวัน บ่ายถึงเริ่มมีผื่นแดงขึ้นที่ใบหน้า ปกติแล้วต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวันถึงจะเริ่มเน่า..."
และเมื่อเริ่มเน่าแล้ว ในสามวันก็ต้องตาย
"เธอดื่มยาที่เราต้มให้แล้วหรือยัง?" หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจที่ทำไมอาการถึงลุกลามเร็วขนาดนี้
"ดื่มแล้ว ดื่มหมดเลยค่ะ ฉันไม่ได้ออกจากหอหมอหลวงเลยนะ ไม่ได้ทำอะไรเลย!" หญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น ใครจะไปคิดว่าชีวิตจะนับถอยหลังเร็วขนาดนี้?
เธอขโมยเงินจากสุสานมาได้มากมาย คืนก่อนนั่งนับหลายรอบ รอให้หายดีแล้วเธอจะมีชีวิตที่สุขสบาย
"แต่ฉันยังไม่ทันได้มีชีวิตที่ดีเลย"
"ท่านหมอหลวง ช่วยด้วยเถอะ!" หญิงสาวน้ำตาไหลอาบหน้า
"พวกท่านหาวิธีเจอหรือยัง? เจอแล้วหรือยัง?"
"ฉันทนรอไม่ได้แล้ว!" หญิงสาวทั้งหวาดกลัวและสิ้นหวัง ต่างกับท่าทีข่มคนก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ลู่เจิ้งเยว่โบกมือเรียกให้ทหารองครักษ์สองคนมาจับเธอไว้
"ให้เธอใจเย็นลงก่อน"
ในหอหมอหลวงเต็มไปด้วยผู้ป่วย นอนเกลื่อนอยู่ทั่วพื้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหดหู่
"ท่านหมอหลวง บอกเรามาตรง ๆ เถอะ ยังมีทางรักษาเราไหม?"
ทุกคนร้องไห้ออกมาอย่างหมดหวัง
ลู่เจิ้งเยว่าไม่อยากให้ลู่เฉาเฉาต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานในโลกใบนี้อีก จึงอุ้มเธอเดินออกไปข้างนอก
หมอหลวงชราทั้งหลายยังคงไม่กลับไปพักผ่อน
พวกเขายังคงยืนหยัดหาทางรักษาต่อไป
โลกนี้แม้จะเต็มไปด้วยความล่มสลาย แต่ก็ยังมีคนคอยปะติดปะต่อมันอยู่เสมอ