บทที่ 342 ใช้ข้าววิญญาณลายไม้เลี้ยงสัตว์อสูร
“สหายงูแดงเจ้าจะเรียนการหลอมอาวุธหรือ?”
เฉินโม่รู้สึกแปลกใจอย่างมาก เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงสัตว์อสูร!
สัตว์อสูรจะมาเรียนการหลอมอาวุธหรือ? นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยิน
ปีศาจงูแดงส่ายหัว ต้องพูดให้ถูกคือข้าจะเรียนพร้อมกับชิงเอ๋อ
ขณะนั้น ปีศาจงูเขียวก็เลื้อยมาตามทางที่ปีศาจงูแดงเลื้อยมาถึง พวกมันสองตัวพันกันเหมือนจะรวมร่างเป็นหนึ่งเดียว
ภาพนี้ทำให้เฉินโม่เผลอใจลอยไปพักหนึ่ง
ไม่นาน ความคิดอันตื่นเต้นและชัดเจนก็ผุดขึ้นมาในใจ
ใช่แล้ว!
ปีศาจงูแดงมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง ใช้พลังจิตหยิบจับสิ่งของจากระยะไกลได้ง่าย ๆ
ส่วนปีศาจงูเขียวมีไฟที่ร้อนแรงถึงขนาดทำให้กระดองของเต่าอสูรหลอมละลายได้ง่าย ๆ มีผู้ฝึกตนคนใดบ้างที่มีไฟเทียบเท่านางได้?
เมื่อรวมความฉลาดและการควบคุมของปีศาจงูแดงเข้ากับเปลวไฟของปีศาจงูเขียว อีกทั้งความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งระหว่างพวกมัน จะไม่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธโดยกำเนิดได้อย่างไร?
“สหายงูแดงคิดเรื่องนี้ได้อย่างไร?”
เฉินโม่ใช้เวลาอยู่กับปีศาจงูแดงและปีศาจงูเขียวมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยคิดในเรื่องนี้มาก่อนเลย
‘ในหนังสือบอกไว้’ ปีศาจงูแดงเหลือบมองไปที่กองหนังสือไม่ไกลจากนั้น
‘หนังสือบอกว่ามีการแบ่งเกรดของอาวุธวิญญาณเป็นสามระดับบน กลาง และล่าง โดยทั่วไปแล้วสอดคล้องกับขั้นทอง สร้างรากฐาน และขั้นฝึกปราณ ส่วนอาวุธที่สูงกว่าอาวุธวิญญาณเรียกว่าอาวุธสมบัติ ซึ่งแบ่งออกเป็นสามระดับเหมือนกัน สอดคล้องกับขั้นรวมวิญญาณ ขั้นเปลี่ยนจิต และขั้นปฐมภูมิ ส่วนที่สูงกว่าอาวุธสมบัติคืออาวุธวิญญาณขั้นสูงสุด…’
“ที่แท้ก็แบ่งแบบนี้”
เฉินโม่เพิ่งเคยได้ยินการจัดระดับของอาวุธเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร พืชวิญญาณ หรือยาเม็ด ล้วนถูกแบ่งตามระดับที่หนึ่ง สอง สามทั้งสิ้น
‘ใช่แล้ว’
“ข้าเคยได้ยินคนอื่นพูดถึงคำว่า ‘อาวุธศักดิ์สิทธิ์’ บ้าง เจ้าว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์คืออะไร?”
‘อาวุธศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เป็นการแบ่งระดับ แต่อาวุธที่มีคุณสมบัติพิเศษจะถูกเรียกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธวิญญาณ อาวุธสมบัติ หรืออาวุธวิญญาณขั้นสูงสุด ยกตัวอย่างเช่นพัดที่เจ้ามอบให้ข้า มันเป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับล่าง แต่เพราะมันสามารถก่อให้เกิดพายุได้กลางท้องฟ้าใส จึงเรียกได้ว่าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์’
เฉินโม่พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
แม้ว่าเขาจะฝึกตนมาเป็นสิบปีแล้ว เขาก็ยังพบว่าตนเองขาดความรู้พื้นฐานบางอย่างในโลกของการฝึกตน
“เมื่อพืชวิญญาณของข้าสุก ข้าจะไปเมืองเป่ยเยว่เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เจ้า”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ปีศาจงูแดงและปีศาจงูเขียวได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของเฉินโม่ไปแล้ว คำขอนี้เขาจึงยินดีที่จะตอบสนอง
‘ดี’
...
ความเย็นสบายของฤดูใบไม้ร่วงเริ่มหายไป ถูกแทนที่ด้วยลมหนาวที่เริ่มเย็นยะเยือกของฤดูหนาว
บนยอดเขาเซวียนเซียว เฉินโม่เฝ้าดูข้าววิญญาณลายไม้ในแปลงขนาดสี่สิบไร่และดอกบัวอมฤตในแปลงห้าไร่มานานกว่าครึ่งเดือน จนตอนนี้ในที่สุดก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว
พืชวิญญาณระดับสามเหล่านี้ เขาไม่ใช้คาถาเก็บเกี่ยว แต่ใช้วิธีการดั้งเดิม ตัดมันทีละต้น ๆ
ใช้เวลาไปสามวันเต็ม ๆ แปลงพืชวิญญาณระดับสามขนาดสี่สิบไร่นี้ทำให้เขาได้ข้าววิญญาณลายไม้มาทั้งหมด 16,000 จิน
ปริมาณนี้ไม่ต้องคิดเลย มันมากกว่าปริมาณทั้งหมดของเมืองเป่ยเยว่รวมกับเจ็ดสำนักเซียนเสียอีก
ต้องเข้าใจว่า สำนักชิงหยางเคยเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาแปดสำนักเซียน และพืชวิญญาณระดับสามของพวกเขาก็มีแค่สิบกว่าไร่เท่านั้น หากคำนวณตามนี้ พืชวิญญาณระดับสามทั้งหมดรอบเมืองเป่ยเยว่ก็อาจจะไม่ถึงร้อยไร่
ในสถานการณ์ที่ไม่มีพรสวรรค์ เพิ่มผลผลิต หรือ เร่งการเติบโต พืชวิญญาณหนึ่งร้อยไร่จะให้ผลผลิตเพียง 8,000-9,000 จินในสามปี และเมื่อเฉลี่ยในแต่ละปี ปริมาณก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก
เมื่อแบ่งปันให้กับผู้ฝึกตนขั้นทองแล้ว พวกเขาอาจจะได้เพียงสี่ถึงห้าสิบจินต่อปี ซึ่งก็เพียงพอสำหรับอาหารไม่กี่มื้อเท่านั้น
ข้าววิญญาณลายไม้ 16,000 จินนี้ เฉินโม่ไม่คิดจะขายเลยแม้แต่นิดเดียว
ในเมืองเป่ยเยว่ พืชวิญญาณระดับสามและพืชวิญญาณระดับสองเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง หากพวกผู้ฝึกตนขั้นทองรู้ว่าเขามีข้าววิญญาณลายไม้จำนวนมากขนาดนี้ เขาอาจจะเจอปัญหาใหญ่ได้
แต่ในหนึ่งวันเขากินได้เพียงสิบจินเท่านั้น ต่อปีจะใช้ไม่เกิน 4,000 จิน
เฉินโม่ตั้งใจจะเก็บข้าววิญญาณลายไม้ 4,000 จินไว้สำรองสำหรับปีหน้า ส่วนอีก 8,000 จินที่เหลือ เขาจะเอาไว้เลี้ยงสัตว์อสูรของเขา
สำหรับเรื่องการเลี้ยงสัตว์อสูรที่บรรลุขั้นสร้างรากฐานทั่วทั้งหุบเขา เขายังยึดมั่นในความคิดนี้อยู่
เขาเชื่อว่า ข้าววิญญาณลายไม้ 8,000 จินนี้จะสามารถสร้างสัตว์อสูรขั้นสองขึ้นมาได้หลายตัวอย่างแน่นอน!
ตัวแรกที่ต้องเลี้ยงดูย่อมต้องเป็นโตว
หลังจากที่เขากินอิ่มแล้ว เฉินโม่จึงเริ่มทำการหุงข้าววิญญาณลายไม้สำหรับสัตว์อสูร
เมื่อเก็บดอกบัวอมฤตทั้ง 700 ดอกเข้าแหวนเก็บของแล้ว เฉินโม่ก็เริ่มเตรียมดินสำหรับการปลูกใหม่ในปีถัดไป
เมื่อจัดการธุระบนยอดเขาเซวียนเซียวเสร็จแล้ว เขาก็กลับไปที่สระฉางเกอ
หลังจากหายไปหลายเดือน เต่าอสูรก็เป็นตัวแรกที่เข้ามาทักทายเขา
“นายท่าน นายท่าน ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
“ช่วงนี้ท่านไปทำอะไรมาหรือ?”
“ข้าวที่ยอดเขาเซวียนเซียวสุกแล้วหรือยัง? ข้าคิดว่ามันน่าจะสุกแล้ว ใช่หรือไม่?”
“นายท่านให้ข้าไปช่วยเก็บข้าวได้ไหม…”
เฉินโม่มองเต่าอสูรด้วยสายตาดุ ๆ
“ถ้าเจ้ายังพูดมากอีก เดี๋ยวจะอดข้าว”
เต่าอสูรหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ไปเอาใบกล้วยมาจากไหน แล้วเอามาปิดปากตัวเองอย่างแม่นยำ
ภาพนี้ทำให้เฉินโม่อดหัวเราะไม่ได้
เจ้าเต่าอสูรนี่มัน… ไม่เคยจริงจังเลย
เมื่อเข้ามาในลานบ้าน เฉินโม่ก็ทักทายปีศาจงูแดงกับปีศาจงูเขียว
“สหายงูแดง วันนี้ข้าจะทำอาหารดี ๆ ให้พวกเจ้า อีกไม่กี่วันข้าจะออกเดินทางไปเมืองเป่ยเยว่”
จากนั้นเขาก็หยิบหม้อขนาดใหญ่ออกมา เทข้าววิญญาณลายไม้ 33 จินลงไป และเติมน้ำที่สกัดจากตะไคร่น้ำศักดิ์สิทธิ์ในอัตราส่วน 1:3
ขณะที่ข้าวกำลังหุงอยู่ เจ้าไก่หัวแข็งก็จัดการเชือดหมูอสูรดำให้เขา ทำเอาหมูอสูรดำที่เหลือสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
หลังจากวุ่นวายอยู่เกือบครึ่งวัน กลิ่นหอมในหม้อก็เริ่มฟุ้งไปทั่ว ทำให้เหล่าสัตว์อสูรรวมทั้งโตว มารวมตัวกันรอบลานบ้าน
เสือแดงเพลิงจามเป็นพัก ๆ จามแต่ละทีก็พ่นไฟออกมาด้วย
ราชสีห์กวางโลหิตก็ใช้กีบตีนโลหิตกระทืบพื้นด้วยความอดทนรอไม่ไหว
แม้แต่ปีศาจงูแดงเองก็หยุดการเคลื่อนไหว เงยศีรษะใหญ่โตของมันขึ้นสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากหม้อ
‘สหายเฉิน ข้างในคืออะไร?’
“พืชพันธุ์ใหม่ กินแล้วรับรองว่าจะอยากกินอีก”
‘ข้ารอไม่ไหวแล้ว’
เฉินโม่ยิ้มเบา ๆ ขณะที่บนโต๊ะหินขนาดใหญ่มีอาหารอันหลากหลายเรียงรายอยู่เต็มไปหมด แม้แต่เต่าอสูรที่มักจะตะกละที่สุดก็ยังไม่แตะต้องอาหารใด ๆ
ปลาวิญญาณสิบกว่าตัวถูกปรุงด้วยวิธีต่าง ๆ
แต่ในตอนนี้พวกมันกลับไม่สามารถดึงดูดความสนใจได้เท่าหม้อข้าวใบใหญ่หม้อนั้น
ในที่สุด เมื่อเฉินโม่จัดการทุกอย่างเสร็จ เขาก็เดินไปที่หม้อขนาดใหญ่ เปิดฝาออก เผยให้เห็นอาหารที่เหล่าสัตว์อสูรรอคอยกันมาอย่างใจจดใจจ่อ
‘นี่มัน? พลังวิญญาณเข้มข้นมาก! ข้ารู้สึกว่ามันช่วยข้าและชิงเอ๋อในการฝึกตนได้!’
ปีศาจงูแดงดูตื่นเต้นมาก ปีศาจงูเขียวยิ่งควบคุมตัวเองไม่อยู่ ปล่อยแรงกดดันออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“นี่คือข้าววิญญาณลายไม้ระดับสาม ทั้งเมืองเป่ยเยว่ตอนนี้อาจจะหาได้ไม่ถึงร้อยจิน”
เมื่อสิ้นคำ เต่าอสูรก็รีบคลานมาพร้อมน้ำตาน้ำมูก ร่ำไห้ว่า
“นายท่าน นายท่าน โปรดเมตตาข้าน้อยเถิด ให้ข้าได้กินสักคำเถอะ”
เฉินโม่กลอกตาแล้วหยิบชามข้าวออกมาเพื่อเริ่มตักข้าวให้
ข้าววิญญาณลายไม้นั้นไม่เหมือนกับอาหารวิญญาณอื่น ๆ ที่จะให้กินได้ไม่อั้น ในตอนนี้มันต้องถูกแจกจ่ายในปริมาณจำกัดเท่านั้น!
(จบบท)