บทที่ 8: แค่ล้อเล่น
“เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวพาองค์หญิงหกไปส่งก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากอวี้เซิ่งพูดจบ เขาก็ย่อตัวลงเพื่อรอให้องค์หญิงหกขึ้นมาบนหลังของเขา
ขณะนี้มือเล็ก ๆ ของมู่ไป๋ไป่จับไปที่หลังของร่างสูงก่อนจะปีนขึ้นไปขี่หลังของอีกฝ่าย
ตอนนี้ท่านพ่อผู้อารมณ์ร้ายของเธอเป็นคนเอ่ยปากสั่งให้คนของตนไปส่งเธอให้ถึงที่หมาย ดังนั้นอวี้เซิ่งจะต้องรับผิดชอบทำตามหน้าที่อย่างเต็มที่ ตราบใดที่เธอไม่ได้ล่วงเกินเขาจนถึงขั้นทำให้เขาทนไม่ไหว นักฆ่าอย่างเขาจะไม่สามารถทำอะไรเธอได้อย่างแน่นอน
ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง!
หลังจากที่เด็กหญิงปีนขึ้นไปบนหลังของอวี้เซิ่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็จับนางไว้ให้อยู่บนหลังอย่างมั่นคง ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังตำหนักขององค์หญิงใหญ่
นอกจากมู่ไป๋ไป่แล้ว ชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหล่าผู้นี้ไม่เคยให้ใครขี่หลังมาก่อนเลย มันจึงทำให้เด็กน้อยหัวสั่นหัวคลอนอยู่บนหลังของอีกฝ่าย
ในขณะที่เด็กหญิงกำลังจะร้องไห้เพื่อเป็นการเรียกร้องให้อีกฝ่ายหันมาสนใจ เธอก็บังเอิญเหลือบไปเห็นรอยแผลเป็นยาวที่หลังคอของเขา แล้วจู่ ๆ อากาศรอบตัวเธอก็เหมือนจะเย็นลงอย่างกะทันหัน
“พี่ใหญ่ แผลเป็นของท่าน…”
พี่ใหญ่?
อวี้เซิ่งถึงกับชะงักฝีเท้า ก่อนจะแค่นเสียงเย็น “ถ้าเจ้าคิดคำพูดดี ๆ ไม่ได้ ก็อย่าได้พูดออกมาจะดีกว่า”
ทว่ามู่ไป๋ไป่ไม่ได้รู้สึกกลัวอีกฝ่ายเลย แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาว่า “ข้าแค่อยากจะถามท่านว่ามันเจ็บมากหรือไม่ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย”
“เด็กอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
อวี้เซิ่งรู้สึกขบขัน นักฆ่าหมายเลข 1 ของมู่เทียนฉงเช่นเขามีทักษะการต่อสู้ที่ไม่มีใครเทียบได้ในใต้หล้า แล้วเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างนางจะทำอะไรเขาได้กัน
มู่ไป๋ไป่ลูบคางตัวเองพลางครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าสามารถฉี่รดท่านได้นะ”
“...” คำตอบที่ได้รับทำให้ชายหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก
แล้วรอยยิ้มโง่ ๆ บนใบหน้าของเจ้าตัวเล็กก็ไม่เหมือนเป็นการประชดประชันเลยสักนิด
นั่นทำให้อวี้เซิ่งชะงักค้างไปอีกครั้ง ตัวเขานั้นเป็นถึงนักฆ่าอันดับ 1 ในยามที่ใครมองเห็นเขา คนผู้นั้นจะทำเหมือนกับว่าตัวเองเห็นยมทูตที่พร้อมจะพรากชีวิตของพวกเขาไปได้ทุกเมื่อ
แต่ตอนนี้เขากลับถูกเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกลั่นแกล้งอย่างนั้นหรือ?
นี่เขาป่วยถึงขั้นทะเลาะกับเด็ก 4 ขวบแล้วหรือ!
แต่เป็นนังหนูคนนี้ต่างหากที่ไร้หัวใจ!
และยังคิดจะฉี่รดเขาอีก
ถ้าฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยปากสั่งให้เขามาส่งมู่ไป๋ไป่ที่นี่ เขาคงจะโยนนางลงแม่น้ำปล่อยให้นางจมน้ำตายไปนานแล้ว!
มู่ไป๋ไป่ที่เห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็หัวเราะท้องขัดท้องแข็งไม่หยุด จากนั้นเธอก็โน้มตัวเข้าไปใกล้และเห็นใบหน้าของอวี้เซิ่งกำลังพยายามระงับความโกรธเอาไว้สุดชีวิต เธอจึงเงียบลงไปครู่หนึ่ง
เพราะถ้าหากเธอกล้าหัวเราะต่อไปละก็ เจ้าก้อนน้ำแข็งนี้คงจะกินเธอทั้งเป็น
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ใช่คนประเภทที่ฉี่ไม่เลือกที่” มู่ไป๋ไป่ตบหน้าอกตัวเองเป็นการให้ความมั่นใจแก่อีกฝ่าย “ข้าแค่ล้อท่านเล่นน่ะ”
ล้อข้าเล่นหรือ?
ตัวเขานั้นฆ่าคนไปมากกว่าที่นางจะคาดถึงเสียอีก แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นี่กลับกล้าล้อเล่นกับเขาอย่างนั้นหรือ?
ดูเหมือนว่าชื่อเสียงที่สั่งสมมาตลอดจะไม่นับเป็นอะไรในสายตาของเจ้าตัวเล็กวัย 4 ขวบคนนี้ นั่นทำให้ความโกรธยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
ตอนนี้ข้าจะบีบคอนางไม่ได้เด็ดขาด!
อวี้เซิ่งพยายามท่องประโยคนี้ในหัวซ้ำ ๆ
“หุบปาก!”
แล้วความขุ่นเคืองทั้งหมดในใจก็กลั่นออกมาเป็นคำพูดเพียง 2 คำ
พอมู่ไป๋ไป่ได้ยินคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยโทสะ เธอจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง พร้อมกับตอบรับด้วยน้ำเสียงอู้อี้ที่เล็ดลอดออกมาระหว่างช่องว่างของนิ้วเล็ก ๆ
“อ้าอุดอู้ดแอ๊ว (ข้าหยุดพูดแล้ว)”
อวี้เซิ่งแค่นเสียงเย็นชาในลำคอว่า “ถ้าเจ้าส่งเสียงออกมาอีกละก็… ข้าจะฆ่าเจ้าแล้วโยนให้สุนัขกินซะ!”
“...” เด็กน้อยไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง ๆ ด้วยซ้ำ
ปัจจุบันมู่ไป๋ไป่กำลังขี่อยู่บนหลังของชายคนหนึ่งที่ต้องการจะฆ่าตนและโยนให้สุนัขกิน มันทำให้เธอยิ่งรู้สึกว่าสถานการณ์นี้อันตรายถึงชีวิต
แม้ว่าเขาจะมาส่งเธอตามพระบัญชาของฮ่องเต้ แต่ชายคนนี้ก็เป็นนักฆ่าที่ไร้ความรู้สึกคนหนึ่ง หากเขาขาดสติขึ้นมา เธอก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง
“หยุดแล้ว หยุดแล้ว…”
ตอนนี้การรักษาชีวิตเอาไว้เป็นเรื่องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ดูเหมือนว่าการที่อวี้เซิ่งจะแบกใครสักคนไว้บนหลังแล้วเดินทางไกลนั้นจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ในเวลาเพียงไม่นาน เขาก็เดินมาถึงประตูตำหนักขององค์หญิงใหญ่แล้ว
หลังจากที่ชายหนุ่มวางคนที่เกาะอยู่ด้านหลังลง มู่ไป๋ไป่ก็เหลือบมองขายาว ๆ ของคนตรงหน้า ก่อนจะก้มมองขาป้อมสั้นของตัวเองสลับไปมา
สั้นชะมัด สั้นจริง ๆ เลยแฮะ
ขาของอวี้เซิ่งเหมือนต้นไผ่ที่สูงชะลูด ในขณะที่ขาของตัวเธอนั้นเหมือนหน่อไม้ที่แตกออกมาจากพื้นดินใหม่ ๆ ในฤดูหนาว
และเนื่องจากเพศสภาพประกอบกับอะไรหลาย ๆ อย่าง เธอคิดว่าตอนที่ตัวเองโตขึ้น เธอคงจะสูงได้มากสุดเพียง 150 ซม.เท่านั้น
ทั้ง ๆ ที่พ่อของเจ้าของร่างนี้ก็ตัวสูงเหมือนกัน แต่ทำไมยีนเด่นถึงไม่สืบทอดมาถึงลูกเลยล่ะ?
“องค์หญิงหก เชิญเข้าไปด้านในเองเถอะ”
อวี้เซิ่งทำหน้าเย็นชาและหันหลังเดินออกไปหลังจากกล่าวจบ
มู่ไป๋ไป่ที่เห็นเช่นนั้นก็ทำหน้างุนงง
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
นักฆ่าอันดับ 1 เดินมาส่งเธอโดยการแบกเอาไว้บนหลัง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในสายตาของคนอื่นหรอกหรือ ถึงอย่างไรสถานะของเธอตอนนี้ก็ไม่ได้ต่ำต้อยขนาดนั้น
“ไม่สิ ท่านจะต้องส่งข้าเข้าไปด้านใน” ยามนี้น้ำเสียงของเด็กหญิงฟังดูเด็ดเดี่ยวมาก
“ข้าไม่ไป”
อวี้เซิ่งไม่แม้แต่จะชายตามองเด็กน้อยด้วยซ้ำ เขายังคงก้าวเดินออกไปในทิศทางตรงกันข้าม
มู่ไป๋ไป่ที่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งไปกางแขนขวางคนตัวสูงกว่า ในขณะที่ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเว้าวอน
“ขอร้องท่านล่ะ น้าาา~ นะพี่ใหญ่”
“...” ชายหนุ่มยังคงยืนเงียบ ๆ
เจ้าตัวเล็กนี่กำลังทำอะไรอยู่? นางพยายามเสแสร้งหรือกำลังออดอ้อนเขาอยู่อย่างนั้นหรือ?
แล้วอีกอย่าง ช่วยเลิกเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ได้หรือไม่?
นางเป็นถึงองค์หญิง นางจะไปซี้ซั้วเรียกคนอื่นว่าพี่ใหญ่เช่นนี้ไม่ได้ มันไม่เหมาะสม การทำแบบนี้เขาจะไม่กลายเป็นลูกชายของมู่เทียนฉงหรอกหรือ?
ใครจะไปอยากเป็นลูกชายของฮ่องเต้คนนั้นกัน
พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าอวี้เซิ่งเอาแต่นิ่งเงียบ เธอจึงรีบยื่นข้อเสนอออกไปว่า “พี่ใหญ่ หากท่านยอมส่งข้าเข้าไปด้านใน ข้าจะช่วยพูดถึงท่านดี ๆ ต่อหน้าท่านพ่อ และข้าจะไม่มีวันลืมที่จะคอยส่งเสริมท่าน”
“...” ฝ่ายที่ได้ยินยังคงยืนเงียบ
แต่คราวนี้คิ้วรูปกระบี่ที่งดงามของเขากำลังขมวดเข้าหากันแน่น แล้วสายตาคมดุก็มองเจ้าตัวเล็กตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
จากสารรูปของเด็กผู้หญิงคนนี้ นางยังเอาตัวเองแทบไม่รอด นี่นางฝันกลางวันอยู่หรืออย่างไร
แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าจะคอยส่งเสริมเขาอีก นักฆ่าหมายเลข 1 ที่ผู้คนต่างยำเกรงเช่นเขานั้นจำเป็นจะต้องประจบสอพลอเพื่อให้ได้รับตำแหน่งอีกหรือ?
นังหนูคนนี้ช่างน่าทึ่งเสียจริง
แล้วชายหนุ่มก็แค่นเสียงเยาะเย้ยในลำคอ “เอาเถอะ เชิญ”
ชายหนุ่มเพียงอยากจะรู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ต้องการจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่
“ไชโย!” มู่ไป๋ไป่กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขพลางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ว่า “ดูท่าแม้แต่นักฆ่าอันดับ 1 ก็ยังยอมอ่อนลงเพื่อแลกกับอำนาจ”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” อวี้เซิ่งถามขณะจับจ้องไปที่เด็กน้อยตรงหน้า
“ไม่มีอะไร ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย พี่ใหญ่ ท่านหูฝาดไปหรือไม่?”
ปากเล็ก ๆ รีบอธิบายด้วยความตื่นตระหนกเพราะกลัวว่าการกระทำที่เลินเล่อจะทำให้ตัวเองต้องเสียใจไปตลอดกาล
“เลิกเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ได้แล้ว”
อวี้เซิ่งเดินผ่านเด็กหญิงและก้าวเข้าไปในประตูตำหนักขององค์หญิงใหญ่
“ทำไมจะเรียกไม่ได้ล่ะ?”
มู่ไป๋ไป่ยังคงมีสีหน้าสงสัยแล้วรีบคว้าชายเสื้อของอีกคนขณะที่เดินตามเขาเข้าไป
เนื่องจากการถูกคว้าจับชายเสื้ออย่างกะทันหันจึงทำให้ดวงตาของอวี้เซิ่งมืดลง
จังหวะที่เขากำลังจะสะบัดมือเล็กออก เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความประหลาดใจ
“ว้ายยย! องค์หญิงใหญ่! คุณชายอวี้เซิ่งมาแล้ว! และเขายังพา… แม่เจ้า!!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกล่องเครื่องประดับถูกปิดเสียงดัง ตามด้วยฝีเท้าที่ฟังดูเร่งรีบ
เมื่อมองไปที่ตำหนักขององค์หญิงใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างงดงาม ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนก็ปรากฏตัวออกมาที่บานประตู ขณะที่ดวงตาซึ่งดูอ่อนโยนและไร้เดียงสาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องไปยังชายผู้มาเยือน
มู่เชียนมองเมินมู่ไป๋ไป่แล้ววิ่งไปหาอวี้เซิ่ง นางช้อนตามองไปที่อีกฝ่ายแล้วถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “อวี้เซิ่ง เสด็จพ่อเรียกหาข้าอย่างนั้นหรือ?”
ดวงตาของอวี้เซิ่งเย็นชาเหมือนปกติและเขาก็ก้าวไปด้านข้างอย่างสงบ “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมาที่นี่เพื่อพาองค์หญิงหกมาส่ง”
มาส่งองค์หญิงหกอย่างนั้นหรือ?
มู่เชียนเพิ่งรับรู้ถึงการมีตัวตนของมู่ไป๋ไป่
พลันใบหน้าที่เคยสดใสจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาและแฝงไปด้วยความโกรธ
“นี่เจ้า! นังเด็กไม่ได้ความ เจ้ายังจำได้ด้วยหรือว่าต้องมาที่นี่ แหกตาดูเสียบ้างว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว นี่เจ้ากำลังหมิ่นเกียรติองค์หญิงเช่นข้าอย่างนั้นหรือ?”
มู่เชียนแปลงร่างกลายเป็นเหมือนเสือที่กำลังคำราม แล้วนางก็เอาความโกรธทั้งหมดไปลงที่เด็กหญิง
มู่ไป๋ไป่หดหัวพร้อมกับห่อไหล่ลงทันที พี่สาวคนนี้ร้ายยิ่งกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้เสียอีก
องค์หญิงใหญ่ยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่าย นางจึงหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะข้าง ๆ ขึ้นมา แล้วเงื้อมือขึ้นหมายจะปามันใส่หัวของมู่ไป๋ไป่
อวี้เซิ่งที่เห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “องค์หญิงใหญ่ หากพระองค์คิดจะลงมือก็ควรจะเด็ดขาดกว่านี้ อย่างน้อยก็ควรจะฟาดนางให้ตายในคราวเดียว”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ขำตรงจะฉี่รดนักฆ่า หนูลูก 55555