บทที่ 346 มอบดอกไม้และจัดดอกไม้
“เขาจะนั่งตรงไหน?”
เฉินโม่ชี้ไปทางเจ้าไก่หัวแข็งที่อยู่ข้างหลังเขา แล้วถามกลับไป
ตอนนั้นเอง ฮั่วจงเทียนถึงได้สังเกตว่าต้องพาสัตว์อสูรไปด้วย!
“อ๊ะ? ท่านไม่ใส่มันในวงแหวนควบคุมสัตว์หรือ?”
“ก๊าก! ก๊าก!” เมื่อเจ้าไก่หัวแข็งได้ยินเรื่องวงแหวนควบคุมสัตว์ มันก็โกรธทันทีและสั่นปีกอย่างไม่พอใจ
สำหรับสัตว์อสูรที่ชอบเสรีภาพและวิ่งเล่นไปตามลมอย่างเจ้าไก่หัวแข็ง วงแหวนควบคุมสัตว์ก็เหมือนกรงขัง มันรู้สึกขยะแขยงเป็นธรรมชาติ
หากไม่ใช่เพราะเจ้าของสั่ง มันจะไม่มีวันเข้าไปในนั้นแน่นอน!
“เราไปเองเถอะ”
เฉินโม่ส่ายหัวเบา ๆ การส่ายหัวเพียงครั้งนี้ทำให้ฮั่วจงเทียนเหงื่อแตกทันที!
ตอนนี้เขาถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเฉินโม่ถึงไม่พาสัตว์อสูรระดับขั้นทองไป แต่กลับพานกประหลาดระดับสองตัวนี้มา ความรู้สึกที่มีต่อมันคงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ฮั่วจงเทียนรู้ดีว่า ตำแหน่งของเขาในวันนี้เกิดจากใคร ถ้าเฉินโม่ไม่พอใจและไปพูดอะไรต่อหน้าผู้นำตระกูล… แค่คิดก็ทำให้เขาสั่นสะท้านแล้ว เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป และเดินตามหลังเฉินโม่อย่างเงียบ ๆ ด้วยความเคารพ แม้แต่มองเจ้าไก่หัวแข็งก็ยังมีความนอบน้อมมากขึ้น
สองคนกับสองสัตว์อสูรเดินไปด้วยกัน เฉินโม่ถามเรื่องสถานการณ์ในเมืองเป่ยเยว่เป็นระยะ เพราะเขาไม่ได้มาเมืองนี้นานกว่าครึ่งปี
จากคำบอกเล่าของฮั่วจงเทียน เฉินโม่ได้รู้ว่าโม่จวินชิงเป็นคนแรกที่กลับมาจากแดนลับเฉี่ยวฉือฉี และน่าจะเป็นคนแรกที่ทะลวงถึงระดับขั้นทองด้วยย
เฉินโม่คิดทบทวนเวลาคร่าว ๆ มันน่าจะเป็นช่วงก่อนที่เหาเหอเซิงจะมาเยี่ยมเขาเพียงไม่กี่วัน
ดูเหมือนข่าวการทะลวงระดับของใครบางคนจะกระตุ้นให้พวกเขาเคลื่อนไหว
ฮั่วจงเทียนยังพูดถึงเรื่องราวของสามตระกูลใหญ่ด้วย เช่น ลูกชายคนเล็กของเว่ยหงอีทะลวงถึงขั้นสร้างรากฐาน และไม่นานหลังจากนั้น ตระกูลเว่ยก็ใช้หินวิญญาณระดับสูงกว่า 100 ก้อนเพื่อส่งเขาไปที่หมู่บ้านม้อเค่อจวี้
นอกจากนี้ ลูกสาวคนที่สามของเว่ยหงอี เว่ยรั่วหลัน ก็เพิ่งกลับมาจากการฝึกฝน และตอนนี้ตระกูลเว่ยก็กำลังเตรียมตัวให้เธอเข้าร่วมสำนักเซียนอู่ โดยจะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโส
ฮั่วจงเทียนพูดเบา ๆ ว่า
"ว่ากันว่าผู้อาวุโสของสำนักเซียนอู่ชราภาพมากแล้ว พลังที่แข็งแกร่งเริ่มถดถอย และไม่นานอายุขัยของเขาก็จะสิ้นสุดลง""
เฉินโม่ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรเกี่ยวกับการที่ครอบครัวหนึ่งจะแลกเปลี่ยนลูกสาวเพื่อให้ได้พลังสายเลือดของผู้แข็งแกร่ง แต่ในใจก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้สำหรับคนที่เขาไม่เคยพบเจอ
เพื่อให้ลูกหลานได้มีพลัง ตระกูลเว่ยทำทุกวิถีทาง
ในระหว่างที่สนทนา ทั้งสองก็มาถึงหอคอยของตระกูลเนี่ย
หอคอยยังคงตั้งตระหง่าน ทะลุฟ้าดังเดิม ประตูทางเข้ามีลูกหลานตระกูลเนี่ยเดินเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย
ขณะนั้น มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ประตูสูงสี่เมตร ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างหยุดเพื่อคำนับเขาด้วยความเคารพ
ทุกคนในตระกูลเนี่ยรู้ว่า หลี่ถิงอี้ได้กลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นทองคนที่สี่ของตระกูลเนี่ย และสถานะของเขาก็ก้าวกระโดดจากผู้จัดการสู่สมาชิกสายตรงเช่นเดียวกับโอวหยางตงชิง แม้จะไม่ได้มีนามสกุลเนี่ย แต่ก็ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดของตระกูลล
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่รู้ว่าบุคคลสำคัญของตระกูลเนี่ยที่ยืนอยู่ตรงนี้กำลังรอใครอยู่
ใครกันที่คู่ควรให้เขามารอรับด้วยตัวเอง?
ในที่สุด หลังจากความวุ่นวายบางอย่าง บุคคลที่ดูธรรมดาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู
หากจะมีอะไรที่โดดเด่นก็คงจะเป็นนกประหลาดที่มาด้วยกัน!
“่สหายเฉิน!” หลี่ถิงอี้กล่าวด้วยความยินดี ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข
ผู้นำตระกูลได้บอกเขาเรื่องการซื้อพืชวิญญาณขั้นสอง และเขาก็ยิ่งรู้สึกนับถือศิษย์ลึกลับจากสำนักเสินหนงคนนี้มากขึ้น
เพียงเพราะคำสัญญาคำเดียว เขาก็ยอมสละผลประโยชน์มหาศาลจากสำนักเซียนอู่ นับว่าเป็นคนที่ซื่อตรงและมีเกียรติอย่างแท้จริง!
“พี่หลี่! ยินดีด้วย! ท่านทะลวงสำเร็จแล้ว!”
“โชคดีที่ได้รับรู้สัจธรรม จึงเดินทางสายนี้ได้สำเร็จ ประหยัดเวลาหลายสิบปี” หลี่ถิงอี้ตอบโดยยังคงถ่อมตน
“ข้าไม่มีของขวัญพิเศษอะไร จึงได้ไปค้นของบางอย่างที่อาจารย์ข้าเหลือไว้ สามดอกไม้นี้ถือเป็นของขวัญแสดงความยินดีที่ท่านบรรลุถึงระดับขั้นทองำ”
ขณะที่พูด เฉินโม่ก็หยิบดอกบัวอมฤต สามดอกออกมา
ดอกไม้นี้มีแปดกลีบข้างบนและสิบกลีบข้างล่าง สีขาวชมพูแซมม่วง ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนต้านทานทุกสิ่งจากธรรมชาติ
ตามบันทึกใน 《สารานุกรมพืชวิญญาณ》 ดอกบัวอมฤตเป็นสมุนไพรขั้นสาม ใช้ในการปรุงยาปิดผนึกวิญญาณ แต่หากกินเข้าไปโดยตรงก็จะทำให้ผู้ที่กินได้สัมผัสกับความทุกข์ในชีวิต และได้ตระหนักถึงสัจธรรมแห่งชีวิต
แต่เนื่องจากผลของมันรุนแรงมาก จึงแทบไม่มีใครกล้ากินมันโดยตรง
แม้ว่ามันจะเป็นพืชวิญญาณขั้นสาม แต่ประโยชน์ของมันสำหรับผู้ฝึกตนก็น้อยกว่าสมุนไพรลับดินเหลืองเสียอีก
พืชวิญญาณหลายชนิดเป็นเช่นนี้ มันจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าก็ต่อเมื่ออยู่ในมือของผู้ที่ต้องการจริง ๆ เท่านั้น
“นี่คืออะไร?” ดวงตาของหลี่ถิงอี้ถูกดึงดูดด้วยดอกไม้อันแปลกตานี้
“ดอกบัวอมฤต ข้าคิดว่าพี่หลี่คงไม่เคยเห็นมาก่อน”
อีกฝ่ายรับไปและพิจารณาอย่างละเอียด เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนจริง ๆ
“มันมีสรรพคุณอะไรหรือ?”
“มันดูสวยดี ท่านสามารถใส่มันในแจกันที่มีน้ำ และไม่ต้องรดน้ำ มันสามารถอยู่ได้นานหลายเดือนโดยไม่เหี่ยวเฉา”
“ขอบคุณสหายเฉินมาก!”
หลี่ถิงอี้เก็บดอกบัวอมฤตสามดอกนั้นไว้ เขาตั้งใจจะนำไปจัด
ใส่แจกันเมื่อกลับไปถึงบ้าน
“พี่หลี่ท่านมีพรสวรรค์จริง ๆ” เฉินโม่กล่าวชม
แม้เขาจะเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญ แต่เมื่อไหร่ที่เขาจะบรรลุระดับขั้นทองำได้ก็ยังคงเป็นเรื่องไม่แน่นอน
“ไม่ได้เจอกันแค่ปีเดียว สหายเฉินก็พัฒนาขึ้นมากเช่นกัน!”
“ข้ายังห่างจากพี่หลี่มากนัก!”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กันและกันก่อนจะเดินเข้าหอคอยไปด้วยกัน
เจ้าไก่หัวแข็งตามมาข้างหลัง มองซ้ายมองขวาด้วยความสนใจทุกสิ่งรอบตัว
ฮั่วจงเทียนก้าวตามมาอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าทำอะไรผิดพลาด
“สหายฮั่ว” เฉินโม่หันกลับมาพูด “ขอบคุณที่ช่วยดูแลข้าเมื่อครู่นี้”
“ไม่…ไม่เป็นไรเลย”
เมื่อเห็นเฉินโม่หยุด หลี่ถิงอี้ก็หยุดด้วยและหันไปมองผู้จัดการคนนี้
“ว่าแต่ ข้ามีพืชวิญญาณบางอย่าง ท่านไปคิดราคาแล้วพรุ่งนี้แจ้งข้าก่อนจะกลับ”
เฉินโม่โยนพืชวิญญาณขั้นหนึ่งที่เขาไม่สนใจให้ฮั่วจงเทียน
“ได้เลย! ข้าจะจัดการให้ท่านอย่างดี”
“สหายฮั่วเป็นคนรอบคอบมาก”
คำพูดของเฉินโม่ทำให้ฮั่วจงเทียนที่เดินตามมาตลอดรู้สึกอบอุ่นและเต็มไปด้วยความซาบซึ้งในใจ
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชำนาญในการเข้าสังคม แต่ก็ไม่ได้โง่เลย คำพูดและการกระทำของเฉินโม่สื่อถึงความหมายที่ชัดเจน และเขาก็ไม่พูดถึงความผิดพลาดของเขาในตอนแรกเลยแม้แต่น้อย
ในสายตาของฮั่วจงเทียนตอนนี้ เฉินโม่มีความเมตตาราวกับนักบุญ!
หลี่ถิงอี้เตรียมการต้อนรับเป็นอย่างดี อาหารและเครื่องดื่มพร้อมอยู่แล้ว หลังจากดื่มไปหลายแก้ว เฉินโม่ก็พูดถึงเหตุผลที่เขามา
“พี่หลี่ ข้ามีเรื่องจะขอความช่วยเหลือ”
“ไม่ต้องเกรงใจ ว่ามาได้เลย!”
“หากพูดถึงการหลอมอาวุธ มีใครในเมืองเป่ยเยว่ที่มีฝีมือเป็นเลิศบ้าง?”
หลี่ถิงอี้เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “ท่านคิดจะหลอมอาวุธหรือ?”
“ไม่ใช่ข้าหรอก”
“ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”
(จบบท)