บทที่ 4: เจ้าพูดว่าอะไรนะ?
เด็กที่ร่างกายผอมแห้งขั้นรุนแรงแบบนี้เกิดจากการอดอาหาร!
“มีให้กินก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังจะมาเลือกกินอีก!” ขันทีที่มาส่งอาหารรู้สึกโกรธมากเมื่อได้ยินคำถามขององค์หญิงหก
“ในวังหลวงแห่งนี้ บุตรชายนั้นจะช่วยให้มารดาได้รับการยกย่อง แม่ของเจ้ามีเพียงบุตรี บางทีอีก 2-3 ปีหลังจากนี้นางอาจจะตกกระป๋องจนถึงขั้นถูกปลดเลยด้วยซ้ำ และไม่รู้ว่าในอนาคตตัวเองนั้นจะเหลือค่าอะไรบ้าง”
นอกจากขันทีไม่กี่คนที่คอยรับใช้ฮ่องเต้โดยตรง ขันทีที่เหลือในวังหลวงนั้นมีสถานะที่ต่ำมาก
ในวันปกติพวกเขามักจะถูกพระสนมหรือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานคอยรังแกต่าง ๆ นานา แต่ตอนนี้แม้แต่เด็กผู้หญิงวัย 4 ขวบไร้ค่าก็ยังกล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเขาอย่างนั้นหรือ?
นางลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าใครที่ยอมเสียเวลาคอยเอาอาหารมาส่งให้นางทุกวัน? ถ้าไม่มีเขาซึ่งคอยส่งอาหารให้ เด็กที่ไม่มีใครเหลียวแลคนนี้คงอดตายไปนานแล้ว!
ยิ่งขันทีคิดถึงเรื่องดังกล่าวมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยความโกรธขันทีจึงรีบก้าวเข้าไปคว้าหมั่นโถวสีขาวก้อนใหญ่ 2 ก้อนซึ่งเป็นอาหารมื้อเย็นของมู่ไป๋ไป่
“โธ่เอ๊ย! ข้านี่มันโชคร้ายยิ่งนัก!”
ก่อนหน้านี้เขาอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อเห็นท่าทีไม่ยอมแพ้ของมู่ไป๋ไป่ เขาก็ยิ่งโมโหมากขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็ยกเท้าขึ้นเหยียบหมั่นโถวจนแบนติดกับพื้น “ถ้าเจ้าอยากกินก็กินเข้าไปทั้ง ๆ แบบนี้แหละ ถ้าไม่อยากกิน ก็อดตายไปซะ!”
เสียงด่าทอนั้นไม่น่าฟังอย่างยิ่ง และทุกคำที่พูดก็แทงทะลุเข้ามาในใจของเด็กหญิง ทำให้ในดวงตาของเธอยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้ชายคนนี้บังอาจมาเหยียบอาหารของเธอ!?
มันจะมากเกินไปแล้ว!
ไอ้ขันทีสุนัข มันคิดว่ามู่ไป๋ไป่คนนี้จะต้องคอยงอมืองอเท้ารอรับความช่วยเหลือจากคนอื่น และไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสู้กลับอย่างนั้นหรือ!?
เธอไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาวเหมือนเจ้าของร่างเดิม!
“ไอ้สารเลว ข้าเป็นถึงองค์หญิงแต่เจ้าเป็นเพียงทาสต่ำต้อย กล้าดีอย่างไรถึงมารังแกข้า คอยดูเถอะ ข้าจะถลกหนังเจ้าออกซะ!”
มู่ไป๋ไป่เขม็งมองขันทีตรงหน้า ตัวของเขานั้นสูงไม่ถึงครึ่งหนึ่งของประตู แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นผู้ใหญ่กว่าเธออยู่ดี
ในขณะนี้เด็กหญิงเอามือเท้าเอวพร้อมกับใช้สายตาดูถูกเหยียดหยามมองขันทีผู้น้อยอย่างดุดันคล้ายกับมู่เทียนฉงผู้เป็นพ่อ
ขันทีที่ได้เห็นดังนั้นก็ตกตะลึงยืนชะงักค้างอยู่ที่เดิม
เด็ก 4 ขวบกล้าพูดเช่นนี้ด้วยหรือ?
เมื่อวานเขาเห็นองค์หญิงหกที่ไม่สามารถเกล้าผมของตัวเองให้เป็นมวยสวย ๆ ได้จนทำให้ถูกหัวเราะเยาะ แต่ไม่ว่านางจะถูกคนอื่นเหยียดหยามเพียงใด นางก็ไม่เคยตอบโต้เลยสักครั้ง
เหตุใดจู่ ๆ วันนี้นางถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน?
ดวงตาของเด็กอายุ 4 ขวบน่ากลัวขนาดนี้ได้อย่างไร?
นอกจากนี้ท่าทีของนางก็ยังเหมือนกับฮ่องเต้ผู้เผด็จการทุกประการ ราวกับว่าหัวของเขาอาจจะหลุดออกจากบ่าได้ทุกเมื่อหากบังอาจไปทำให้เด็กคนนี้โกรธเข้า
ขันทีผู้ที่มาส่งอาหารอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง
เขาไม่คาดคิดเลยว่าคนตรงหน้าที่เป็นเพียงเด็กน้อยจะกล้าหาญถึงเพียงนี้ แต่เด็กตัวเล็กกระจ้อยอย่างนางจะทำอะไรเขาได้?
อีกทั้งองค์หญิงใหญ่ก็ได้ลั่นวาจาเอาไว้แล้วว่าหากใครที่สามารถทำร้ายองค์หญิงหกได้จะได้รับรางวัลอย่างงาม
เมื่อขันทีคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นดุดัน จากนั้นเขาก็พับแขนเสื้อตัวเองขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าไปหาคนตัวเล็กกว่า
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ดูเหมือนจะคาดเดาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนี้ เธอจึงย่อขาลงพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าเพื่อวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับจุดที่เขากำลังวิ่งเข้ามา
ส่งผลให้ขันทีที่พลาดเป้าหมายพุ่งเข้าไปหัวโขกกับกรอบประตู ทำให้เขาวิงเวียนศีรษะเหมือนเห็นดวงดาวนับพันอยู่รอบตัว แต่เขาก็ยังไม่ย่อท้อรีบวิ่งเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กอีกครั้งในขณะที่ยกมือกุมหัวตนเองเอาไว้
มู่ไป๋ไป่จึงวิ่งไปทางบ่อน้ำแห้งที่อยู่ในลานบ้าน แล้วเธอก็ปีนขึ้นไปยืนอยู่บนฝาบ่อน้ำพร้อมกับตะโกนเตือนว่า “หากเจ้ากล้ามายุ่งกับข้าอีก ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจทีหลัง!”
คำพูดที่ออกมาจากปากเด็กอายุ 4 ขวบนั้นฟังดูน่าขันยิ่งนัก
แต่น้ำเสียงที่เจ้าตัวใช้พูดกลับฟังดูไม่สมวัยเลยสักนิด!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาที่ดูถูกของนางทำให้ขันทียิ่งรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม
ตัวเขานั้นจะทำเช่นไรหากความอัปยศอดสูที่ตนได้รับนี้ถูกแพร่กระจายออกไปให้คนอื่นรู้?
“นังเด็กบ้า เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
หลังจากพูดจบเขาก็ปรี่เข้าไปที่เป้าหมาย ร่างเล็กของมู่ไป๋ไป่ที่คาดการณ์เอาไว้แล้วก็กระโดดลงจากฝาปิดบ่อน้ำก่อนจะเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไวพร้อมกับยื่นขาเล็ก ๆ ของตัวเองเหยียดออกไปขวางทางเท้าของอีกฝ่าย
ขันทีคิดว่าเขาจะสามารถจับตัวนางได้แล้ว แต่เขาไม่คาดคิดว่านางจะทำเช่นนี้ เป็นผลให้เขาสะดุดล้มหัวกระแทกบ่อน้ำ
โป๊ก!
“โอ๊ย!!”
หลังจากที่เจ้าขันทีสุนัขล้มหน้าคว่ำพื้น มู่ไป๋ไป่ก็วิ่งเข้าไปจับแขนทั้งสองข้างของเขามาด้านหลัง ขณะที่เธอใช้เท้าเหยียบหลังของอีกฝ่ายเอาไว้
เมื่อเด็กหญิงเห็นว่าได้จังหวะเหมาะแล้ว เธอก็ยกชายกระโปรงขึ้นก่อนจะนั่งคร่อมบริเวณหลังคอของเขาอีกที
“นี่เจ้า! มันจะมากเกินไปแล้วนะ! ลงมาเดี๋ยวนี้!”
ขันทีรู้สึกโมโหมากคล้ายกับมีบางสิ่งอัดแน่นอยู่ในอวัยวะภายในของเขาจนแทบระเบิดออกมา
ทว่ามือของเขากลับถูกร่างกายของอีกฝ่ายกดเอาไว้แน่น เขาจึงไม่สามารถต่อสู้กับคนตัวเล็กที่ทับอยู่บนร่างได้เลย
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็คว้าหูของอีกฝ่ายแล้วบิดเต็มแรง “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
บัดนี้ใบหน้าของขันทีแดงก่ำ ในขณะที่หัวของเขาร้อนไปหมด
เมื่อรวมกับคำพูดที่เด็กคนนี้ทำให้เขาต้องอับอาย เขารู้สึกราวกับว่าใบหน้าของตนถูกกดแนบกับแผ่นเหล็กที่ย่างอยู่บนเตาถ่านเลยด้วยซ้ำ
แม้นเด็กผู้หญิงในวัย 4 ขวบครึ่งคนนี้จะไม่ได้หนักมากนัก แต่นางก็ยังมีน้ำหนักถึง 40 จิน* ซึ่งน้ำหนักนี้กำลังกดทับลงบนหลังคอของเขาอยู่ แม้แต่การหายใจก็ยังเป็นไปได้ยากเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขยับตัวทำอย่างอื่น
*1 จิน = 500 กรัม
เขานี่ช่างโชคร้ายจริง ๆ แล้วยังถูกนังเด็กสารเลวคนนี้ทับเอาไว้อีก!
ถ้าเขาหลุดออกไปได้ ไม่ช้าก็เร็ว นังเด็กบ้านี่จะต้องตกอยู่ในกำมือของเขา แล้วเขาก็จะทุบตีมันให้ตายคามือมันถึงจะสาแก่ใจ!
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ หรือ?”
ต่อมา มือเล็ก ๆ ที่ทั้งขาวและอ่อนนุ่มของเด็กน้อยก็จับหูอีกข้างของขันที ก่อนจะพูดว่า “มารดาจะไม่ใช้แซ่มู่อีก หากวันนี้มารดาไม่จัดการเจ้าให้หลาบจำ!”
หลังจากนั้นเด็กหญิงก็หยิบเข็มเงินเล็ก ๆ ที่ตนเจอในห้องตอนที่กำลังทำความสะอาดออกมา แล้วนำมันไปโบกอยู่ตรงหน้าของอีกฝ่าย
“เจ้าคิดว่าข้าควรปักเข็มเล่มนี้ตรงไหนดี?”
ขันทีจับจ้องไปยังเข็มที่สะท้อนแสงเย็นเยียบ ในขณะเดียวกัน แสงนั้นก็ส่องสว่างตรงเข้ามาที่ดวงตาของเขา
มู่ไป๋ไป่ขยับเข็มเข้าไปใกล้ดวงตาของอีกคนมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเข็มแหลมก็ดูเหมือนจะแทงทะลุเข้าไปในลูกตาของคนที่นอนอยู่ข้างใต้ได้ทุกเมื่อ
การกระทำที่เขย่าขวัญนั้นทำให้ขันทีตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่เขาเบิกตากว้างจ้องมองเข็มที่ขยับเข้ามาใกล้ตาไม่กะพริบ
“...”
“กลิ่นอะไรน่ะ?”
มู่ไป๋ไป่ยกมือขึ้นปิดจมูกตัวเองพลางหันไปมองบริเวณขาของขันที
ยามนี้มีของเหลวค่อย ๆ ไหลออกมาจากเป้ากางเกงของเขาและไหลซึมไปที่ฝาท่อระบายน้ำ ไม่นานกลิ่นที่แปลกประหลาดก็ค่อย ๆ จางหายไป…
“นี่เจ้ากลัวจนฉี่ราดเลยหรือ? ฮ่าๆๆ!” มู่ไป๋ไป่ใช้มือที่ป้อมสั้นของตัวเองกุมท้องหัวเราะเสียงดัง แต่การกระทำนี้กลับเป็นการดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
ขันทีเองก็ซุกหน้าตัวเองลงกับพื้น ก่อนจะเริ่มร้องไห้ออกมา
“องค์หญิงหก พระองค์ทรงเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย…”
เขากำลังขอความเมตตาจากฉันอยู่เหรอ?
ไม่นานมู่ไป๋ไป่ก็พูดเยาะเย้ยว่า “เรียกมารดาว่าบรรพบุรุษก่อน แล้วมารดาจะคิดอีกทีว่าควรปล่อยเจ้าไปหรือไม่?”
เมื่อขันทีเห็นอีกฝ่ายกำลังย่ำยีศักดิ์ศรีของตนมากเกินไป เขาก็ตะคอกออกมาว่า “ฝันไปเถอะ!”
“หืม?” เด็กหญิงที่ได้รับคำตอบส่งเสียงเบา ๆ ในลำคอ และเข็มก็ขยับเข้าไปใกล้ดวงตาของเขามากขึ้น
“ข้าจะเริ่มแทงตาของเจ้าก่อน แล้วค่อย ๆ แทงเล็บของเจ้าด้วยเข็มทีละเล่ม…”
“ท่านบรรพบุรุษ! ท่านบรรพบุรุษ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย…”
“...”
ในตอนแรกคนตัวเล็กยังคงลังเลว่าจะพูดข่มขวัญอีกฝ่ายแบบไหนดี แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเสียสติไปแล้วถึงขั้นตะโกนเรียกเธอว่าท่านบรรพบุรุษ
มู่ไป๋ไป่รู้สึกพอใจมากขณะกล่าวว่า “หลังจากนี้หากเจ้าพบข้าที่ไหน เจ้าจะต้องเรียกข้าว่าท่านบรรพบุรุษ เข้าใจหรือไม่?”
แล้วขันทีก็ทรุดตัวลงอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงในขณะที่ตอบรับคำพูดของเด็กน้อย
ในยามที่เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า นัยน์ตาของขันทีก็เต็มไปด้วยน้ำตา พ่อของเขาเสียชีวิตเพราะลูกชายคนนี้เป็นคนอกตัญญู แต่ท่านก็ยังไม่ได้พักผ่อนอย่างสงบสุข และลูกชายของเขาก็มามีเรื่องกับเด็กอายุ 4 ขวบคนนี้ให้ท่านต้องอับอายขายขี้หน้าอีก
มู่ไป๋ไป่ตบแก้มของเขาที่ร้อนยิ่งกว่ามะเขือเทศสุกอย่างเอ็นดู พร้อมกับที่เธอหัวเราะเบา ๆ “หลานชายคนดีของข้า”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: น้องคนใหม่สู้กลับจ้า ตัวเล็กแต่ใจใหญ่มากบอกเลย!