บทที่ 31 ทำตัวให้มีอำนาจก็พอแล้ว
บทที่ 31 ทำตัวให้มีอำนาจก็พอแล้ว
กงมามาเตือนซ่งซือ ว่าเธอมีตำแหน่งเป็นท่านหญิงชราตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่ง ในจวนนี้เธอสามารถทำอะไรตามใจก็ได้
ที่จริงแล้ว ต่อให้ซ่งซือไม่มีตำแหน่งขุนนางก็ตาม ตราบใดที่เธอเป็นแม่สามี ลูกสะใภ้ก็ไม่มีทางจะอยู่เหนือเธอได้ ยกเว้นสะใภ้คนนั้นจะเป็นเจ้าหญิงหรือพระชายา ไม่อย่างนั้นเพียงแค่ความกตัญญูก็เพียงพอที่จะกดดันพวกเขาได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซ่งซือก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้น
ไม่ว่าอย่างไร เธอเพียงแค่ทำตัวให้มีอำนาจแบบแม่สามีก็พอแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซ่งซือก็นั่งลงอย่างเคร่งขรึมบนเก้าอี้ใหญ่ รอให้ลูกสะใภ้และหลานๆ มาคารวะ
ไม่นานก็มีสาวใช้มาแจ้งว่าซ่งต้าฟู่เหรินและคนอื่นๆ มาถึงแล้ว เมื่อซ่งซือออกคำสั่ง ก็มีคนยกม่านขึ้นให้ทุกคนเข้ามา
หลู่ซื่อสูดหายใจลึก เดินตามหลังพี่สะใภ้สองคนเข้าไปข้างใน เมื่อซ่งต้าฟู่เหรินกล่าวคำทักทายเสร็จ หลู่ซื่อก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากราบซ่งซือทันที ร้องไห้สะอึกสะอื้นกล่าวว่า “สะใภ้ที่ไม่กตัญญูอย่างข้าหลู่ซื่อ ขออภัยและขอคารวะแด่ท่านแม่ ขอให้ท่านแม่มีสุขภาพแข็งแรง”
เมื่อหลู่ซื่อคุกเข่า ลูกทั้งสองของเธอก็ไม่มีทางจะยืนอยู่เฉยๆ จึงคุกเข่าตามด้วยความกังวล
ซ่งซือตาโตขึ้น ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ แม้จะเห็นคนรับใช้คุกเข่าคารวะอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีใครทำเหมือนหลู่ซื่อที่กราบอย่างจริงจังแบบนี้ ถึงกับนอนราบลงไปกับพื้น
เธอมองไปที่คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น สวมชุดกระโปรงสีเงินแดง ด้านนอกสวมเสื้อคลุมสีม่วงอ่อน ผมเกล้าสูงปักปิ่นทองสองอัน พร้อมกับปิ่นปักผมที่ประดับด้วยทับทิมแดง ช่างดูสง่างามและอ่อนหวาน
คนสมัยก่อนนี่รู้จักแต่งตัวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นหลู่ซื่อหรือสะใภ้อีกสองคน พวกเธอก็แต่งตัวได้เหมาะสมกับฐานะและบุคลิกของตัวเอง
ซ่งซือมัวแต่สนใจการแต่งตัวของพวกเธอ จนลืมบอกให้พวกเขาลุกขึ้น ทำให้หลู่ซื่อที่นอนราบอยู่กับพื้นรู้สึกกังวลเกือบจะเอาหน้าผากแนบพื้นไปแล้ว
ซ่งต้าฟู่เหรินและซ่งเอ้อเหนียงหันมามองหน้ากันและสื่อสารผ่านสายตา
ซ่งต้าฟู่เหริน: “ดูสิ ท่านแม่ก็ยังเป็นท่านแม่ แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ยังดูเหมือนจะไม่พอใจสะใภ้สาม ให้บทเรียนกันตั้งแต่กลับมาเลย”
ซ่งเอ้อเหนียง: “แม่สามีที่แข็งแกร่งจริงๆ เหมือนก้อนหิน”
ซ่งต้าฟู่เหริน: “...”
ในที่สุดกงมามาก็ดันซ่งซือเบาๆ ว่าถึงเวลาพอควรแล้ว
ซ่งซือกลับสู่สติและเลียนแบบท่าทีของคนแก่กล่าวว่า “ลุกขึ้นได้แล้ว จะคุกเข่าจนเจ็บเข่าไปทำไม?”
หลู่ซื่อตอบว่า “ลูกสะใภ้ไม่เจ็บเจ้าค่ะ ท่านแม่ช่างมีเมตตาต่อสะใภ้ แต่สะใภ้ไม่กล้าที่จะยึดความกรุณานั้นไว้ ถ้าสามารถทำให้ท่านแม่หายโกรธได้ สะใภ้จะยอมคุกเข่าจนขาหักก็ไม่มีอะไรจะพูด”
กงมามาและคนอื่นๆ: “...”
นี่มันอะไรกัน หลู่ซื่อนี่คิดจะขุดหลุมให้ท่านหญิงชราตกลงไปเหรอ? จะให้เขาลือว่าท่านหญิงชราใจร้ายกับลูกสะใภ้หรือ?
ซ่งต้าฟู่เหรินรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เพราะในจวนนี้ทุกคนพยายามปฏิบัติกับซ่งซืออย่างดีที่สุด เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกไม่พอใจหรือล้มป่วย แล้วทำไมหลู่ซื่อถึงมาเพิ่มปัญหาให้?
ซ่งซือสวนกลับทันทีว่า “เธอยังเด็ก กระดูกยังแข็งแรง จะคุกเข่าจนขาหักมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
หลู่ซื่อ: “...”
เธอมองซ่งซือด้วยความตกตะลึง
ซ่งซือเห็นสีหน้าของเธอจึงกล่าวอย่างไร้เดียงสา “สีหน้าของเธอหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าฉันพูดผิด? คนแก่อย่างฉันน่ะสิถึงจะขาหักง่าย เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกก็เปราะบางและเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน ไม่ใช่แค่การคุกเข่านะ แค่เดินขึ้นบันไดยังสามารถหักได้ง่ายๆ กึ๊กเดียว กระดูกหักเลย”
ไม่ค่ะ ท่านแม่พูดถูก ท่านแม่พูดถูกทุกอย่าง แต่โรคกระดูกพรุนคืออะไร?