บทที่ 6: แมวย่าง
ในฐานะแมวทรงเลี้ยง มันได้กลิ่นปลา เนื้อ และอาหารอันโอชะมากมายทุกวัน บางครั้งฮ่องเต้ทรงเมตตาป้อนอาหารให้มันด้วยซ้ำ ชีวิตของมันได้อยู่อย่างสุขสบายยิ่งกว่าเหล่าพระสนมในวังเสียอีก
ตัวตนของมันนั้นล้ำค่ายิ่งกว่าที่ใครจะจินตนาการได้
มันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีวันถูกทำร้ายอย่างน่าอนาถเช่นนี้
“เป็นลี่เฟยที่ลงมือกับข้า”
แมวส้มกัดฟันพูดด้วยความเกลียดชัง
คอยดูเถอะ แมวส้มตัวนี้จะแก้แค้นให้จงได้!
“อะไรนะ ลี่เฟยอย่างนั้นหรือ?”
มู่ไป๋ไป่ตกใจจนอ้าปากค้าง
ลี่เฟยอาจหาญถึงขั้นทำร้ายสัตว์เลี้ยงของมู่เทียนฉงเลยหรือ?
พ่อที่หน้าตาบูดบึ้งของเธอเป็นคนที่ยากจะคาดเดา อาจเป็นไปได้ว่าลี่เฟยมีความแค้นบางอย่างกับเขา
ในเมื่อตัวลี่เฟยไม่สามารถทำอะไรกับฮ่องเต้ได้ นางจึงย้ายความโกรธทั้งหมดไปลงกับสัตว์เลี้ยงแสนรักของเขาแทน
แต่ในความทรงจำของมู่ไป๋ไป่ วังหลังว่างเปล่ามานานนับ 10 ปีตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ในช่วงเวลานี้ ลี่เฟยเป็นเพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งพระสนมเอก ดังนั้นอีกไม่นานนางอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นฮองเฮา
ในวังหลัง สถานะของลี่เฟยนั้นด้อยกว่าคนเพียงคนเดียว และอยู่เหนือคนนับหมื่น ทำไมนางถึงต้องทำร้ายสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ เช่นนี้?
หลังจากที่นางทำร้ายแมวทรงเลี้ยงของฮ่องเต้ นางไม่กลัวว่ามู่เทียนฉงจะเอาคืนบ้างหรือ?
ต่อมา มู่ไป๋ไป่คว้าหลังคอเจ้าแมวมาถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าจำผิดคนหรือไม่?”
ในขณะนี้แมวส้มเกร็งตัวแน่น แล้วมันก็ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“แง้ว!!!”
เด็กหญิงเห็นว่าตนเผลอทำให้แมวเจ็บ เธอจึงรีบปล่อยมือ ทำให้มันร่วงลงบนเตียงทันที
“เฮ้อ…” เจ้าแมวส้มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นมันก็หลุบเปลือกตาลง
ในเวลาเดียวกัน มู่ไป๋ไป่ก็ลูบมือเล็ก ๆ ของตัวเองด้วยความรู้สึกผิด
ก๊อก ๆๆ!
จู่ ๆ ก็มีคนมาเคาะประตู
เป็นขันทีที่เตรียมอาหารอร่อย ๆ จานแล้วจานเล่าเดินเข้ามาในตำหนัก
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่เหลือบมองดูแมวที่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะหยิบผ้าห่มมาคลุมมันเอาไว้ทั้งตัว
“...” เจ้าแมวก็เหมือนจะรู้ความดี มันมอบตัวอยู่ใต้ผ้าห่มโดยไม่ส่งเสียงอะไรออกมา
จากนั้นเด็กหญิงก็เดินไปที่ประตูแล้วเปิดมันออกกว้าง
ขันทีที่เห็นคนตัวเล็กก็ทำหน้าเหมือนกับเห็นบรรพบุรุษจึงรีบพูดว่า “อาหารพวกนี้ยังร้อนอยู่ ข้าน้อยนำมันมาตามที่พระองค์สั่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ไป๋ไป่เหลือบมองอาหารหลาย 10 จานที่วางอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงจะเหนื่อยมากที่ต้องวิ่งไปยกอาหารมากมายมาให้ตนเพียงลำพัง
ซึ่งอาหารเหล่านี้ประกอบไปด้วย ปลาราดพริก, หมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊ว, ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน, ตีนเป็ดพะโล้, น่องไก่กระเทียม และไก่ย่างทั้งตัว
อื้มมม… กลิ่นหอมมาก!
ทันทีที่เธอเปิดประตูออกไป กลิ่นอาหารที่ลอยเข้ามาในจมูกก็ได้ปลุกพยาธิในท้องให้ลุกขึ้นมาประท้วงอีกครั้ง
ก่อนที่เด็กหญิงจะปล่อยให้ขันทียกอาหารเข้ามาวางที่โต๊ะข้างใน เธอก็เหลือบตาไปมองแมวทรงเลี้ยงที่อยู่ใต้ผ้าห่มว่ามีการเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่ พอเห็นว่าปลอดภัยเธอจึงเปิดทางให้ขันทีเข้ามาด้านใน
ไม่นานจานอาหารชวนน้ำลายสอก็ถูกวางเต็มโต๊ะ
“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยขอตัวลา”
หลังจากที่ขันทีได้รับอนุญาตแล้ว เขาก็รีบวิ่งจากไปในเร็วพลันโดยไม่ยอมเสียเวลารั้งอยู่ที่แห่งนี้อีกแม้เพียงเสี้ยวอึดใจ
ถัดมา มู่ไป๋ไป่เดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหาร แล้วอาหารอันโอชะทั้งหลายที่วางอยู่เบื้องหน้าก็ได้แข่งกันส่งกลิ่นหอมเข้ามาในจมูกของเด็กน้อย ขณะที่เธอกำลังหยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมจะคีบอาหารเข้าปาก เธอก็นึกถึงเจ้าตัวเล็กที่อยู่ใต้ผ้าห่ม
ดังนั้นเธอจึงเดินไปดึงผ้าห่มออก ก่อนจะเห็นว่าแมวสีส้มยังคงนอนหลับตาอยู่ที่นั่น
เธอไม่เห็นว่าท้องของมันขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เธอจึงสันนิษฐานว่าแมวตัวนี้ตายไปเสียแล้ว และเหตุการณ์หลังจากนี้คงจะวุ่นวายจนน่าปวดหัว
“นี่.. ไม่สิ… เจ้าแมวน้อย”
มู่ไป๋ไป่ส่งเสียงเรียกมันเบา ๆ ในขณะที่เธอก้มตัวลูบหัวกลม ๆ ของมันเบา ๆ แต่ก็ไม่มีการตอบสนองกลับมาเลย
“เอาเถอะ เจ้าคงจะไม่มีวาสนาได้ร่วมกินข้าวมื้อใหญ่เช่นนี้กับข้า หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ข้าจะขุดหลุมฝังศพให้เจ้าอย่างดี เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว พักผ่อนให้สบายเถอะ เจ้าส้ม”
มู่ไป๋ไป่รำพึงรำพันกับตัวเองเสร็จก็เดินกลับไปที่โต๊ะอาหารด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เธอคว้าซี่โครงกระดูกหมูเปรี้ยวหวานขึ้นมากัดคำใหญ่ แล้วน้ำราดที่ชุ่มฉ่ำอยู่ภายในก็ระเบิดอยู่ภายในปาก
ด้วยความที่ว่าแมวมีประสาทการรับกลิ่นที่ยอดเยี่ยมมาก และเนื่องจากบริเวณใกล้เคียงมีอาหารที่ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นอยู่ในอากาศ กลิ่นพวกนั้นจึงพุ่งเข้าไปในจมูกของเจ้าแมวส้ม
ของกิน?
พอได้กลิ่นอาหารมันก็แทบจะกระโดดออกจากเตียงและรีบวิ่งไปยังต้นตอของกลิ่นก่อนที่มันจะทันได้ลืมตาด้วยซ้ำ
เมื่อครู่นี้ท่าทางของมันดูอ่อนแรงคล้ายกำลังจะตาย แต่ทันทีที่ได้กลิ่นอาหาร มันก็เหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้งพร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ทันตาเห็น
พอแมวส้มเห็นว่าเด็กหญิงนั่งกินข้าวคนเดียวอย่างมีความสุข มันจึงกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ แล้วเลียริมฝีปากก่อนจะสบถออกมาว่า
“เจ้ามนุษย์ต่ำช้า”
กล้าดีอย่างไรถึงกินข้าวคนเดียวโดยไม่ที่ชวนมัน!
“!!!”
ขณะที่เด็กหญิงกำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ก็มีก้อนขนเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า เธอจึงตกใจจนผงะเกือบหงายหลัง
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกตกใจมากแค่ไหน แต่เธอก็ยังได้ยินอีกฝ่ายด่าเธอเต็มสองรูหูอยู่ดี
ช่างเถอะ ๆ ไม่มีคนดี ๆ ที่ไหนมานั่งทะเลาะกับแมวหรอก
หลังจากคิดแบบนั้นแล้ว เด็กหญิงก็ปรับอารมณ์ของตัวเองก่อนจะแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “เจ้ายังไม่ตายหรอกหรือ?”
แมวอ้วนเมินเฉยต่อคำถามของอีกฝ่าย มันหันไปมองดูอาหารบนโต๊ะด้วยดวงตาเป็นประกาย แล้วสุดท้ายสายตาของมันก็ไปหยุดอยู่ที่ไก่ย่างทั้งตัว พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอเสียงดัง จากนั้นมันก็ไม่รอช้าพุ่งเข้าไปกัดคำใหญ่
มู่ไป๋ไป่ที่เห็นท่าทีของแมวส้มจึงรีบถามขึ้นมาว่า “เจ้ากินอาหารเค็ม ๆ ได้ด้วยหรือ?”
มันเป็นความรู้ทั่วไปที่คนรักสัตว์ในปัจจุบันรู้กันดีว่าหากแมวกินเค็มมากเกินไปอาจจะทำให้ไตทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้อายุขัยของมันสั้นลง
แต่เจ้าแมวหรี่ตาลงในขณะที่มันอ้าปากงับไก่ย่าง “ไก่ย่างไม่ใส่เกลือสักหน่อย”
“พูดเพ้อเจ้อ!”
แต่… เพียงแค่ได้กลิ่นของไก่ย่างนั้น เธอก็รู้สึกว่ามันน่าจะอร่อยมาก
แมวตัวนี้ฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าตัวเองกินเค็มมากเกินไปไม่ได้เพราะมันจะทำให้อายุขัยของเจ้าตัวสั้นลง
หลังจากที่มันกินน่องไก่ไปได้ 2 ชิ้น มันก็เริ่มกัดกินเนื้อไก่ส่วนที่เหลือจนแทบจะไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ในเวลาเดียวกัน มู่ไป๋ไป่ก็เหลือบมองแมวส้มที่กำลังจดจ่ออยู่กับการกินจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
“นี่เจ้ายังไม่อิ่มอีกหรือ?”
แมวตัวเท่านี้จะมีกระเพาะหลุมดำจนถึงขั้นยัดไก่ทั้งตัวลงท้องได้อย่างไร?
แต่แมวส้มก็มองเมินเด็กหญิง มันลงไปนั่งบนเก้าอี้เหมือนมนุษย์ เลียอุ้งเท้าเพื่อมาทำความสะอาดริมฝีปากของตัวเอง ก่อนที่มันจะกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง
“เจ้าจะไปแล้วหรือ?”
แมวตัวกลมกลอกตาแล้วหันมาพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าไป เจ้าจะให้ข้านอนรอความตายอยู่ที่นี่หรืออย่างไร?”
ให้ตายเถอะ ตอบแทนกันแบบนี้ได้ยังไง ไอ้เหมียวนี่!
มู่ไป๋ไป่จ้องเขม็งไปที่แมวสีส้มตัวใหญ่… เน้นว่าใหญ่!
“ถ้าเจ้าไม่ยอมบอกข้าว่าเจ้าเห็นอะไร หากหลังจากนี้เจ้าถูกลี่เฟยจับตัวไปอีก ข้าก็คงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
แมวส้มชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวออกไป ในขณะที่มันเริ่มรู้สึกลังเล แล้วจู่ ๆ มันก็ส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ
“ข้าจะไม่มีวันให้พวกนางจับข้าได้อีกแน่!”
“เจ้าแน่ใจหรือ? ครั้งต่อไปนางอาจไม่ใช่แค่ตีเจ้าเพียงอย่างเดียว แต่นางอาจจะจับเจ้าไปย่างกินก็ได้!”
ถูกจับไปทำแมวย่าง?!
เจ้าแมวก้มมองดูตัวเองพร้อมกับความคิดนั้นที่แล่นเข้ามาในหัว
นี่ทำให้มันนึกถึงฉากที่มู่เทียนฉงเคยประจำการในค่ายทหารก่อนหน้านี้ ตอนนั้นมีคนจับหมูป่ามาได้ พวกเขาจึงทำการย่างหมูป่าบนกองไฟ
ข้าจะมีสภาพเหมือนกับหมูป่าตัวนั้นอย่างนั้นหรือ!
เนื่องจากก่อนหน้านี้ตัวมันได้กินอยู่อย่างสุขสบายจนทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นทุกวัน และตอนนี้รูปร่างหน้าตาของมันก็ดูคล้ายกับหมูป่าเล็กน้อย
แล้วฉากที่น่าสยดสยองก็กำลังแล่นอยู่ในหัวเล็ก ๆ ของมัน “บรึ๋ย! น่ากลัวชะมัด!”
มันจะไม่มีวันปล่อยให้สถานะแมวทรงเลี้ยงผู้สูงศักดิ์ของมันต้องถูกลดระดับลงกลายเป็นแมวย่าง!
“เจ้ารอข้าก่อน ข้าจะไปขอยาที่สำนักหมอหลวงแล้วจะกลับมาคุยกับเจ้าอีกครั้ง”
อย่างน้อยหากมีคนคอยสอดส่องดูแลมากขึ้นอีกคนหนึ่ง ตัวมันก็จะมีโอกาสรอดมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่แมวตัวโตพูดจบ มันก็กระโจนออกจากหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เด็กหญิงมองผ่านหน้าต่างเล็ก ๆ ก็จะเห็นว่าเจ้าแมวส้มตัวนั้นกระโดดขึ้นไปบนกำแพงอย่างทุลักทุเล
พอมันไปถึงริมขอบกำแพงของตำหนัก มันก็ค่อย ๆ หายไป
มู่ไป๋ไป่เฝ้ารอคอยแมวส้มอยู่นาน แต่ก็ไม่เห็นมันกลับมาสักที
เด็กหญิงที่รออยู่เพียงลำพังรู้สึกเบื่อหน่ายมาก เธอจึงล้มตัวนอนลงบนเตียงโดยที่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
…
เมื่อยามราตรีมาถึง
แมวตัวหนึ่งยืนอยู่บนชายคาของห้องโถงที่อยู่สูงสุดของวังหลวง ในขณะที่สายตาของมันจับจ้องไปยังของตกแต่งที่ดูงดงามภายใน
ปัจจุบันขาของมันถูกพันด้วยผ้าพันแผลโง่ ๆ ของหมอหลวง มันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าตนไม่อยากกลับไปที่ตำหนักฮ่องเต้
แม้ว่าฮ่องเต้จะสามารถช่วยมันล้างแค้นคนที่ทำร้ายมันได้ แต่หากเขาเห็นสภาพของมันเช่นนี้ เขาจะต้องหัวเราะเยาะที่มันโง่เขลาอย่างแน่นอน
ศักดิ์ศรีของแมวมันค้ำคอ มันจะไม่มีวันให้ใครมาเยาะเย้ยมันได้!
เนื่องจากความคิดดังกล่าว แมวส้มจึงมุ่งหน้าไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับตำหนักฮ่องเต้ โดยที่มันกำลังพุ่งไปทางตำหนักอันหนาวเหน็บของมู่ไป๋ไป่
พอไปถึง เด็กหญิงวัย 4 ขวบครึ่งได้หลับไปแล้ว ใบหน้ากลมมนของเด็กน้อยไม่ได้แสดงพิษสงเหมือนก่อนหน้านี้และลมหายใจก็ผ่อนเข้าออกเบา ๆ ตามจังหวะ
แมวส้มทอดถอนหายใจ “เหมียว~”
ตัวมันเองก็รู้สึกเหนื่อยมากหลังจากที่วิ่งวุ่นมาทั้งวัน ดังนั้นมันจึงตัดสินใจเลือกที่จะหลับใหลอยู่ข้างกายของเด็กหญิง