บทที่ 145-146
[แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ]
บทที่ 145 ซือคงซิง (III)
ซูจุนโม่สามารถจินตนาการได้อย่างง่ายดายว่าลูกหลานของเผ่าจิ้งจอกแดงมีความหวาดกลัวต่อข่ายอาคมสี่ขั้วมากเพียงใด เขาเพียงไม่คาดคิดว่าซือคงซิง สตรีนางนี้ที่ภาคภูมิใจในความงามของตนเองและมักจะแสดงออกอย่างกล้าหาญและเอาแต่ใจ จะแสดงความกลัวและยอมจำนนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ได้
ซูจุนโม่เดินไปข้างๆ เหมิงฉีอย่างช้าๆ เมื่อเห็นซือคงซิงตัวสั่นอยู่บนพื้น เขาอดไม่ได้ที่จะกระแอมเล็กน้อย "เจ้าต้องการ...ปล่อยนางไปหรือไม่?"
"นางเป็นถึงขั้นสี่" เหมิงฉีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "เถาวัลย์กลืนวิญญาณที่นางนำมามีราคาเทียบเท่านาง"
"อ่า...แค่กๆๆ.." ซูจุนโม่ตกตะลึง แต่ก็เข้าใจในสิ่งที่เหมิงฉีหมายถึงในไม่ช้า
ซือคงซิงยิ่งตกตะลึงกว่า นางเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว ภายในวงอาคม ค่อยๆ เงียบสงบลง ฝูงผึ้งค่อยๆ หายไป เหลือเพียงไม่กี่ตัวที่ยังคงบินอยู่ช้าๆ ในอากาศ
ไม่ต้องพูดถึงซือคงซิง แม้แต่บริวารของนางก็ไม่ถูกโจมตีอีกต่อไป แต่พวกเขายังคงนอนอ่อนแรงอยู่บนพื้น พลังของพวกเขาดูเหมือนจะถูกดูดกลืนไป ทะเลวิญญาณว่างเปล่า บวมแดงบนใบหน้าและทั่วร่างกายยังคงเจ็บปวดและคัน แต่ทั้งหมดก็นอนนิ่งอยู่บนพื้นโดยไม่ได้รับคำสั่ง เพราะกลัวว่าหากขยับตัวอาจเกิดเรื่องร้ายแรงกว่านี้
"นายหญิง" ซือคงซิงจ้องมองเหมิงฉีอย่างเลื่อนลอย "บ่าวเป็นอสูรผู้บ่มเพาะขั้นสี่จริง บ่าวเต็มใจถวายวิญญาณแด่ท่านนายหญิง จากนี้ไป ข้าภักดีต่อท่านนายหญิง จะรับใช้ท่านด้วยความจริงใจ และจะไม่กล้าทรยศท่านไปชั่วชีวิต"
"..แค่กๆ..." ซูจุนโม่ทนดูต่อไปไม่ไหว เมื่อเทียบกับซือคงเหยียน เขาไม่ได้รังเกียจซือคงซิงผู้นี้ เด็กสาวผู้นี้เอาแต่ใจไปบ้าง แต่เท่าที่เขารู้ นางไม่เคยทำร้ายผู้ใดในสามภพมาก่อน ในอาณาจักรอสูร นางยังมีชื่อเสียงในเรื่องการขัดใจผู้แข็งแกร่งเพื่อช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ในบรรดาเหล่าอสูรเพศหญิง ซือคงซิงมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ ผู้ที่ถูกรังแกหลายคนต่างไปขอความช่วยเหลือจากนาง
"เจ้า..." ซูจุนโม่ต้องการช่วยซือคงซิง จึงเอ่ยกับนางว่า "เจ้ามาถึงสามภพเมื่อใด?"
"เพิ่งมาถึงวันนี้เอง" ซือคงซิงตอบ แล้วจึงทำท่าทางอ่อนน้อมลงอีกครั้ง "บ่าวไม่เคยทำร้ายผู้บ่มเพาะมนุษย์และไม่มีศัตรูใดๆ บิดาของบ่าวส่งข้ามาที่นี่เพื่อตามหาท่านแม่ ซึ่งจากพวกเราไปกลับสามภพเมื่อร้อยปีก่อน"
"เหมิงฉี" ซูจุนโม่หันไปหาเหมิงฉี "นางแตกต่างจากซือคงเหยียนจริงๆ เจ้าสามารถไว้ใจนางได้" เขาหยุดไปครู่หนึ่ง หลังจากได้คลุกคลีกับเหมิงฉีในช่วงเวลานี้ ซูจุนโม่รู้สึกว่าเขาเข้าใจแนวคิดของนางบ้างแล้ว "ว่ากันว่า เจ้ากับนางก็คล้ายกันอยู่ ซือคงซิงปฏิบัติต่อผู้บ่มเพาะสตรีเป็นอย่างดี หากนางพบสตรีถูกรังแก นางจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเสมอ ในอาณาจักรอสูร ชื่อเสียงของซือคงซิงในหมู่สตรีนั้นดีนัก"
เหมิงฉีมิได้เอ่ยวาจา
ซูจุนโม่กล่าวต่อ "เจ้าก็เมตตาต่อเหล่าสตรีผู้บ่มเพาะมิใช่หรือ? เจ้าโหดเหี้ยมต่อบุรุษเสมอ แต่กลับใจกว้างต่อสตรี"
"จริงหรือ?" เหมิงฉีมิได้รู้สึกเช่นนั้น นางเคยปฏิบัติต่อทุกผู้คนอย่างเท่าเทียมกัน แต่บัดนี้นางต้องป้องกันตนเองจากเคราะห์ร้าย จึงเรียกร้องค่าตอบแทนจากผู้บ่มเพาะบุรุษ
"ยิ่งไปกว่านั้น บิดาของซือคงซิงก็แตกต่างจากจิ้งจอกแดงตนอื่นๆ ในเผ่าของพวกเขา เขาเป็นเศรษฐีผู้มีชื่อเสียง ซือคงซิงเป็นบุตรสาวคนเดียวของเขา และนางก็มีหินวิญญาณมากมาย!" ซูจุนโม่พูดอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาพูด เขาก็ขยิบตาให้ซือคงซิง
ซือคงซิงตกตะลึงและมิอาจตอบสนองได้ในทันที เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ว่าบิดาของนางมีชื่อเสียงในด้านความมั่งคั่ง แต่อสูรให้ความเคารพต่อความแข็งแกร่ง หลายคนเยาะเย้ยพ่อลูกของพวกนางอย่างเปิดเผย ว่าพวกเขานอนอยู่บนกองหินวิญญาณก็ไร้ประโยชน์ และพวกเขาเป็นตัวตลกที่ใหญ่ที่สุดของเผ่าจิ้งจอกแดง!
ซูจุนโม่ถอนหายใจเบาๆ และเริ่มอธิบาย "นาง..." เขาชี้ไปที่เหมิงฉี แล้วพูดกับซือคงซิงและบริวารที่อยู่ข้างหลังนาง "...ต้องการแลกตัวพวกเจ้าเป็นรางวัลหินวิญญาณ เจ้า รวมทั้งเถาวัลย์กลืนวิญญาณที่เจ้านำมาด้วย มีราคาสองร้อยหินวิญญาณขั้นแปด ส่วนบริวารของเจ้า คนละหนึ่งร้อยหินวิญญาณขั้นเจ็ด"
ซือคงซิงรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาทันที เพราะความชอบสะสมหินวิญญาณของบิดา นางจึงถูกคนอื่นในเผ่าจิ้งจอกแดงหัวเราะเยาะมาโดยตลอด แต่ท่านหญิงผู้นี้ก็ชอบหินวิญญาณเช่นกันหรือ?
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ความรู้สึกอบอุ่นพลันผุดขึ้นในใจของซือคงซิง ดูเหมือนว่าความคับแค้นใจและการถูกเยาะเย้ยที่นางได้รับมาตั้งแต่เด็กจะเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย บุคคลผู้ทรงอำนาจเช่นนี้ที่สามารถใช้ข่ายอาคมสี่ขั้วและมีซูจุนโม่ติดตามมาด้วย ก็ยังชอบหินวิญญาณ!
ซือคงซิงรีบหยิบถุงผ้าไหมออกมาจากแหวนมิติของนางและถือไว้ด้วยสองมืออย่างเคารพ "นายหญิง นี่คือหินวิญญาณขั้นเก้าหนึ่งร้อยก้อน บ่าวเต็มใจใช้มันเพื่อไถ่ชีวิตของบ่าวและบริวาร..." ซือคงซิงเม้มริมฝีปากล่างเบาๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดต่อ "อันที่จริง คนเหล่านี้ไม่ใช่บริวารของบ่าว พวกเขาล้วนเป็นผู้บ่มเพาะอสูรที่บ่าวช่วยชีวิตไว้ เพราะพวกเขารู้สึกขอบคุณ จึงอาสาติดตามบ่าวมา" นางโค้งคำนับเหมิงฉีอย่างนอบน้อม "พวกเขามาที่นี่เพียงเพื่อช่วยบ่าว ขอท่านนายหญิงโปรดยกโทษให้พวกเขาด้วย"
"เหมิงฉี" ซูจุนโม่ยังคงเกลี้ยกล่อมต่อไป "ซือคงซิงไม่ใช่คนเลวร้าย ปล่อยนางไปเถิด"
สายตาของเหมิงฉีจับจ้องไปที่ใบหน้าของซือคงซิง "มอบเถาวัลย์กลืนวิญญาณทั้งหมดให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป"
"ขอบพระคุณ นายหญิงเป็นอย่างยิ่ง" ซือคงซิงโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
ผู้บ่มเพาะอสูรที่ติดตามซือคงซิงมาก็ลุกขึ้นอย่างยากลำบากและคุกเข่าลง "ขอบพระคุณ นายหญิง"
"พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่า 'นายหญิง'" เหมิงฉีโบกมือ "และก็ไม่ต้องเรียกตนเองว่า 'บ่าว' ข้าไม่ต้องการบริวาร ข้าไว้ใจซูจุนโม่ แต่ในวันข้างหน้า เจ้าห้ามนำเถาวัลย์กลืนวิญญาณใดๆ มาสู่สามภพอีก"
“เจ้าค่ะ” ซือคงซิงก้มหน้าลง "ข้าเข้าใจแล้ว"
จากนั้นซือคงซิงก็เงยหน้ามองเหมิงฉีและหยิบถุงผ้าไหมอีกใบออกมา นางโบกมือครั้งหนึ่ง รวบรวมเถาวัลย์กลืนวิญญาณทั้งหมดจากตัวนางเองและผู้บ่มเพาะอสูรคนอื่นๆ ด้วยศีรษะที่ก้มลง นางประคองถุงผ้าไหมทั้งสองใบด้วยฝ่ามืออย่างนอบน้อม
บทที่ 146 ซือคงซิง (IV)
ด้วยการสะบัดชายอาภรณ์ของซูจุนโม่ ถุงผ้าไหมทั้งสองก็ลอยเข้าไปในมือของเหมิงฉี เหมิงฉีไม่ลังเลและเก็บมันเข้าไปในแหวนมิติของนาง นางต้องการหินวิญญาณเหล่านี้จริงๆ ในตอนนี้
"นายหญิง...เอ่อ ไม่สิ แม่นางเหมิง!" เมื่อซือคงซิงพยายามจะพูด นางก็นึกขึ้นได้ว่าเหมิงฉีไม่ต้องการให้เรียกว่า 'นายหญิง'
"เรียกข้าว่าเหมิงฉีก็พอ" เหมิงฉีกล่าวอย่างสงบ
"ข้า..."
"ไม่เป็นไร" เหมิงฉีกล่าว "ชื่อก็มีไว้เรียกขานกัน ไม่มีเรื่องเสียมารยาทหรือไม่เสียมารยาทหรอก"
"เจ้าค่ะ" ซือคงซิงจ้องมองเหมิงฉี แสงสว่างวาบขึ้นในดวงตาของนาง "เช่นนั้น ข้าจะเรียกท่านว่าเหมิงฉีเหมือนซูจุนโม่ได้หรือไม่?"
เหมิงฉี "..."
เหมิงฉีพยักหน้า ในเมื่อแม้แต่ฉู่เทียนเฟิงก็ยังเรียกนางด้วยชื่อเล่นนี้ นางก็ไม่สนใจแล้ว
"เหมิงฉี" ซือคงซิงพูดอีกครั้ง "ข้าจะให้เด็กสาวเหล่านี้กลับไป แต่ข้าสามารถอยู่ในสามภพได้หรือไม่? ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาท่านแม่ บิดาของข้าคิดถึงท่านแม่มากจนกระทั่งรากฐานพลังของท่านเสียหาย ตลอดร้อยปีมานี้ พลังฝีมือของท่านก็หยุดนิ่ง ข้าเกรงว่า..." นางก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย เผยให้เห็นลำคอขาวระหง "ข้าอยากตามหาท่านแม่ และขอให้ท่านกลับไปพบท่านพ่อ ดังนั้นเหมิงฉี...ได้โปรดให้ข้าอยู่ที่นี่เถิด!"
"เอ่อ..." เหมิงฉีเหลือบมองซูจุนโม่
ซูจุนโม่พยักหน้าช้าๆ และถอนหายใจ "บิดาของนางหลงรักท่านแม่ของนางจนแทบคลั่งจริงๆ"
"ตกลง" เหมิงฉีพยักหน้า
"ขอบคุณเจ้ามาก เหมิงฉี" ซือคงซิงยิ้มอย่างมีความสุข นางเกิดมาพร้อมกับเสน่ห์และความงดงามของเผ่าจิ้งจอกแดง ด้วยใบหน้างดงามและอาภรณ์สีแดง รอยยิ้มของนางจึงมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
แม้แต่เหมิงฉียังเกือบจะหลงใหล
"แล้ว ข้าจะติดตามเจ้าไปได้หรือไม่?" ซือคงซิงถามอีกครั้ง คราวนี้ระมัดระวังมากขึ้น "ข้าไม่รู้จะไปตามหาท่านแม่ได้ที่ใด ข้าไม่รู้จักผู้ใดในสามภพและไม่รู้กฎเกณฑ์ที่นี่ด้วย ข้าจะติดตามเจ้าไปได้หรือไม่?"
"เช่นนั้น เจ้าต้องให้คำสาบานวิญญาณ" ซูจุนโม่ยังคงกังวลเกี่ยวกับแผนการของเผ่าจิ้งจอกแดง "สาบานว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายเหมิงฉีเมื่ออยู่ในสามภพ"
"ได้" ซือคงซิงยกนิ้วโป้งและนิ้วชี้ขึ้นมาทันทีและวางไว้ที่หน้าอก "ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ว่าจะไม่ทำร้ายเหมิงฉีในชาตินี้ หากข้าผิดคำสาบานนี้ ขอให้ดวงวิญญาณแห่งบรรพชนทอดทิ้งข้า และขอให้ดวงดาวไม่ส่องแสงมายังข้าอีกต่อไป"
ซือคงซิงกล่าวคำสาบานเสร็จและลุกขึ้นอย่างมีความสุข
ซูจุนโม่ส่ายหัว ด้วยการโบกมือของเขา เขาก็ส่งบริวารทั้งหมดของนางกลับไปยังอาณาจักรอสูรในทันที
ซือคงซิงเบนสายตาไป ดวงตาที่สดใสของนางจับจ้องไปที่สิ่งที่อยู่ในมือของซูจุนโม่ แต่นางไม่ได้พูดอะไร แม้ว่าเหมิงฉียังอยู่ในขั้นสร้างรากฐาน แต่นางก็เป็นบุคคลพิเศษที่สามารถใช้ข่ายอาคมสี่ขั้ว ได้ การที่มีคนอย่างซูจุนโม่ติดตามและปกป้องนางก็เป็นเรื่องปกติ
"เหมิงฉี" ซือคงซิงเป็นฝ่ายเอ่ยถาม "ตอนนี้พวกเราจะไปที่ใดกัน?"
ซือคงซิงงดงามยิ่งนัก นางสวมอาภรณ์ยาวสีแดงเพลิง ดวงตาของนางสุกใสราวดวงดาว และรูปโฉมของนางก็งดงาม เพื่อให้กำเนิดบุตรสาวที่งดงามเช่นนี้ มารดาของนางต้องเป็นหญิงงามงามล่มเมืองเช่นกัน เหมิงฉีกวาดสายตามองใบหน้าของซือคงซิงและค้นหาความทรงจำของนางเกี่ยวกับผู้คนที่นางเคยพบเจอทั้งในสองภพ ทว่านางก็นึกไม่ออกว่ามีผู้บ่มเพาะสตรีคนใดที่อาจให้กำเนิดบุตรสาวที่งดงามเช่นนี้ได้
"เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง" ซือคงซิงเอ่ยขึ้นทันที "ครานี้ หัวหน้าคณะคือซือคงฉางเลี่ย หลานชายของผู้อาวุโสลำดับเจ็ดแห่งเผ่าจิ้งจอกแดง" นางแค่นเสียงเยาะหยัน "เมื่อครั้งอยู่ในอาณาจักรอสูร ซือคงฉางเลี่ยชอบกลั่นแกล้งผู้อ่อนแอและชอบลักพาตัวผู้บ่มเพาะสตรีที่งดงาม ในบรรดาเด็กสาวที่ติดตามข้ามา มีสองคนที่ถูกลักพาตัวไปโดยเขาและโยนให้บริวารของเขา โชคดีที่ข้าบังเอิญไปพบนางและพาพวกนางกลับมาได้ทันเวลา มิเช่นนั้นพวกนางอาจจะถูกย่ำยีจนตาย!"
ซือคงซิงยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ "แต่ข้าไม่รู้ว่ามีเด็กสาวอีกกี่คนที่ช่วยไม่ทันและถูกทำลายด้วยน้ำมือของเขา เหมิงฉี ข้าจะช่วยเจ้าจับเขา ก่อนจะส่งเขากลับไปแลกกับหินวิญญาณ เราต้องตอนไอ้สารเลวนั่น!"
"ตกลง!" เหมิงฉีพยักหน้าและถามว่า "เขาเป็นผู้บ่มเพาะขั้นสี่ด้วยหรือไม่?"
"ใช่!" ซือคงซิงอุทาน "และเขายังพาบริวารมาด้วยอีกมากมาย อย่างน้อยก็สี่สิบหรือห้าสิบคน ในจำนวนนั้นมีหกหรือเจ็ดคนที่เป็นผู้บ่มเพาะขั้นสี่ ส่วนที่เหลือเป็นขั้นสาม"
เหมิงฉีคำนวณอย่างรวดเร็ว "ดี! ไปจับพวกมันกันเถอะ"
"ใช้ข่ายอาคมสี่ขั้ว นี่แหละ ซือคงฉางเลี่ยต้องร้องไห้แน่!" ซือคงซิงแค่นเสียงเยาะ "เขามักจะอ้างว่าเป็นทายาทสายตรงของบรรพชนจิ้งจอกแดง การได้เห็นข่ายอาคมสี่ขั้วคงจะทำให้เขาตกใจจนขี้ขึ้นหัว!"
"ตกลง" เหมิงฉีกล่าว "ข้าจะซ่อมแซมวงอาคมที่นี่" นางหันไปหาซูจุนโม่และฉู่เทียนเฟิง จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนสายตาไปยังฉินซิวโม่ ซึ่งยังคงระแวงซือคงซิงอยู่
"เหมิงฉี ให้พวกเขาไปตามหาซือคงฉางเลี่ยเถิด" ซือคงซิงกล่าว "ข้าจะอยู่คุ้มครองเจ้าเอง สามคนนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่"
เหมิงฉีไม่ได้ตอบในทันที นางหยิบถุงผ้าไหมใบหนึ่งที่ซือคงซิงเพิ่งให้นางออกมาและพูดกับฉินซิวโม่ว่า "ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ เราจะแบ่งหินวิญญาณตามระดับความดีความชอบ เมื่อครู่เจ้าเป็นเหยื่อล่อศัตรู ดังนั้นหนี้ก่อนหน้านี้ของเจ้าจึงถือว่ายกให้ และข้าจะให้เจ้าเพิ่มอีกห้าก้อน"
"ฉินซิวโม่ ในเมื่อธุระของเราเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป"
เมื่อเห็นเคราะห์ร้ายของฉินซิวโม่ ฉู่เทียนเฟิงก็ยิ้มเยาะอย่างสะใจ ใครใช้ให้เขาแสร้งทำเป็นจนและติดหนี้เล่า? ตอนนี้ไม่ถูกไล่ออกไปแล้วหรือ?!
สมน้ำหน้า!
"โอ้" สีหน้าของฉินซิวโม่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง "ข้าก็ขัดสนเงินทองเช่นกัน ดังนั้นข้าอยากจะอยู่และหาหินวิญญาณเพิ่มสักหน่อย"
เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะโกหกใครต่อใครอย่างหน้าด้านๆ ว่า 'อยากหาหินวิญญาณ'