บทที่ 5: ถูกทำร้าย
ขณะที่มู่ไป๋ไป่กำลังจะลุกออกจากตัวของอีกฝ่าย จู่ ๆ ก็มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของเธอว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากตนปล่อยเขาไป ถ้าเขาหันกลับมาแว้งกัดเธออีกครั้ง เธอจะทำอย่างไร?
ด้วยความคิดนี้เด็กหญิงจึงหยิบเข็มเงินกรีดขาของขันที ทำให้เนื้อที่ต้นขาถูกเข็มกรีดเป็นแผล ทันใดนั้นก็มีเลือดสีสดไหลออกมาจากปากแผลที่ถูกกรีด
ขันทีแยกเขี้ยวพร้อมกับสูดปากเสียงดัง ในขณะที่เขารู้สึกเจ็บปวดบริเวณบาดแผลและเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบ ๆ
ปีศาจ! นังเด็กนี่มันเป็นปีศาจ!
“วันนี้ข้าแค่กรีดขาเจ้า แต่ถ้าพรุ่งนี้เจ้ายังกล้ามาหาเรื่องข้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย ได้ยินหรือไม่!”
เสียงเล็กแหลมของเด็กน้อยฟังดูแปลกประหลาดในสภาพแวดล้อมที่ทรุดโทรมนี้ มันฟังดูไพเราะทว่าแฝงไปด้วยความเย็นชา แม้แต่อากาศก็ยังหยุดนิ่งไปเพราะตกตะลึงกับคำพูดของนาง
จากน้ำเสียงนั้นเห็นได้ชัดว่ามันออกมาจากปากของเด็กอายุ 4 ขวบ แต่คำพูดที่ไม่ต่างจากปีศาจชั่วร้ายเหล่านี้กลับขัดกับบุคลิกของผู้พูดมาก
แล้วขันทีก็ตอบด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“ข้าน้อย… ข้าน้อย… เข้าใจแล้ว…”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินคำตอบรับของอีกฝ่ายก็ขยับตัวออกจากหลังคอของเขา ก่อนที่เธอจะมองดูเลือดที่ไหลออกมาจากขาของคนตัวโตกว่าตาไม่กะพริบ
ใครใช้ให้เขากล้ามารังแกคนที่ไม่สมควรรังแกกันล่ะ?
ยามนี้ขันทีทำหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับมีเม็ดเหงื่อปกคลุมอยู่บนหน้าผาก
ในเวลาเดียวกัน ท้องของมู่ไป๋ไป่ก็ร้องประท้วงไม่หยุด เธอจึงมองขันทีคนนั้นด้วยสายตาเย็นชาแล้วออกคำสั่งว่า “ข้าหิวแล้ว เจ้าไปเอาปลาและเนื้อชิ้นโต ๆ มาให้ข้าสัก 10 จานสิ”
ขันทีที่ได้ยินดังนั้นก็ตะโกนลั่น “พ่ะย่ะค่ะ!”
ในทุกย่างก้าวที่เขาเดิน กล้ามเนื้อด้านหลังขาของเขาคล้ายกับถูกกระชากออก ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสจนน้ำตาไหล
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ปัดฝุ่นออกจากมือแล้วเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง
ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์ที่จะมาสนใจอะไรอีกแล้ว
เด็กหญิงเดินไปนั่งบนเก้าอี้เพื่อรอคอยปลาตัวใหญ่และเนื้อชิ้นโตอย่างหิวโหย
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องแปลก ๆ ดังเข้ามาในหูของคนตัวเล็ก
“เมี้ยว!”
ดวงตาของมู่ไป๋ไป่กวาดมองเหมือนเครื่องตรวจจับ ในขณะที่เธอมองสำรวจไปรอบ ๆ ตัว
“เมี้ยว!” เสียงร้องดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ร่างกายน้อย ๆ อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
ห้องนี้ทรุดโทรมมาก อีกทั้งยังเป็นห้องที่มีเครื่องเรือนอยู่ไม่กี่ชิ้น ดังนั้นจึงไม่มีที่ให้หลบซ่อนเลย แล้วเป้าหมายสุดท้ายของสายตาเธอก็คือผ้าห่มผืนบางของตัวเอง
ต่อมา เด็กหญิงค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ผ้าห่มที่อยู่ในลักษณะแปลกประหลาดทีละก้าว เธอกลั้นใจดึงมันออก และสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ก็ทำให้เธอต้องตกใจ
แมว?!
แถมมันยังเป็นแมวสีส้มตัวใหญ่อีกด้วย!
ชั่วอึดใจนั้นก็มีประโยคหนึ่งที่เธอเคยได้ยินคนเขาพูดกันว่า แมวส้ม 9 ใน 10 ตัวมักจะอ้วน ซึ่งเจ้าแมวตัวนี้ก็มีน้ำหนักเกินมาตรฐานแมวทั่วไป
เจ้าแมวส้มตรงหน้าของเด็กหญิงนั้นอ้วนมากจริง ๆ มันคงเพิ่งกินอาหารเมื่อไม่นานมานี้
“เมี้ยว!”
ระหว่างที่มู่ไป๋ไป่จ้องแมวตัวกลม ก็มีคำพูดของใครบางคนดังสะท้อนอยู่ในหัว
“ฆ่าแมวแล้ว ฆ่าแมวแล้ว มันเจ็บนะ! ฮือ ๆๆๆ”
คนตัวเล็กตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองฟังภาษาสัตว์รู้เรื่อง เธอจึงสงบสติอารมณ์ลงได้ในทันที
เจ้าแมวตัวนี้รู้ว่าเธอเข้าใจที่มันพูด มันจึงยกขาที่อวบอ้วนของมันขึ้นห้ามเธอพร้อมกับโวยวายยกใหญ่
“เจ้าบังอาจมาขโมยอาหารของคนอื่นแล้วยังกล้าใส่ร้ายเขาอีกหรือ?” มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วต่อว่าอีกฝ่าย
แมวสีส้มตัวใหญ่มองเธอด้วยสายตาดูถูกทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
“แง้ว!”
“จะดูถูกกันเกินไปหน่อยแล้ว แมวทรงเลี้ยงของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าต้องขโมยอาหารจากคนอื่นอีกหรือ?”
ดวงตาที่เยือกเย็นของแมวกะพริบเบา ๆ พร้อมกับคำพูดที่ฟังดูเอาแต่ใจและเย็นชาของมันดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
โถ เจ้าตัวเล็กผู้น่าสงสาร…
เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ?
แมวทรงเลี้ยงของฮ่องเต้เหรอ?
ดวงตาของมู่ไป๋ไป่พลันเบิกกว้าง พร้อมกับความรู้สึกเหมือนถูกบางสิ่งแข็ง ๆ ฟาดเข้าที่หัวเต็มเปา
นี่คือแมวที่ท่านพ่อผู้เย็นชาเลี้ยงเอาไว้อย่างนั้นหรือ?
เด็กหญิงยื่นมือไปลูบหัวของมันด้วยความประหลาดใจพลางถามว่า “เจ้าเป็นแมวที่ฮ่องเต้เลี้ยงดูมาหรือ?”
จากนั้นดวงตากลมโตจึงเริ่มมองสำรวจร่างกายของมัน แล้วเห็นว่าแมวตัวนี้เนื้อตัวอ้วนท้วมอัดแน่นไปด้วยไขมัน อีกทั้งขนหนา ๆ ก็ดูสะอาดสะอ้านน่าลูบไล้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านพ่อที่ไร้หัวใจผู้นั้นจะเป็นทาสแมว?
ใครจะไปคาดคิดว่าก่อนหน้านี้เธอพยายามหาหนทางที่จะได้รับความโปรดปรานจากคนเป็นพ่อแทบตายก็หาไม่เจอ แต่พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่าย ๆ เสียอย่างนั้น แถมแมวของท่านพ่อเจ้าอารมณ์ก็ยังมาหาเธอเองถึงที่อีกด้วย!
ในเมื่อโอกาสดี ๆ แบบนี้ถูกส่งมาถึงหน้าประตูแล้ว ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการไหน ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ถ้ายังไม่ได้อีกก็คงจะต้องข่มขู่กันเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าแมวอ้วนตัวนี้ แล้วเธอก็คิดว่าจะยอมเสียสละแบ่งปลาและเนื้อที่ขันทีนำมาให้มันกินด้วย
เจ้าแมวส้มเหลือบมองเด็กน้อยด้วยสายตาดูหมิ่น “เจ้ามนุษย์หยาบช้า เจ้าไม่เคยเห็นแมวที่สูงศักดิ์เช่นนี้มาก่อนใช่หรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่ยกมุมปากขึ้นขณะตอบว่า “ใช่ ๆ เจ้าดูสูงส่งมาก แล้วทำไมเจ้าถึงได้รับบาดเจ็บเสียล่ะ?”
“เหมียว” แมวส้มตัวโตส่งเสียงพร้อมกับกลอกตาคล้ายมนุษย์
“เจ้าไม่คิดว่าคำถามของเจ้าจะไร้มารยาทเกินไปหน่อยหรือ?”
ดูเหมือนว่าคำถามนี้มันจะจี้จุดเจ็บเจ้าแมวส้มเข้าจัง ๆ
มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วพลางคิดว่าแมวทรงเลี้ยงตัวนี้ช่างอารมณ์ร้ายเสียจริง
“ได้โปรดไขความกระจ่างให้ข้าเถอะว่าทำไมเจ้าถึงบาดเจ็บ?”
ไม่กี่อึดใจต่อมา เจ้าแมวก็ยกขาที่เหมือนน่องไก่อันอ่อนนุ่มของมันซึ่งเต็มไปด้วยไขมันขึ้นแล้วมองดูพวกมันอย่างระมัดระวัง
ยามนี้เด็กหญิงสงสัยใคร่รู้มากว่าแมวถูกทำร้ายได้อย่างไร
แมวทรงเลี้ยงของฮ่องเต้ยังมีคนกล้าทุบตี และมันเกือบถึงขั้นจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ
บาดแผลที่ได้รับนั้นดูรุนแรงมาก ตรงบริเวณที่ถูกทำร้ายเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม แถมยังมีรอยช้ำอีกมากมาย ดูแล้วคล้ายกับว่ามันเกือบเสียชีวิตไปครึ่งหนึ่ง
แต่ตอนนี้ตัวมู่ไป๋ไป่นั้นไม่มียาแก้ปวดหรือแม้แต่ยาทาแผล ด้วยเหตุนี้เธอจึงแทบไม่สามารถช่วยเจ้าแมวอ้วนได้เลย
“เหมียว~” แมวส้มทอดถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยปากเล่าออกมาแบบสั้น ๆ ได้ใจความแต่หลีกเลี่ยงส่วนสำคัญไปขณะที่เสตามองไปทางอื่น
“ข้าเพียงแค่บังเอิญเดินผ่านบ้านของคนอื่น และถูกพบเข้า”
“หืม?”
หากแค่บังเอิญผ่านไปแล้วจะโดนทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร? คงไม่มีใครว่างมากจนมานั่งหาเรื่องแมวหรอก ถ้าเป็นคนปกติคงทำเพียงแค่ทำเสียงดุไล่มันออกไปไม่ใช่หรือ?
มู่ไป๋ไป่แสดงสีหน้าสงสัยออกมาอย่างชัดเจน
“ก็ได้ ๆ ข้าบังเอิญไปเหยียบชายกระโปรงคนอื่นเข้าน่ะ… ก็เลยถูกจับตัวไป”
มันทนต่อสายตาตั้งคำถามของเด็กหญิงเมื่อครู่นี้ไม่ไหว ถึงแม้ว่ามันอยากจะรักษาหน้าตาของตัวเองเอาไว้ แต่ตอนนี้มันรู้สึกว่าคงจะเป็นการดีกว่าที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไป
แต่สีหน้าท่าทางนั้นมันทำให้หัวใจของเจ้าแมวส้มคันยุบยิบมากจริง ๆ
“เจ้าเผลอไปเหยียบกระโปรงใครบางคนเข้าอย่างนั้นหรือ?”
มู่ไป๋ไป่กลั้นหัวเราะไม่ไหวจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันเสียมารยาทมากไปหน่อย เธอจึงพยายามเม้มปากตัวเองเอาไว้
ถัดมา เด็กหญิงถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ใครทำร้ายเจ้า?”
แมวส้มตัวนี้มีดวงตาเป็นประกายดูงดงาม ซึ่งมันคล้ายกับผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ จากนั้นมันก็กลอกตามองบนพร้อมกับนึกย้อนกลับไปเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้บริเวณลานที่ตั้งของกรงเสือ ในตอนที่เด็กหญิงวัย 4 ขวบคนนี้กำลังคุยกับเสือ ตัวมันเองก็กำลังซ่อนอยู่ที่มุมหนึ่งและได้ยินทุกอย่างที่ทั้ง 2 พูดคุยกัน
เนื่องจากมันรู้สึกเบื่อหน่าย มันจึงอยากเล่นกับมู่ไป๋ไป่ รวมถึงต้องการค้นหาข้อเท็จจริงของนางด้วย
ไม่นานหลังจากที่มันออกจากที่นั่น มันก็รู้สึกอยากปลดทุกข์ซึ่งพอดีกับที่มันบังเอิญเดินผ่านตำหนักลี่เฟย มันจึงอดไม่ได้ที่จะไปหาพื้นที่ใต้ร่มไม้เพื่อจัดการธุระ
เนื่องจากดินในตำหนักลี่เฟยนั้นแข็งมาก มันจึงต้องใช้เวลานานในการขุดหลุมและฝังกลบสิ่งที่มันปล่อยออกมา และนั่นก็ทำให้อุ้งเท้าของมันสกปรก ก่อนที่มันจะทันได้ทำความสะอาดเท้าของตัวเอง มันก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากในตำหนักลี่เฟย
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัว แมวส้มจึงกระโดดไปที่ขอบหน้าต่างเพื่อค้นหาคำตอบ
ข้างในนั้นมีเพียงคน 2 คนกำลังกอดกันอยู่ในสภาพที่ลี่เฟยเนื้อตัวเปลือยเปล่า ส่วนชายคนหนึ่งที่มันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนกำลังกดทับอยู่ด้านบนตัวของนาง จากสีหน้าท่าทางของลี่เฟย ดูเหมือนว่านางกำลังเจ็บปวดมากจึงส่งเสียงร้องออกมาเป็นครั้งคราว
ตอนนั้นมันไม่รู้ว่าทั้งคู่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เมื่อแมวส้มมองเห็นเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นด้านข้างของคนทั้ง 2 มันจึงกระโดดลงไปเหยียบบนชุดกระโปรงเพื่อเช็ดสิ่งสกปรกบนอุ้งเท้าออก
ในขณะเดียวกัน ลี่เฟยก็บังเอิญหันมาเห็นมันพอดี
ยังไม่ทันที่มันจะได้วิ่งหนีไปไหน มันก็โดนจับเอาไว้เสียก่อน
แล้วชายหญิงคู่นั้นก็หิ้วมันไปทุบตีจนเกือบตาย
ทีแรกมันคิดว่าตนเองกำลังจะตายแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ปล่อยมันไปในช่วงเวลาวิกฤต ดังนั้นมันจึงล้มลุกคลุกคลานจนมาถึงที่นี่โดยบังเอิญ
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: แมวส้มมมม ไหนใครเป็นทาสแมวเหมือนเสี่ยวเถียวบ้างยกมือขึ้น! แต่ช่วงท้ายคือเจ้าแมวไปเห็นอะไรมานะ 555555