บทที่ 2: สัมผัสหัว
ไม่น้าาาา! วันนี้ฉันจะตายเพราะเรื่องบ้า ๆ แบบนี้จริงเหรอ!?
มู่ไป๋ไป่รู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอจึงนั่งลงกับพื้นและร้องไห้เสียงดัง
ในเวลาเดียวกัน ประตูกรงเหล็กถูกเปิดออกจนสุด ก่อนที่เสือจะก้าวเข้ามาหาคนตัวเล็กทีละก้าว ซึ่งในทุกย่างก้าวของมันดูเหมือนจะทำให้พื้นดินสะเทือน
น้ำลายที่ไหลผ่านเขี้ยวของมันค่อย ๆ หยดลงพื้นทีละหยด ขณะที่มันแลบลิ้นสีแดงออกมาอย่างตะกละตะกลาม
ในไม่ช้าเจ้าสัตว์ร้ายก็คำรามเสียงดังแล้วกระโจนเข้าใส่ร่างเล็ก!
จังหวะนั้นมู่ไป๋ไป่ที่นั่งกองอยู่บนพื้นก็ล้มลงไปนอนราบพร้อมกับหลับตาแน่น
นางกลัวจนเป็นลมไปแล้วหรือ?
นี่เป็นความคิดแรกของผู้คนที่กำลังมองดูเหตุการณ์
ขณะนั้นมู่เทียนฉงมองภาพตรงหน้าตาไม่กะพริบด้วยสายตาเย็นชา
ยามนี้ทุกคนต่างรอให้มู่ไป๋ไป่ถูกเสือกลืนลงท้องไปในคำเดียว
ในตอนนั้นเอง ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี
เมฆดำค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นแล้วรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ ทำให้ความมืดมิดปกคลุมวังหลวงอย่างฉับพลัน และลานที่กักขังเสือทั้งหมดก็ดูเหมือนเปลี่ยนไปจากกลางวันเป็นกลางคืน
ครืน!
เสียงฟ้าร้องดังมาจากบนท้องฟ้า
ทันทีที่เสือดุร้ายวิ่งไปอยู่ต่อหน้ามู่ไป๋ไป่ จู่ ๆ มันก็หยุดฝีเท้าและคำรามเสียงดัง
เนื่องจากมันก็รู้สึกราวกับว่าเห็นบางสิ่งที่น่ากลัวมาก อุ้งเท้ายักษ์ใหญ่ทั้ง 4 ของมันจึงพยายามถอยหนีไปด้านหลังไม่หยุด
หลังจากที่มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น มันก็ทำให้โลกสั่นสะเทือน ปัจจุบันดวงตาของมู่ไป๋ไป่เปลี่ยนเป็นสีแดง ไม่นานเธอก็ค่อย ๆ ใช้มือยันตัวลุกขึ้นยืน
ต่อมา เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองดูก้อนเมฆสีดำด้วยท่าทีสงบนิ่ง ในขณะที่ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่บนท้องฟ้า มือเล็ก ๆ ทั้งสองก็กำหมัดแน่น
“โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย… ท่านจ้าวอสูร…”
จากเสียงคำรามของเสือที่ดังก้องได้เปลี่ยนกลายเป็นคำพูดของมนุษย์ ซึ่งมันดังก้องอยู่ในหัวของเธอไม่หยุด
มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
นี่… ฉันฟังภาษาสัตว์รู้เรื่องด้วยเหรอ!?
แถมตัวเธอก็ยังได้รับการยกย่องในฐานะจ้าวอสูรอีก!
ทันใดนั้นเด็กหญิงก็แน่ใจแล้วว่าเสือตัวนี้กำลังหวาดกลัวเธอ!
นี่น่ะหรือการได้เป็นจ้าวอสูร?
ไม่กี่อึดใจต่อมา เด็กหญิงก็ลืมตาขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาเสือตัวเขื่องอย่างใจเย็น
ทุกครั้งที่เธอก้าวไปข้างหน้า เจ้าเสือยักษ์ก็จะพยายามถอยหลังหนี
“ให้ข้าสัมผัสหัวเจ้า…” เสียงนุ่มฟังดูไพเราะดังขึ้นเบา ๆ จากนั้นเด็กหญิงก็พยายามเคลื่อนไหวให้ช้าลงขณะเอามือขยับเข้าไปใกล้หัวเสือ
บัดนี้ดวงตาของเสือตัวใหญ่ฉายแววหวาดกลัวเพราะเกรงว่ามู่ไป๋ไป่จะฆ่ามันในอึดใจถัดไป
“ไว้ชีวิตข้าเถิด… ท่านจ้าวอสูร…”
มู่ไป๋ไป่เริ่มรู้สึกรำคาญกับการกระทำของเจ้าเสือตรงหน้า ใบหน้าที่อ่อนโยนของเธอจึงเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง “นอนลง ให้ข้าสัมผัสเจ้า”
เสือครางในลำคอเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ งอขาทั้ง 4 คลานเข้าไปหาเด็กหญิงตัวเล็ก
ปัจจุบันเสือดุร้ายได้เปลี่ยนกลายเป็นลูกแมวขนนุ่มที่หมอบตัวลงอย่างว่าง่ายต่อหน้าองค์หญิงหก ทว่าในสายตาของทุกคนมันก็ยังคงเป็นเสือที่ดุร้ายอยู่ดี
ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้ฝูงชนที่คอยเฝ้าดูเกิดความโกลาหล พวกเขาพยายามขยี้ตาเพราะคิดว่าตัวเองกำลังตาฝาดไป
ไม่ นี่มันไม่ใช่ความฝัน!
เสือเป็นที่รู้จักกันในนามของราชาแห่งป่า แต่ตัวที่อยู่เบื้องหน้าทุกคนนั้นไม่เหมือนที่กล่าวเอาไว้เลย
มันดูเชื่องเหมือนกับแกะ แล้วมันกำลังหมอบตัวอยู่ต่อหน้าเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ซึ่งภาพนี้มันไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องตัวหนึ่ง
นั่นยิ่งทำให้กลุ่มคนที่เห็นเหตุการณ์ตกตะลึง
ยามนี้มู่เทียนฉงยังคงมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในกรงด้วยสายตาเย็นชา แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เสือหมอบอยู่ตรงหน้าเด็กหญิงตัวเล็ก มันก็ถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจ
เขาเลี้ยงเสือตัวนี้มาเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่สามารถควบคุมสัตว์ร้ายตัวนี้ให้อยู่หมัดได้
ทว่าองค์หญิงหกที่เขาให้กำเนิดออกมายังไม่ทันได้ขยับแม้แต่นิ้วเดียว เสือตัวนั้นก็นอนหมอบราบกับพื้น ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าเจ้าเสือกำลังกลัวมากจนฉี่แทบราด
เมื่อนางลุกขึ้นยืน เสือก็ทำตัวเหมือนลูกแมวแถมยังเอาหัวให้นางลูบอีกอย่างนั้นหรือ?
หรือนางเพียงแค่สัมผัสหัวเสือโดยไม่ได้ตั้งใจ?
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ
กลับมาที่มู่ไป๋ไป่ พอเธอเห็นว่าเจ้าเสือตัวนี้เชื่อฟังมากแค่ไหน เธอก็เอ่ยปากชมมันเสียงแผ่วเบาว่า “ดีมาก”
ถัดมา เด็กหญิงเลื่อนมือปัดผ่านหนวดแข็ง ๆ ใกล้ปากของเสือแล้วคว้ามันเอาไว้ในมือ
ฮิ ๆ สนุกจัง
“กรรซ์…”
เสือตัวยักษ์ร้องขู่ในลำคอเบา ๆ แต่มันก็ไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่านั้น
ตัวมันเป็นสัตว์ร้ายที่ได้รับการขนานนามว่าทรงพลังและมีอำนาจเหนือสัตว์อื่น ๆ แต่ศักดิ์ศรีทั้งหมดพลันหายไปต่อหน้าเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่อายุ 4 ขวบคนนี้!
การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้อยู่ในสายตาของทุกคนที่ยืนมองอยู่ด้านนอกกรง
“หึ ๆ น่าสนใจทีเดียว”
มู่เทียนฉงหัวเราะเบา ๆ
เมื่อบิดาของแผ่นดินเผยรอยยิ้มจนกระทั่งมีเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากปาก มันก็ทำให้เสนาบดีกับองค์หญิงใหญ่ต่างพากันตกใจ!
ฝ่าบาททรงพระสรวล!
ทรงพระสรวลจริง ๆ!
ครั้งสุดท้ายที่ฝ่าบาททรงพระสรวลน่าจะเมื่อหลายปีก่อน…
ถัดมา มู่เทียนฉงหรี่ตาลงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาไม่สนใจท่าทางประหลาดใจของคนอื่นก่อนจะเอ่ยปากออกคำสั่งว่า
“จัดการสัตว์ร้ายตัวนั้นซะ”
ก่อนหน้านี้มันถูกเรียกว่า ‘เสือร้าย’ แต่ตอนนี้มันกลับถูกเรียกว่า ‘สัตว์ร้าย’
ในไม่ช้าลูกดอกขนาดเท่าเข็มเงินก็พุ่งไปที่คอของเสือ
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ เสือตัวเขื่องก็ง่วงงุนล้มลงนอนกับพื้น
ในขณะที่มู่ไป๋ไป่มองดูเสือที่นอนหลับใหล คิ้วเรียวบนใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอก็ขมวดเข้าหากัน
ฉันยังลูบมันไม่พอเลย
จังหวะนั้นเด็กหญิงก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองลอยขึ้นจากพื้น ไม่นานเธอจึงตระหนักได้ว่าตนถูกทหารคนหนึ่งอุ้มออกจากกรงเสือ
หลังจากทหารรักษาพระองค์ก้าวเดินเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็มายืนอยู่ต่อหน้ามู่เทียนฉง ก่อนที่เขาจะวางมู่ไป๋ไป่ลง
ชายผู้เป็นฮ่องเต้ก้มหน้าจ้องไปที่ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตรงหน้าพลางมองสำรวจนางอย่างระมัดระวัง
“เงยหน้าขึ้น”
มู่ไป๋ไป่ทำตามคำสั่งอย่างเชื่อฟังและสบสายตาเย็นชานั้นทันที
เธอพบว่าพ่อคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลามากจริง ๆ
แม้ว่าดวงตาของเขาจะเย็นชาไปสักหน่อย แต่มันก็ไม่อาจกลบความหล่อบนใบหน้าโดยรวมทั้งหมดได้อยู่ดี
คิ้วหนา จมูกโด่ง ริมฝีปากเป็นกระจับสวยล้วนขับให้เจ้าตัวยิ่งดูสง่างาม คงมีดวงตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่แสดงออกถึงความเย่อหยิ่งไม่แยแสต่อโลก
ได้มีพ่อที่หน้าตาหล่อเหลาเอาการขนาดนี้ การทะลุมิติมาในยุคโบราณของฉันก็นับว่าไม่ได้แย่มากนัก
ถึงแม้ว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาจะเป็นอัมพาตไปสักหน่อยก็เถอะ…
ในเวลาเดียวกัน มู่เทียนฉงก็มองคนตัวเล็กด้วยสายตาคล้ายมองเห็นสิ่งแปลกใหม่
ต่อมา เขาก็ยื่นมือออกไปบีบแก้มของเด็กหญิงอย่างเฉยเมย
มู่ไป๋ไป่พยายามฝืนยิ้มถึงแม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวด ปัจจุบันการทำหน้าตาให้น่ารักเพื่อเอาชีวิตรอดนั้นสำคัญยิ่งกว่าความเจ็บปวดที่ได้รับ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน รอยนิ้วมือสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็ก ๆ อีกทั้งยังมีรอยเล็บจิกลงในเนื้ออีกด้วย
“เหตุใดใบหน้านี้ถึงได้บอบบางนัก?”
เสนาบดีที่อยู่ด้านข้างรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าและอธิบายว่า “องค์หญิงหกยังเด็กพ่ะย่ะค่ะ จึงทำให้ผิวกายอ่อนนุ่ม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่นางไม่สามารถทนพระหัตถ์ที่แข็งแรงของพระองค์ได้”
ทนมือไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
เมื่อมู่เชียนได้ยินแบบนั้น นางก็ยื่นมือออกไปหมายจะบีบหน้าอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้ว่านังเด็กคนนี้จะทนกับการถูกบีบหน้าได้มากแค่ไหน
พอมู่เทียนฉงปล่อยมือ มู่ไป๋ไป่ก็รีบก้าวถอยให้ห่างองค์หญิงใหญ่และพยายามทำตัวให้เล็กลีบที่สุดโดยที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
หากมู่เชียนบีบหน้าเธอละก็ ใบหน้าของเธอคงจะถูกบีบจนบี้ไม่ต่างจากลูกฟุตบอลที่กิ่วลม นอกจากนี้อีกฝ่ายคงจะไม่มีวันปล่อยมือจนกว่าเธอจะร้องไห้
เมื่อองค์หญิงใหญ่เห็นว่าเป้าหมายหลบหลีกออกไป นางก็ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกคนโดยไม่ยอมแพ้เช่นกัน
พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าตนกำลังจะถูกบีบหน้าอีกครั้ง เธอก็รีบไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังมู่เทียนฉงประหนึ่งกำลังวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด แล้วคว้าแขนของเขาเอาไว้โดยโผล่ดวงตาออกมามองคนที่กำลังจะทำร้ายตน
เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้มู่เชียนอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง นางพูดอะไรไม่ออกในขณะที่นางชี้นิ้วไปที่องค์หญิงหก
ไอ้ตัวเล็กนั่นกำลังทำอะไร! นางกล้าคว้าแขนเสด็จพ่อไปกอดไว้อย่างนั้นหรือ!?
นี่นางบ้าไปแล้วหรืออย่างไร!
เสด็จพ่อเป็นคนที่รักความสะอาดมาก เขาไม่เคยยอมให้ใครแตะต้องตัวเขาง่าย ๆ โดยเด็ดขาด!
ตอนนี้หญ้าบนหลุมศพของคนสุดท้ายที่กล้าแตะต้องตัวเขานั้นสูงท่วมหัวของนางไปแล้วด้วยซ้ำ
ในขณะที่มู่เชียนกำลังคิดหาวิธีให้มู่ไป๋ไป่ตายเป็นร้อย ๆ วิธี…
ไม่มีใครคาดคิดว่านอกจากมู่เทียนฉงจะไม่โกรธแล้ว เขายังดึงองค์หญิงหกมาตรงหน้าเขาด้วย “ทำไมเจ้าต้องหลบด้วย?”
“หากเสด็จพี่หยิกหม่อมฉัน หม่อมฉันต้องเจ็บแน่” มู่ไป๋ไป่เอ่ยออกไปอย่างแผ่วเบา
ชายผู้เป็นฮ่องเต้เลิกคิ้วถามต่อไปว่า “แล้วตอนที่เราบีบหน้าเจ้า เจ้าเจ็บหรือไม่?”
“ถ้าเป็นท่านพ่อ หม่อมฉันไม่เจ็บ”
ความหมายที่แฝงในคำพูดของเด็กหญิงก็คือ ‘พ่อของข้าเป็นคนอ่อนโยน แต่พี่สาวของข้าไม่อ่อนโยน ข้ารักท่านพ่อแต่ข้าไม่รักพี่สาว’
เจ้าตัวเล็กนี้ช่างปากหวานเสียจริง
ความคิดนั้นทำให้ชายผู้อยู่เหนือทุกคนมองไปที่มู่ไป๋ไป่ด้วยสายตาที่อ่อนลงเล็กน้อย
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: น้องมีพลังพิเศษด้วย ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ แถมท่านพ่อก็เริ่มใจอ่อนบ้างแล้ว งานนี้มีบันเทิงแน่