บทที่ 7: นักฆ่าอันดับ 1
แมวส้มมุดเข้าไปด้านใต้ผ้าห่มแล้วก็ล้มตัวที่นุ่มฟูลงซุกอยู่กับเด็กหญิง
หากเป็นมู่เทียนฉง เขาจะไม่มีวันยอมนอนกอดมัน ถ้ามันแอบปีนขึ้นไปบนเตียงของฮ่องเต้ มันก็จะถูกอีกฝ่ายโยนออกไปทันที
ที่แท้ผ้าห่มขององค์หญิงที่ถูกลืมเลือนคนนี้ก็อุ่นพอ ๆ กับผ้าห่มของฮ่องเต้ และมันยังมีกลิ่นหอมคล้ายกับน้ำนมจากตัวของเด็กตัวเล็ก ๆ คนนี้อีกด้วย นอกจากที่นี่จะมีกลิ่นหอมถูกใจแล้ว ตัวมันยังไม่ต้องมานั่งกังวลด้วยว่าจะถูกโยนออกจากเตียงหรือไม่
แล้วแมว 1 ตัวกับคนอีก 1 คนก็พากันนอนหลับฝันดี
…
ในตอนที่มู่ไป๋ไป่ตื่นขึ้นมา แมวส้มก็กำลังนั่งอยู่ข้างหัวของเธอ พร้อมกับมองเธอด้วยสายตาขุ่นมัว
โอ้โห เจ้าลูกมนุษย์นี่นอนหลับเป็นตายจริง ๆ
ทันทีที่เด็กหญิงลืมตาขึ้น เธอก็เห็นแมวกำลังจ้องเธอตาแทบถลน ภาพนั้นทำให้เธอตกใจมาก เพราะเธอคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกสัตว์ประหลาดกินเสียแล้ว
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” มู่ไป๋ไป่ลุกขึ้นนั่งและถามมันออกไปด้วยความสงสัยโดยที่พยายามขยับให้อยู่ห่างจากมัน
“เอ่อ…” เจ้าแมวพยายามเสตามองไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้เด็กคนนี้รู้ว่ามันแอบย่องมานอนกับอีกฝ่ายเมื่อคืนนี้
มนุษย์จะต้องเป็นทาสไปตลอดกาล!
“เจ้าไม่ได้อยากรู้หรือว่าเมื่อวานข้าไปบังเอิญเห็นอะไรเข้า?”
มู่ไป๋ไป่บิดขี้เกียจพลางมองดูแมวส้มด้วยท่าทีเกียจคร้าน “เล่ามาสิ”
“ลี่เฟยถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดแล้วกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ในตอนนั้นไม่มีใครมาช่วยนางเลย ข้าไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ ข้าเพียงแค่อยากจะเช็ดเท้าที่เปื้อนดินแล้วแอบย่องหนีไป แต่จู่ ๆ เหมือนกับว่านางจะกลายเป็นบ้าไปทันทีที่เห็นข้า นางรีบพุ่งมาจับตัวข้าไว้แล้วก็ตีข้าไม่หยุดเลย”
เด็กน้อยที่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายเล่าก็ลูบคางพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด… แล้วส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดด้วยหรือ? คนที่อยู่ในสภาพแบบนี้จะทำอะไรได้ล่ะ?
หรือว่าลี่เฟยได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่อยากให้ใครรู้ก็เลยแอบทายาด้วยตัวเองหรือไม่?
ทางด้านแมวส้มมองดูท่าทางคิดไม่ตกของเด็กหญิงแล้วพูดสำทับขึ้นมาว่า “นังผู้หญิงน่าเกลียดคนนั้นทำแบบนี้ทุกวัน ข้าจะพาเจ้าไปดูนาง”
มู่ไป๋ไป่ยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่า หากมันเป็นเรื่องที่ทำประจำทุกวัน นอกจากการทายาแล้วคงไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก
“เอาเถอะ ทำตามที่เจ้าว่าแล้วกัน!” เด็กหญิงวัย 4 ขวบครึ่งเห็นด้วยทันที โดยตั้งใจว่าจะค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ของลี่เฟย
จากนั้นแมวส้มตัวอวบอ้วนก็ยกอุ้งเท้าขึ้นมาตบหน้าคนตัวเล็ก
“หลังจากที่ได้รู้เรื่องนี้ เจ้าจะแก้แค้นให้ข้าใช่หรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่ที่ถูกแมวตบก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสายตาดูถูกของมัน เธอก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
เจ้าแมวส้มตัวนี้จะรังแกกันมากเกินไปแล้ว!
แต่พอนึกถึงว่าแมวตัวนี้ได้อาศัยอยู่กับพ่อขี้โมโห เด็กหญิงจึงสงบสติอารมณ์ลงแล้วปล่อยผ่านมันไป
ในอนาคต หากเธอต้องการที่จะเลื่อนตำแหน่งให้ได้รับความโปรดปรานและได้ใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ เธอยังต้องการความช่วยเหลือจากมัน
“ใช่ ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าและช่วยเจ้าสู้นางกลับ”
มู่ไป๋ไป่ดูเหมือนจะฮึกเหิมมากในเวลานี้
หลังจากเจ้าแมวผู้หยิ่งยโสได้รับคำตอบที่น่าพอใจแล้ว มันก็วางอุ้งเท้าลง มันมองเด็กหญิงด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องคัดพระคัมภีร์หรอกหรือ?”
แล้วมู่ไป๋ไป่ก็เหมือนเพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จึงตกใจเบิกตากว้าง “ทำไมเจ้าไม่รีบบอกข้าตั้งแต่ก่อนหน้านี้?!”
จากนั้นเธอก็กระโดดลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเธอมองดูพระอาทิตย์ที่ลอยขึ้นสูง 1 ใน 3 ของท้องฟ้าแล้ว หัวใจดวงน้อย ๆ ก็เต้นรัวยิ่งกว่ากลองศึก
แย่แล้ว ๆ นี่ก็สายมากแล้ว มู่เชียนจะต้องฆ่าฉันแน่ ๆ!
หากเธอเข้าเรียนสายจริง ๆ ในตอนนั้นมันคงยากที่จะตอบโต้อีกฝ่ายได้
พอคิดได้เช่นนั้น เด็กหญิงก็สวมชุดกระโปรงเก่า ๆ ของตัวเอง ถักผมเปีย 2 ข้างแบบลวก ๆ แล้วสวมรองเท้าวิ่งออกไปจากตำหนัก
ตำหนักที่ทรุดโทรมของเธอนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากตำหนักขององค์หญิงใหญ่ที่ใหญ่โตงดงามสมฐานะมาก
เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอคิดเพียงแค่อยากจะไปถึงให้เร็วที่สุดจึงวิ่งออกไปโดยไม่คิดชีวิต หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เธอก็รู้สึกเหมือนว่าขาของตัวเองแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่เร็วเท่าใจนึกอยู่ดี
ขาคู่นี้มันสั้นเกินไปจริง ๆ!
ช่างเถอะ ยังไงซะฉันก็ไปถึงไม่ทันเวลาแน่นอน เพราะงั้นฉันควรหยุดวิ่งแล้วค่อย ๆ เดินไปเพื่อไม่ให้ร่างกายเล็ก ๆ นี้ต้องเหนื่อยล้า
เก็บแรงเอาไว้สู้กับมู่เชียนทีหลังดีกว่า
ความสุขเริ่มต้นกับสิ่งง่าย ๆ!
ในเวลานี้ที่บริเวณเท้าของเด็กหญิงมีมดกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเรียงแถวกันไปอย่างเป็นระเบียบ
เธอจึงหยิบก้อนกรวดขึ้นมาวางขวางเส้นทางของมดเอาไว้…
“ฮิฮิ เจ้าพวกโง่ รีบเดินเข้าสิ”
ในขณะที่พูดคนตัวเล็กก็ดูเหมือนจะพึงพอใจอย่างมาก
“ฮ่องเต้เสด็จ~”
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ด้านหลังของเด็กน้อยที่อยู่ภายใต้ร่มเงาก็มีเสียงประกาศดังขึ้น
มู่ไป๋ไป่ตกใจมากจนหัวใจกระตุกวูบ และใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอก็ซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
แล้วเธอก็ค่อย ๆ หันกลับไปมองด้านหลังช้า ๆ ก่อนที่ร่างสูงจะปรากฏเข้ามาในสายตาของเธอ
ชายผู้นี้แต่งกายด้วยชุดสีเหลืองสดใส เขามีสายตาเย็นชา ดวงตาที่ล้ำลึกดูทรงพลังและหนาวเหน็บในเวลาเดียวกัน ขณะนี้มือทั้งสองข้างของเขาไพล่อยู่ด้านหลัง
“เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
มู่เทียนฉงเริ่มเปิดปากถามก่อนเป็นคนแรก แม้แต่เสียงที่นุ่มทุ้มก็ยังบ่งบอกถึงความเย็นชาของคนผู้นี้
ขณะนี้ถึงแม้ว่าเปลือกตาของมู่ไป๋ไป่จะหรี่ลงเล็กน้อย แต่ทุกคนก็ยังมองเห็นความตื่นตระหนกจากภายในได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่เด็กหญิงตัวเล็กจะพูดเสียงตะกุกตะกักว่า “ดะ-ดู… ดูมดกำลังเดินเพคะ…”
พ่อคนนี้มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง พอเธอคิดอยากจะปล่อยตัวตามสบาย จู่ ๆ พ่อผู้อารมณ์ร้ายก็โผล่มาเสียอย่างนั้น
“ดูมดเดินเช่นนั้นหรือ?”
นางว่างมากขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร?
มู่เทียนฉงหรี่ตาลงทันทีพร้อมกับสีหน้าที่ถมึงทึงขึ้น
เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะโกรธ เธอก็ตื่นตระหนกรีบพูดออกไปว่า “ท่านพ่อ หม่อมฉันขอโทษ หม่อมฉันผิดไปแล้ว”
“ทำไมในเวลานี้เจ้าถึงยังไม่ไปสำนักศึกษาอีก?”
ดวงตาของมู่ไป๋ไป่แสดงถึงอารมณ์ที่หลากหลายหลังจากที่ได้ยินคำถาม จากนั้นเธอก็ก้มลงมองขาสั้น ๆ ของตัวเองแล้วเงยหน้ามองถนนทอดยาวที่ช่างดูห่างไกลยิ่งนัก
เธอพยายามที่จะระบายความคับข้องใจออกมาเป็นคำพูด แต่ก็สรรหาถ้อยคำดี ๆ ไม่ได้สักคำ
ดังนั้นดวงตากลมโตจึงเริ่มสั่นไหวด้วยความรู้สึกผิด ในขณะที่เธอกล่าวว่า “ขาของหม่อมฉันสั้นเกินไป หม่อมฉันใช้เวลาเดินกว่าครึ่งชั่วยามแต่ก็มาได้ถึงแค่ที่นี่”
หลังจากสิ้นเสียงพูดของเจ้าตัวเล็ก ทุกคนก็ก้มหน้ามองขาที่ป้อมสั้นขององค์หญิงหกทันที
อืม… มันสั้นมากจริง ๆ ด้วย สั้นพอ ๆ กับฟักเขียวเตี้ยเลย
คำพูดนี้ทำให้มู่เทียนฉงรู้สึกสะเทือนใจอยู่พักหนึ่ง
เด็กน้อยอายุเพียง 4 ขวบครึ่ง แขนขาของนางไม่ได้ยาวเท่ากับของผู้ใหญ่ แต่เขากลับสั่งให้นางต้องเดินทางไกลขนาดนั้น แล้วเขายังจะมาโมโหนางแค่เรื่องที่ว่านางเดินไปไม่ถึงที่หมายอย่างนั้นหรือ?
นั่นทำให้ผู้เป็นฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่น เพราะเขาเพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าต้องพยายามควบคุมอารมณ์ที่รุนแรงของตัวเองเอาไว้ให้ดี
“อวี้เซิ่ง ส่งนางไปที่ตำหนักองค์หญิงใหญ่แล้วค่อยกลับมาพบเรา”
ทันทีที่ฮ่องเต้รับสั่ง ขันทีทุกคนที่เดินตามมาก็มองหน้ากันด้วยความตกใจและอ้าปากค้าง
‘อวี้เซิ่ง’ คือใครน่ะหรือ? เขาเป็นถึงนักฆ่าอันดับ 1 ในแคว้นเป่ยหลง ซึ่งเป็นมือขวาของฮ่องเต้ และตัวเขารับคำสั่งจากฮ่องเต้เพียงผู้เดียวเท่านั้น แม้แต่องค์หญิงใหญ่ที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดก็ยังต้องให้เกียรติเขา
แต่ตอนนี้ฮ่องเต้กลับมีรับสั่งให้เขาไปส่งองค์หญิงหกผู้ต่ำต้อยอย่างนั้นหรือ?
แล้วทุกคนก็หันไปมององค์หญิงหกผู้ที่ไม่เคยได้รับความโปรดปรานกันเป็นตาเดียว
มู่ไป๋ไป่เองก็รู้ว่าอวี้เซิ่งคือใคร
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ชายผู้นี้ถือได้ว่าเป็นนักฆ่าอันดับ 1 ในแคว้นเป่ยหลง
เขาขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ปกปิดตัวตนและลอบสังหารได้เก่งกาจยิ่งนัก แถมในยามปกติเขายังฆ่าคนโดยที่ไม่ทิ้งรอยเลือดไว้ด้วยซ้ำ
หากเขาต้องการฆ่าใครสักคน วิญญาณของคนคนนั้นก็พร้อมที่จะหลุดออกจากร่างได้ในพริบตา
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะเป็นนักฆ่าหรือองครักษ์ วิธีการลงมือของเขาก็คือการโจมตีเป้าหมายอย่างใจเย็น
ในยามนี้มู่ไป๋ไป่นั้นกลับรู้สึกดีใจที่ตัวเองไม่โดนดุ แถมยังได้รางวัลเป็นพี่ชายสุดหล่อพาไปส่งถึงที่อีก
“ขอบคุณท่านพ่อที่เมตตา”
ริมฝีปากสีชมพูน้อย ๆ เอ่ยปากพูดเสียงเจื้อยแจ้วฟังดูไพเราะ
เมื่อมู่เทียนฉงได้ยินคำขอบคุณที่แฝงไปด้วยการออดอ้อนนี้ เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเขานั้นเหมือนจะละลายลงไปกองกับพื้น
เขาลดสายตาลงแล้วจ้องไปที่ร่างของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ พร้อมกับความรู้สึกอยากจะไปส่งนางด้วยตัวเอง
ในเวลาเดียวกัน ร่างสูงใหญ่และแข็งแรงของอวี้เซิ่งก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อปฏิบัติตามรับสั่งของฝ่าบาท