บทที่ 84 ไฟใต้พิภพ
บรรดาศิษย์ช่างหลอมอาวุธและศิษย์ตระกูลเฉียนต่อสู้กันอย่างชุลมุน สถานการณ์วุ่นวายไปชั่วขณะ
โดยทั่วไปในเมืองตงเซียน ผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นฝึกลมปราณระดับกลาง หรือมีพลังประมาณขั้นที่ห้าถึงหก ก็สามารถเรียนรู้พลังอาคมสำหรับโจมตีได้แล้ว
พลังอาคมที่ผู้ฝึกตนใช้โจมตีแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือวิชาต่อสู้ที่ผู้ฝึกฝนร่างกายเรียน อีกประเภทคืออาคมที่ผู้ฝึกจิตวิญญาณเรียน
ผู้ฝึกฝนร่างกายเน้นการฝึกร่างกาย ใช้ร่างกายที่แข็งแกร่งเป็นสื่อนำพลังวิญญาณ โจมตีระยะประชิด ส่วนผู้ฝึกจิตวิญญาณเน้นการฝึกอาคม ใช้จิตสำนึกควบคุมพลังวิญญาณเพื่อสร้างอาคม โจมตีระยะไกล
มีผู้ฝึกตนบางคนฝึกทั้งร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไป แต่ผู้ฝึกตนเช่นนี้ต้องมีเงื่อนไขพิเศษสองประการ:
หนึ่งคือต้องมีพรสวรรค์ดี รวมถึงมีรากฐานพลังระดับสูงและร่างกายที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการฝึกฝน สองคือต้องมีชาติตระกูลดี มีการสืบทอดวิชาการบำเพ็ญเพียรที่ลึกซึ้ง สามารถปรับสมดุลระหว่างการฝึกร่างกายและจิตวิญญาณได้ ที่สำคัญคือครอบครัวควรมีเหมืองหินวิญญาณสักสองสามแห่ง มีหินวิญญาณใช้ไม่หมด...
การฝึกทั้งร่างกายและจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่มีโอกาสได้ทำ ตระกูลใหญ่บางตระกูลอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคนกว่าจะมีผู้มีแววฝึกได้ทั้งสองอย่างสักคน แล้วจะพูดถึงเมืองตงเซียนอันห่างไกลได้อย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นนักพรตอิสระหรือผู้ฝึกตนจากตระกูลเล็กๆ ต่างก็ต้องเลือกฝึกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ก็เน้นฝึกร่างกายเป็นผู้ฝึกฝนร่างกาย ไม่ก็เน้นฝึกอาคมเป็นผู้ฝึกจิตวิญญาณ
ในขั้นฝึกลมปราณ ผู้ฝึกฝนร่างกายมีข้อได้เปรียบมากกว่าผู้ฝึกจิตวิญญาณอย่างมาก ตราบใดที่ไม่ได้มีร่างกายอ่อนแอเป็นพิเศษมาแต่กำเนิด - อย่างเช่นโม่ฮว่า ทุกคนก็จะเลือกเส้นทางการฝึกร่างกาย เป็นผู้ฝึกฝนร่างกาย
ดังนั้นสถานการณ์การต่อสู้ในตอนนี้ จึงเป็นการปะทะกันของผู้ฝึกฝนร่างกายเป็นหลัก
มีศิษย์ตระกูลเฉียนสองสามคนที่เป็นผู้ฝึกจิตวิญญาณ แต่ยังไม่ทันได้ปล่อยอาคมออกมา ก็ถูกคนวิ่งเข้ามาชกล้มไปเสียก่อน
การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกฝนร่างกายด้วยกัน ก็คือการใช้หมัดเท้าปะทะกันโดยตรง เสริมด้วยพลังวิญญาณต่างธาตุ ในทุกหมัดทุกฝ่ามือมีแสงสีต่างๆ พันเกี่ยว ดูแล้วค่อนข้างเท่ทีเดียว
นี่เป็นครั้งแรกที่โม่ฮว่าได้เห็นการต่อสู้ของผู้ฝึกตนในระดับนี้ เขาจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงนึกได้ว่าตนเองควรทำอะไรสักอย่าง
ทำอะไรดีล่ะ?
โม่ฮว่าคิดไปคิดมา รู้สึกว่าสิ่งเดียวที่ตนทำได้คือ - วิ่งหนี!
กลุ่มผู้ฝึกฝนร่างกายต่อสู้กันวุ่นวาย เขาที่มีแขนขาเล็กแค่นี้ ถ้าหนีรอดไปได้ก็นับว่าดีแล้ว ไม่สร้างภาระให้คนอื่นก็ถือเป็นการช่วยเหลือที่ดีที่สุดแล้ว!
โม่ฮว่าเตรียมจะเผ่นแจ้น แต่เดินไปได้สองสามก้าว ก็พบว่าไหล่ของตนถูกคนจับไว้ โม่ฮว่าพยายามสะบัดออก แต่กลับไม่หลุด ซ้ำร้ายยังมีมือเย็นเฉียบคู่หนึ่งบีบคอของเขาไว้
โม่ฮว่าหันไปมอง ก็เห็นเฉียนซิงกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา
ราวกับว่าเขาเป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อของอีกฝ่าย
"หยุดมือทั้งหมด!" เฉียนซิงตะโกนด้วยน้ำเสียงอำมหิต
ทุกคนหยุดมือ แยกย้ายไปสองฝ่าย ศิษย์ตระกูลเฉียนกุมแขน เช็ดเลือด ยืนอย่างทุลักทุเลอยู่ด้านหลังเฉียนซิง ส่วนต้าจู้และคนอื่นๆ ยืนเผชิญหน้ากับพวกเขาอยู่ตรงหน้าเฉียนซิง
โม่ฮว่าเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกใจหายวาบ: "แย่แล้ว เกิดสถานการณ์ที่ไม่อยากเห็นที่สุดเข้าจนได้!"
แต่เดิมต้าจู้และพวกเขากำลังได้เปรียบ แต่ตอนนี้ตนถูกจับตัว ทุกคนต้องระวังไม่ให้เขาเป็นอันตราย สถานการณ์จึงไม่ค่อยดีนัก
ต้าจู้มองเฉียนซิง พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย: "ปล่อยคนไป! ไม่งั้นเจ้าตายแน่!"
"สู้ไม่ได้ก็ใช้วิธีสกปรก ไอ้ขี้ขลาด!"
"มีฝีมือก็มาสู้กันอีกรอบสิ..."
บรรดาศิษย์ช่างหลอมอาวุธต่างก็ตะโกนด้วยความโกรธ
เฉียนซิงหัวเราะเยาะ: "รู้จักแต่ต่อยตีกัน สมควรแล้วที่พวกเจ้าต้องต่ำต้อยไปชั่วชีวิต ข้าส่งคนไปเรียกคนมาแล้ว อีกเดี๋ยวองครักษ์ของตระกูลจะมาถึง พวกเจ้าหนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว"
"เจ้าจะทำอะไร?" ต้าจู้ตวาด
"จะทำอะไรงั้นเหรอ?" เฉียนซิงยิ้ม มือที่บีบคอโม่ฮว่าก็บีบแน่นขึ้น "วางใจเถอะ ตอนนี้ข้ายังไม่ฆ่ามัน ฆ่ามันก็แค่ทำให้มือข้าเปื้อน สำนักงานศาลเต๋าข้าไม่กลัวหรอก แต่ก็ขี้เกียจยุ่งยาก ข้าแค่จะพามันขึ้นเขา แขวนไว้บนต้นไม้ ล่อสัตว์อสูรมากินเนื้อมันทีละคำๆ ให้มันตายอย่างทรมาน ถึงจะสาแก่ใจข้าได้ ต่อให้สำนักงานศาลเต๋าอยากสืบ คนก็ถูกสัตว์อสูรกินไปแล้ว จะมาโทษข้าได้อย่างไร"
ต้าจู้โกรธจนตาแดง: "ไอ้บัดซบ เจ้ากล้าเหรอ!"
""เจ้ากล้าด่าข้าว่าบัดซบด้วยรึ? แล้วเจ้าเป็นอะไร?" เฉียนซิงโกรธจนหัวเราะ "ดี งั้นพวกเจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้า ตบหน้าตัวเองแล้วฆ่าตัวตาย ข้าก็จะไม่ฆ่ามัน เป็นไง? พวกเจ้าไม่ชอบออกหน้าหรอกหรือ? ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้วนะ"
เฉียนซิงบีบคอโม่ฮว่า ข่มขู่: "คุกเข่าสิ! ไม่คุกเข่าข้าจะฆ่ามันเดี๋ยวนี้!"
ต้าจู้และคนอื่นๆ ลำบากใจ รู้สึกทั้งโกรธแค้นและอับอาย
แววตาของโม่ฮว่าวาบขึ้น เขาพูดเสียงแหบแห้ง: "เฉียนซิง...เจ้าอย่าได้ลำพองนัก!"
"ลำพอง? ข้าให้หน้าเจ้าแล้ว พูดดีๆ กับเจ้า แต่เจ้าไม่ยอมรับ ทำให้เรื่องบานปลายขนาดนี้ แล้วยังมาโทษว่าข้าลำพอง?" เฉียนซิงพูด "วันนี้ข้าเสียหน้าขนาดนี้ เอาชีวิตสักสองสามคนมาล้างหน้า ก็สมเหตุสมผลดีแล้วไม่ใช่หรือ?"
น้ำเสียงเยาว์วัยของโม่ฮว่าแฝงความเยือกเย็น:
"งั้นเจ้าก็เลือกที่จะตายเองแล้วสินะ!"
เฉียนซิงไม่โกรธกลับหัวเราะ: "เจ้าเพียงแค่ขั้นฝึกลมปราณระดับสี่ ไม่เรียนวิชาต่อสู้ ไม่รู้อาคม จะเอาอะไรมาทำข้า? บอกว่าข้าเลือกที่จะตาย ดี งั้นข้าอยากดูนักว่าวันนี้เจ้าจะทำให้ข้า..."
พูดยังไม่ทันจบ เฉียนซิงก็เห็นหมึกสีแดงสดพุ่งใส่หน้าตน เขารีบยกมือขวาขึ้นป้อง แต่ก็ไม่ทัน หมึกบางส่วนกระเด็นเข้าตา ไหลผ่านร่องตาเข้าสู่ลูกตา ทำให้รู้สึกแสบร้อนทันที
นี่คือหมึกวิเศษธาตุไฟที่ใช้วาดค่ายกล!
เฉียนซิงโกรธจัด อดทนต่อความเจ็บปวดที่ตาขวา มือซ้ายออกแรงจะบีบคอโม่ฮว่าให้ตาย แต่เพราะความเจ็บปวดทำให้มือซ้ายคลายออกชั่วขณะ โม่ฮว่าจึงฉวยโอกาสนั้นหลุดพ้น
เฉียนซิงยื่นมือไปคว้าอีก โม่ฮว่ารู้ว่าหนีไม่พ้น จึงกระโดดถีบใส่ร่างของเฉียนซิง
แต่เท้าที่ถีบลงไปบนร่างเฉียนซิงกลับไม่ทำให้อีกฝ่ายขยับแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด กลับเป็นโม่ฮว่าที่ถูกแรงสะท้อนกลับจนลอยไปด้านหลัง
โม่ฮว่าอาศัยแรงถอยหลัง สุดท้ายก็ล้มลงบนพื้น กลิ้งไปสองสามตลบ แล้วนอนคว่ำกับพื้น เอามือปิดหัว
เฉียนซิงเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็อดหัวเราะไม่ได้ "ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าใครเป็นคนไร้ค่า?"
เขาเดินไปข้างหน้าต่อ หวังจะจับตัวโม่ฮว่าให้ได้ก่อนต้าจู้
แต่เพิ่งก้าวไปได้ก้าวเดียว เฉียนซิงก็รู้สึกถึงความร้อนที่หน้าอก ก้มลงมอง พบว่าในอกเสื้อมีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกยัดไว้ บนกระดาษมีลายค่ายกลเจ็ดเส้น วาดด้วยหมึกสีแดงสด และสีแดงนั้นก็ยิ่งสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะเรืองแสง
นี่คือ...ค่ายกล?
เฉียนซิงยังคิดไม่ทัน ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหู
ค่ายกลระเบิดแล้ว
ตรงหน้าเฉียนซิง คลื่นพลังวิญญาณอันรุนแรงพุ่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับความร้อนแรงที่เผาไหม้ และความเจ็บปวดรวดร้าวที่แทบฉีกหัวใจ ท่วมท้นตัวเขาในทันที
ชุดคลุมของเขาถูกเผาเป็นจุณในพริบตา อาวุธวิเศษป้องกันหัวใจที่อกก็แตกร้าว คลื่นอากาศร้อนแรงพุ่งขึ้นใบหน้า เผาจนใบหน้าเขาแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม ทั้งร่างถูกแรงระเบิดซัดกระเด็น พังแผงขายของไปหลายแผงกว่าจะหยุด
ถนนเงียบกริบลงในทันที
ศิษย์ตระกูลเฉียนหลายคนได้รับผลกระทบ นอนครวญครางอยู่บนพื้น
ส่วนต้าจู้และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ต่างมองโม่ฮว่าที่นอนคว่ำกอดหัวอยู่บนพื้นอย่างดูทุลักทุเล และเฉียนซิงที่ทั้งตัวไหม้เกรียมจนแทบไม่เหลือสภาพคนด้วยความตกตะลึง พูดอะไรไม่ออก
เสียงระเบิดและคลื่นพลังวิญญาณที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผู้ฝึกตนในละแวกใกล้เคียงตื่นตระหนก มีผู้ฝึกตนมากขึ้นเรื่อยๆ วิ่งมาทางนี้