บทที่ 37
ความสามารถในการช่วยขายของป้าผมแดงนั้นเป็นที่หนึ่งจริงๆ
ภายใต้การนำของเธอ ลูกค้าเก่าก็สั่งทีละสามถึงห้ากิโลกรัมสบายๆ ส่วนลูกค้าใหม่ก็เลือกสั่งทีละหนึ่งถึงสองกิโลกรัมเป็นอย่างน้อย อาจเพราะยังไม่ค่อยมั่นใจ
ดังนั้น เมื่อลูกค้าคนอื่นๆ ที่เห็นข้อความประกาศในกลุ่ม แล้วมาสายกว่าเวลานัดที่ซ่งถานประกาศเพียงหน่อยเดียว จึงพบว่า
"ฉันมาช้าไปแค่ครึ่งชั่วโมง ทำไมผักถึงหมดแล้วล่ะ"
"ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าวันนี้คนไม่ชอบกินยอดดอกถั่วม่วงกันหรอกเหรอ แล้วทำไมถึงยังซื้อกันเยอะแยะจนหมดเกลี้ยงเลยล่ะ"
"ใช่! ฉันลังเลตั้งนานกว่าจะยอมมา ตอนแรกตั้งใจจะซื้อแค่หนึ่งกิโลเพื่อชิมๆ ดูก่อน ถือว่าช่วยอุดหนุนเจ้าของร้าน แต่อะไรมันจะหมดไวขนาดนั้น"
ซ่งถาน : “…”
ในกลุ่มไลน์ ‘ผักป่าชนบท’ ยังมีคนพกคำพูดพิลึกๆ แบบนี้เหลืออยู่อีกเหรอ
เธอรีบเปิดโทรศัพท์ และแน่นอนว่ามีรูปโปรไฟล์ที่คุ้นเคยหลายคนกำลังพูดถึงยอดดอกถั่วม่วง และสาปแช่งต่างๆ นานาว่าไม่เป็นที่นิยมกินกัน สงสัยเหมือนธุรกิจนี้จะไปต่อไม่ไหวแล้ว
แต่พอเปิดดูการรับเงินในไลน์เพย์ ก็มีหลายคนที่สแกนจ่ายไปแล้วกว่าสองร้อยเจ็ดสิบหยวน
ซ่งถาน : ...... โลกนี้มันช่างซับซ้อนจริงๆ ปากก็บอกธุรกิจยอดดอกถั่วม่วงเธอคงไปไม่รอด แต่กลับซื้อและสแกนจ่ายกันเป็นว่าเล่น
ลูกค้าก็รู้ตัวแล้ว ตอนนี้จึงมองตะกร้าที่ว่างเปล่าของเธอด้วยสายตาที่อยากจะร้องไห้ สุดท้ายก็หันไปเห็นจานสลัดดอกถั่วม่วงซึ่งเฉียวเฉียวกำลังถืออยู่ ก็รู้สึกอยากกินขึ้นมาทันที
"นี่อะไร"
ซ่งถานเลยยื่นตะเกียบแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งให้ "นี่ก็คือยอดดอกถั่วม่วงที่ไม่เป็นที่นิยมนั่นแหละค่ะ"
ลูกค้าหลายคนชิมอย่างสงบเสงี่ยมด้วยความรู้สึกผิด น้ำตาก็ไหลออกมาทันที
"ถ้าฉันเผลอเชื่อคำยุของพวกนั้นอีก ฉันจะยอมเป็นหมาเลยคอยดู! "
เฉียวเฉียวตาเป็นประกาย "เห่าๆๆ!!! "
ทุกคนถูกกระตุ้นด้วยคำพูดนี้ จึงรีบขอตะเกียบมาลองคีบดอกถั่วม่วงกินดูบ้าง จากนั้นน้ำตาทุกคนก็ไหลพราก แล้วก็นัดกันภายหลังว่ารอบต่อไปพรุ่งนี้เช้า พวกเขาจะเอาเงินมาซื้อกันเยอะๆ ให้หมดตะกร้าเลยคอยดู ก่อนจะจำใจจากไปอย่างหม่นหมอง
ซ่งถาน : จะยอมเป็นหมาเลยเหรอ ฮ่าฮ่า ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง…
เมื่อทุกคนเดินจากไป ซ่งถานเหลือบมองตะกร้าเล็กที่วางอยู่บนเบาะหลังรถ "ไปกันเถอะเฉียวเฉียว ไปบริษัทขนส่งกัน"
เมื่อกลับถึงบ้าน ซ่งถานนับเงินที่ได้ในวันนี้ พบว่ายอดรวมทั้งหมดได้ประมาณสามพันกว่าหยวน ทั้งๆ ที่วันนี้เธอขายแค่ยอดดอกถั่วม่วงและไม่ได้คิดราคาเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
ส่วนอู่หลานจากที่มึนงง ตอนนี้ก็เริ่มยอมรับแบบเงียบๆ และเตรียมวางแผนสำหรับที่ดินผืนนั้นต่อทันที
"แม่ว่านะ การทำเงินแบบนี้ หนูไม่ต้องไปเลี้ยงวัวเลี้ยงหมูให้วุ่นวายหรอก"
ซ่งถานส่ายหัว "แม่ การปลูกแบบนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อให้ปุ๋ยแก่ที่ดินในไร่ เราไม่ได้เน้นขายผลผลิตที่ได้จากมันนะ ที่ดินผืนนี้ไม่ได้เพาะปลูกมานานหลายปีแล้ว เราต้องปรับปรุงหน้าดินซะหน่อย"
"ที่สำคัญ ต้นถั่วม่วงก็โตเร็ว ที่ดินเยอะขนาดนั้น เราไม่มีทางขายหมดครบทุกแปลงหรอกแม่ เหลืออีกเยอะแยะ"
พูดจบก็เห็นซ่งซานเฉินสะพายจอบเตรียมออกไปข้างนอก เธอเหลือบมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มราวกับฝนจะตก จึงนึกสงสัย "พ่อจะไปไหน"
ซ่งซานเฉินตอบ "จะไปขุดสวนชาน่ะสิ วันนั้นไปบนภูเขามา พ่อเห็นสวนชาของที่ดินเราเริ่มแตกใบอ่อนแล้ว ใบแก่เขียวอี๋เลย กะว่าถ้าฝนยังไม่ตกก็ว่าจะใส่ปุ๋ยไนโตรเจนให้ซะหน่อย"
การใส่ปุ๋ยในสวนชา โดยปกติต้องเลือกใส่ในช่วงก่อนฝนตก ขุดดินตื้นๆ แล้วโรยปุ๋ยลงไป แบบนี้พอฝนตก ก็จะทั้งดูดซึมได้ง่ายและไม่ทำให้ต้นชาไหม้ เขาพูดด้วยท่าทางดูยินดีเล็กน้อย "พ่อว่าปีนี้ที่ของเราคงอุดมสมบูรณ์ ปลูกอะไรก็อร่อย ว่าจะลองเก็บใบชามามากๆ หน่อย ชงกินคงอร่อย"
พอเขาพูดแบบนี้ ซ่งถานก็นึกถึงสวนชาเก่าของที่บ้านทันที เมื่อหลายปีก่อน ใบชานี้ยังขายได้ราคาดี แต่พออินเทอร์เน็ตแพร่หลาย การตลาดก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ใบชาที่ไม่มีตราสินค้าแบบของพวกเขาจึงแทบหาไม่ได้ในตลาด ส่วนใหญ่มีตีตรายี่ห้อแทบทั้งสิ้น ทำให้สวนชาในหลายๆ ไร่ทุกคนจึงปล่อยทิ้งขว้างไม่สนใจไยดี ไม่ได้ดูแลอะไรมากนัก ปลูกก็เพื่อเก็บไว้กินเองก็พอ แต่ถ้าอยากได้เงินจริงๆ ก็ไปทำงานนอกบ้านในช่วงครึ่งปีหลังเอา
แต่กับที่บ้านซ่งถาน เพราะเฉียวเฉียวเป็นแบบนี้ สามีภรรยาจึงสงสารลูกไม่ยอมให้เข้าโรงงานไปหางานทำนอกบ้าน ดังนั้นทั้งปีจึงมีคนอยู่บ้านตลอดไม่เคยขาดช่วง แน่นอน..ก็ทำให้มีเวลาจัดการที่ไร่ที่นาใกล้บ้านมากขึ้นเช่นกัน
ความชื้นในอากาศยิ่งทวีความรุนแรง สายลมโหมพัดกระพือมากขึ้น คาดว่าตอนเย็นต้องมีฝนฤดูใบไม้ผลิแน่ ซ่งถานนึกถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ และรสขมเล็กน้อยของใบชาบ้านเกิด รสชาติที่หวานติดคอ ก็ชวนให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ตอนนี้เธอหันกลับไปหยิบจอบมาอันหนึ่ง "พ่อ เรามาทำด้วยกันเถอะ"
ซ่งซานเฉินตั้งใจจะห้ามลูกสาว "นี่! งานหนักแบบนี้ ผู้หญิงบอบบางตัวเล็กๆ อย่างหนู..."
แต่เมื่อหันกลับไปนึกถึงลูกสาวที่อดทนและขยันของเขาในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ครั้งหนึ่งที่เธอแบกกระบุงใบใหญ่ๆ สองใบโดยไม่รู้สึกเหนื่อย ทำให้เขาเงียบไป
หลังจากคิดดูแล้ว เขาก็เรียกลูกชาย "เฉียวเฉียว ไปกันเถอะ ไปทำไร่กัน! "
เฉียวเฉียววิ่งออกมา "จะปลูกข้าวโพดเหรอ"
สวนชาห่างจากบ้านพอสมควร หากจะไปยังจุดหมายต้องเดินอ้อมไปทางด้านหน้าภูเขา แล้ววนขึ้นเขาไปทางด้านหลัง ก่อนจะปีนไต่ขึ้นไปตามซอกเล็กๆ ของด้านหลังภูเขาอีกรอบ แล้วจึงจะเห็นสวนชาเป็นผืนกว้าง
สวนชานี้ค่อนข้างไกลจากบ้าน ที่นี่เป็นผืนดินใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นของตระกูลซ่งทั้งหมด
ซ่งซานเฉินมองไปที่ใบไม้สีเขียวขจีเหล่านี้แล้วถอนหายใจ "ปีนี้สภาพอากาศดี ฤดูใบไม้ผลิไม่ได้หนาวเย็นมากนัก เมื่อปีที่แล้วช่วงประมาณนี้พ่อจำแม่นว่าจู่ๆ หิมะก็ตก ชาแปดในสิบส่วนของเราพากันแข็งตายหมด" พูดจบก็โบกจอบ เริ่มขุดร่อง
ซ่งถานไม่มีประสบการณ์ในการใส่ปุ๋ย ตอนนี้จึงเลียนแบบทำตามพ่อ และลงมือเริ่มขุด
ระหว่างที่ยกมือขึ้นและก้าวเท้าไปข้างหน้า พลังบางอย่างก็พันอยู่รอบๆ ต้นชาทั้งสองข้างเป็นแถวแนวยาว...ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ราวกับว่าฝนจะตกในไม่ช้า ซ่งซานเฉินมองไปที่ผืนดินกว้างใหญ่ที่เขาขุดตื้นๆ อย่างเหน็ดเหนื่อย แล้วมองสลับกลับไปที่บริเวณที่เฉียวเฉียวกำลังโรยปุ๋ยอย่างระมัดระวัง ทำให้ตกใจ
"ขุดเร็วมาก! " ขุดเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่กันถึงโรยปุ๋ยได้แล้ว!
เดิมทีสวนชาผืนนี้ต้องใช้เวลานานมาก หากรอจนถึงเดือนตุลาคมเพื่อใส่ปุ๋ยรอง ร่องที่ขุดจะต้องลึก เขาคนเดียวต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์กว่าจะเสร็จ แต่ตอนนี้ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษๆ ก็เสร็จไปเป็นผืนใหญ่แล้ว แม้ว่าจะต้องขุดตื้นๆ ไม่ต้องใช้แรงมากนัก แต่ก็ไม่น่าจะได้ประสิทธิภาพสูงขนาดนี้
ชาวนาผู้ช่ำชองด้านทำนามาหลายปีอย่างเขายังอดสงสัยไม่ได้ว่า "ช่วงนี้หนูกินข้าวเยอะ ร่างกายคงแข็งแรงขึ้นล่ะมั้ง ทำไมพ่อรู้สึกว่ายิ่งทำงานกลับยิ่งมีแรง แปลกคน"
ซ่งถานเงียบ แสร้งทำเป็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับพลังลมปราณที่เธอปลดปล่อยออกไป
ซ่งซานเฉินไม่ได้คิดจะจับผิดอะไรเธอเลย แค่อยากเดินไปดูตรงที่เธอขุดเท่านั้นว่างานที่ได้ ผลออกมาเป็นอย่างไรบ้าง แต่กลับต้องประหลาดใจกับฝีมือการขุดที่คล่องแคล่วเกินจะทน
เขายืนอึ้ง!
"โอ้โห! ลูกสาว หนูช่างเป็นคนมีพรสวรรค์ในการทำนาจริงๆ ดูสิ ทั้งเร็วและทั้งดีมากด้วย! สุดยอดอะไรขนาดนี้"
"ไม่น่าเชื่อ ผักของเรานอกจากอร่อยแล้วยังทำให้คนแข็งแรงขึ้นด้วยนะ มิน่าแรงของหนูเพิ่มขึ้นเยอะเลย! เป็นเพราะผักป่าพวกนั้นแน่ๆ "
ขณะที่เฉียวเฉียวหยิบจอบขึ้นตามพี่สาว ขุดร่องไปพลางก็บ่นพึมพำไปพลางกับซ่งซานเฉิน "พ่อไม่เก่งเรื่องทำนา ช้าจังเลย! "
ซ่งซานเฉินก็หัวเราะ "ฉันเก่งเรื่องปลูกข้าวโพดก็พอแล้ว เฉียวเฉียว อย่าตามพี่สาวหนูเลย ไปโรยปุ๋ยเป็นแถวๆ ตรงนู้นนู่นเถอะ"
ช่วงนี้ยุ่งมาก เขาเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อตอนที่สายเกินไป ตอนนี้จึงเลยช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการใส่ปุ๋ยไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ฝนก็ดูเหมือนจะมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงครึ่งวัน ขุดดินก็ไม่ทันแล้ว คงจะได้แต่ขุดเท่าที่ขุดได้ ที่เหลือก็เพียงโรยปุ๋ยลงบนผิวดินไปเลย ซ่งซานเฉินหันไปมองสวนชาแห่งนี้แล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้
"ถ้าเก็บใบชาในสวนสี่ห้าไร่นี้จริงจังตั้งแต่ตอนนั้น ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิก็คงจะเก็บใบชาแห้งได้ร้อยกว่ากิโลกรัมแล้ว แต่ช่วงต้นปีก็มีเรื่องต้องทำเยอะแยะจริงๆ ถึงไม่มีเวลาไปเก็บเลย น่าเสียดายจัง"