บทที่ 9: เราจะไปพบองค์หญิงหก
“...” มู่ไป๋ไป่ถึงกับพูดไม่ออกกับคำแนะนำที่ออกมาจากปากอวี้เซิ่ง
นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร?
ทำไมเขาถึงยอมปล่อยให้อีกฝ่ายทำร้ายเธอ แถมยังช่วยสนับสนุนอีกด้วย
จากนั้นอวี้เซิ่งก็ยื่นกาหยกสีขาวให้กับมู่เชียน และแสงจากภายนอกที่ส่องสะท้อนเข้ามาทำให้กาน้ำชานี้สะท้อนแสงเปล่งปลั่งเป็นสีทอง
“ใช้นี่ทุบนางสิพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าสิ่งนี้ทั้งหนักและแข็ง หากใช้มันตีเข้าใส่หัวโดยตรง มันสามารถทำให้คนที่ถูกตีหัวแบะได้เลย เธอบอกได้เลยว่าถ้าถูกฟาดเข้าจัง ๆ ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
มู่เชียนจับจ้องไปที่กาต้มน้ำสีขาวพลางถามว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ที่กระหม่อมพูดยังไม่ชัดเจนอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่อยากช่วยพระองค์ระบายความโกรธในใจ”
“...” เป็นอีกครั้งที่มู่ไป๋ไป่พูดไม่ออก
นี่เขาคิดจะยืมมือคนอื่นฆ่าเธออย่างนั้นหรือ?
นักฆ่าคนนี้จะต้องมีความแค้นส่วนตัวกับเธอแน่นอน
อวี้เซิ่งที่เห็นสายตาของเจ้าตัวเล็กจ้องมองมาคล้ายจะกินตน เขาจึงยักไหล่เบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ถึงเวลาที่กระหม่อมจะต้องกลับไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว”
เจ้าคนชั่ว รีบไปเลยนะ อย่าอยู่ขวางหูขวางตาฉันที่นี่!
ทางที่ดีก็อย่าได้เจอะได้เจอกันอีกตลอดชีวิตนี้ ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องให้เขาคุกเข่าขอโทษเธอให้จงได้!
ทันใดนั้น น้ำเสียงตั้งคำถามของมู่เชียนก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา “ช้าก่อน ท่านบอกว่าท่านจะต้องกลับไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ?”
แน่นอนว่าความโกรธของเด็กหญิงที่เพิ่งบรรเทาลงก็พุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน
“เสด็จพ่อรับสั่งให้ท่านมาส่งนางที่นี่หรือ? โปรดให้ความกระจ่างแก่ข้าด้วย”
“พระองค์ควรไปถามฝ่าบาทด้วยตนเอง”
อวี้เซิ่งขี้เกียจมาสนใจอารมณ์ขององค์หญิงใหญ่ ก่อนที่เขาจะหันไปมองมู่ไป๋ไป่ที่ยังคงโกรธเขาอยู่
เด็กน้อยวัย 4 ขวบเจ้าอารมณ์ผู้นี้ไม่กักเก็บความรู้สึกของตัวเองเลย ทุกอย่างแทบจะเขียนอยู่บนหน้าของนาง และชายหนุ่มก็สามารถมองทะลุความคิดของนางได้ทะลุปรุโปร่ง
นั่นก็คือนางหลอกใช้เขาเพื่อเสริมบารมีของตน
แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขาไม่จำเป็นต้องตีโพยตีพายจนเป็นเรื่องใหญ่
จากนั้นนักฆ่าหนุ่มก็ก้มศีรษะลงแล้วจงใจพูดเสียงดังว่า “ตอนบ่ายข้าจะกลับมารับเจ้าอีกครั้ง”
“!!!” คำพูดนั้นทำให้องค์หญิงใหญ่เบิกตากว้าง
“!!!” แม้กระทั่งนางกำนัลที่อยู่ในตำหนักก็พากันตื่นตะลึง
แม่เจ้าโว้ย พวกนางเพิ่งได้ยินว่าอะไรนะ?
ตอนบ่ายเขาจะกลับมารับเด็กนั่นอีกครั้งใช่หรือไม่?
เขายังเป็นอวี้เซิ่ง นักฆ่าอันดับ 1 ที่โด่งดังไปทั่วแคว้นเป่ยหลงอยู่หรือไม่?
แต่การกระทำนั้นทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกภาคภูมิใจ ในขณะที่มองดูท่าทางตกตะลึงของผู้คนรอบตัว
ทว่าการที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเจตนาร้ายอย่างแน่นอน
เด็กหญิงจึงตัดสินใจดึงชายเสื้อของเขาแล้วกวักมือให้เขาก้มตัวลงมาใกล้เธอหน่อย
หลังจากที่อวี้เซิ่งก้มตัวลงมา เธอก็กระซิบข้างหูเขาว่า “เสด็จพ่อไม่ได้สั่งให้ท่านมารับข้ากลับสักหน่อย”
ดวงตาของชายหนุ่มสงบนิ่งมากในยามที่เขาตอบกลับว่า “ข้าแค่ล้อเล่นน่ะ ยัยตัวแสบ”
มู่ไป๋ไป่ค้อนตามองเขาทันที “ประสาท!”
ช่วยพูดอะไรดี ๆ หน่อยไม่ได้หรืออย่างไร?
อวี้เซิ่งที่เห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็เม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม จากนั้นจึงเดินออกจากตำหนักองค์หญิงใหญ่ไปโดยไม่หันกลับมาอีก
…
ตำหนักเย่าเจิ้ง
ด้านหลังประตูที่เปิดอยู่ของตำหนักมีฉากกั้นลายมังกรและเสือหมอบ มู่เทียนฉงกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรที่ถูกแกะสลักเป็นรูปมังกร 2 ตัว
ปัจจุบันแสงจากดวงอาทิตย์ที่อบอุ่นกำลังสอดส่องเข้ามาที่รอบกายเขา ทำให้เจ้าตัวเปล่งแสงประกายแวววาวดั่งทองคำ
บนโต๊ะทรงพระอักษรมีฎีกามากมายวางกองอยู่ และมือขวาที่เรียวยาวกำลังถือพู่กันขยับเขียนอย่างลื่นไหล หากมองดูให้ดี ๆ จะสัมผัสได้ถึงรัศมีที่เปล่งประกายออกมาจากตัวเขาซึ่งดูอบอุ่นไปทั่วห้อง
เมื่อฮ่องเต้หนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เขาก็หยุดมือที่จับพู่กันแล้วเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่านางผิดปกติ?”
คำถามนั้นทำให้อวี้เซิ่งชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นเสียงเจื้อยแจ้วของคนตัวเล็กก็ดังขึ้นในหัวของเขาอย่างรวดเร็ว
ข้าสามารถฉี่รดท่านได้… ข้าแค่ล้อท่านเล่น… พี่ใหญ่…
คำพูดที่ออกมาจากปากเล็ก ๆ นั้นเหมือนกับผู้ใหญ่กำลังหยอกเด็กเสียมากกว่า
และต่อมาเพราะนางรู้สึกหวาดกลัวองค์หญิงใหญ่ นางจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อใช้เขาโอ้อวดบารมีของตัวเองต่อหน้าคนอื่น นางไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงกล้าเล่นลูกไม้เช่นนี้?
อวี้เซิ่งขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท องค์หญิงหกดูแปลกไปจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
มู่เทียนฉงก้มหน้าลงเพื่ออ่านฎีกา ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม “แปลกตรงไหนหรือ?”
“นางเริ่มฉลาดขึ้น”
อวี้เซิ่งสรุปออกมาเป็น 4 คำสั้น ๆ
ผู้เป็นฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นสูง ดวงตาฉายแววครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในขณะที่นิ้วชี้แตะเป็นจังหวะลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้มังกร
“ทั้งการกระทำและคำพูดของนางมีแผนการซ่อนอยู่ ไม่ได้โง่เขลาเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป และนางก็ยังสามารถจัดการกับสถานการณ์ของตัวเองได้ฉลาดมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของนักฆ่าหนุ่มไหลซึมเข้าไปในหูของมู่เทียนฉงทีละคำ เขาหลุบตาลงต่ำเล็กน้อย ในระหว่างที่เขาเริ่มสงสัยในตัวเจ้าตัวเล็กนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
อะไรที่ทำให้นางเปลี่ยนจากคนโง่คนหนึ่ง ให้กลายเป็นคนที่ฉลาดขึ้นในชั่วข้ามคืน
แม้ว่านางจะฉลาดขึ้น แต่นางก็ยังคงดูน่ารักน่าชังดังเดิม ทันทีที่เขาเห็นเด็กหญิง ใจของเขาก็ดูเหมือนจะอ่อนลงอย่างอธิบายไม่ได้
“ฝ่าบาท มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่นางฉลาดมากยิ่งขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” ‘อันกงกง’ เองก็รู้สึกชอบองค์หญิงหกในตอนนี้เช่นกัน เขาจึงอดไม่ได้ที่พูดฉอเลาะ
หลังจากที่มู่เทียนฉงอ่านฎีกามาตลอดทั้งเช้า เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าจึงยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วเบา ๆ
จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นพร้อมกับพูดอย่างใจเย็นว่า “เราจะไปตำหนักองค์หญิงใหญ่ เราอยากไปพบองค์หญิงหก”
…
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง เมื่ออวี้เซิ่งเดินจากไป นิสัยที่แท้จริงของมู่เชียนก็ถูกเปิดเผยออกมา
พอไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย นางจึงหันไปเล่นงานมู่ไป๋ไป่ทันที
ดวงตาของมู่เชียนที่เคยไร้เดียงสาบัดนี้ฉายแววชั่วร้าย “นังเด็กเหลือขอ เจ้าคุกเข่าคำนับข้า 3 ครั้งสิ แล้วข้าจะลืมเรื่องที่เจ้ามาสายในวันนี้”
มู่ไป๋ไป่เม้มริมฝีปากแน่น แต่ก็ยังยืนนิ่งไม่ยอมขยับ
“หูหนวกหรืออย่างไร! พระองค์ไม่ได้ยินที่องค์หญิงใหญ่ของเรากล่าวอย่างนั้นหรือ?”
นางกำนัลที่กำลังพัดให้มู่เชียนอยู่ด้านข้างตะคอกเสียงสูงทันทีเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงยังคงนิ่งเฉยไม่ทำตามคำพูดของผู้เป็นนาย
“องค์หญิงใหญ่ของเราเมตตามากเพียงใดที่อนุญาตให้คนชั้นต่ำเช่นพระองค์คำนับเป็นการลงโทษ”
“องค์หญิงหก ในสายตาขององค์หญิงใหญ่ของเรา พระองค์เป็นเพียงมดปลวก เพียงแค่ขยี้เบา ๆ ก็สามารถกำจัดเหลือบไรอย่างพระองค์ได้โดยง่าย หม่อมฉันขอแนะนำว่าพระองค์อย่าได้ต่อต้านอีกเลย”
“องค์หญิงใหญ่ของเราเมตตาพระองค์ถึงเพียงนี้ พระองค์อย่าได้คิดเนรคุณทำให้องค์หญิงใหญ่ต้องไม่พอใจ ทางเลือกนี้มันดีที่สุดสำหรับพระองค์แล้ว!”
“นางเป็นเพียงแค่คนโง่เขลาคนหนึ่ง จะไปเข้าใจอะไร องค์หญิงใหญ่เพคะ หม่อมฉันคิดว่าเราควรฟาดนางให้สลบแล้วเอาร่างของนางไปโยนให้เป็นอาหารหมาป่ากันเถิดเพคะ”
“หม่อมฉันเห็นด้วยเพคะ หากองค์หญิงโง่เขลาคนหนึ่งตายไป ฝ่าบาทคงไม่ตำหนิองค์หญิงใหญ่ของเราอย่างแน่นอน บางทีพระองค์อาจไม่สนพระทัยด้วยซ้ำ”
นางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่ยังคงสนทนาต่อกันไปเรื่อย ๆ ด้วยคำพูดที่คอยเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของมู่ไป๋ไป่จมดิน
ในทางกลับกัน คำพูดเยินยอเหล่านี้ทำให้มู่เชียนรู้สึกมีความสุขมาก
มู่ไป๋ไป่ยังคงยืนอยู่คนเดียวในตำหนักองค์หญิงใหญ่ ผู้คนที่อยู่รอบข้างเธอเป็นเหมือนเสือสิงห์กระทิงแรดที่คอยจับจ้องลูกแกะตัวน้อย ดวงตาของพวกนางลุกวาว พร้อมกับแสดงท่าทีที่พร้อมจะพุ่งเข้ามารุมทึ้งกัดกินเธอลงท้องไปได้ทุกเมื่อ
ขณะนี้องค์หญิงใหญ่ยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจ จากนั้นดวงตาของนางก็เลื่อนมามองเด็กหญิงร่างเล็กในวัย 4 ขวบ
“องค์หญิงหก ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะคุกเข่าหรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นสบตากับมู่เชียนทันที แต่คราวนี้ท่าทางของเธอไม่ได้หวาดกลัวเหมือนแต่ก่อน
ตรงกันข้าม นัยน์ตาที่ชัดเจนคู่นั้นเต็มไปด้วยความดื้อรั้น
“ข้าจะไม่มีวันคุกเข่าให้ท่าน!”
ทุกคำพูดที่เปล่งออกมานั้นชัดเจนแน่วแน่
“นังสารเลว ในเมื่อพูดดี ๆ ไม่ชอบ ก็อย่ามาหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน!” มู่เชียนตบโต๊ะเสียงดังจนทำให้จานผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะลอยขึ้นและตกกระจัดกระจายไปทั่วพื้น
“ใครก็ได้ จับนังนี่คุกเข่าลง!”
ท่าทีโกรธเกรี้ยวขององค์หญิงใหญ่ทำให้มู่ไป๋ไป่หัวใจเต้นผิดจังหวะ
เมื่อได้ยินคำสั่ง นางกำนัล 4-5 คนที่อยู่ข้างกายมู่เชียนก็พากันกรูเข้าไปหาเด็กหญิง โดยที่แต่ละคนดึงแขนและบังคับให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงกับพื้น
ถึงกระนั้น มู่ไป๋ไป่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอพยายามเกร็งหัวเข่าเอาไว้แน่น ในขณะที่นางกำนัลพยายามออกแรงกดเธอลงกับพื้น
แกร๊ก!
หลังจากได้ยินเสียงกระดูกลั่น ความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาในสมองของเด็กหญิง เธอรู้สึกเหมือนกับว่าขาของตัวเองถูกตีด้วยค้อน และความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ