บทที่ 3: เช่นนั้นท่านพ่อก็ลงโทษหม่อมฉันเถอะ
ขณะนี้ใบหน้าของมู่เชียนเปลี่ยนสี การกระทำของมู่ไป๋ไป่ทำให้นางต้องอับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย
มู่ไป๋ไป่ ข้าจะจดจำความแค้นในครั้งนี้เอาไว้!
แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเสด็จพ่อ? มู่ไป๋ไป่วางยาเสน่ห์ชนิดใดกับเสด็จพ่อของนางกัน?
เหตุใดเสด็จพ่อถึงไม่โกรธในตอนที่นางจับมือเขา?
มิหนำซ้ำ เขายังเอ่ยปากถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีก!
นี่ไม่ใช่เสด็จพ่อผู้เด็ดขาดอย่างที่เคยเป็น!
เวลานี้ดวงตาของมู่เชียนฉายแววอาฆาต นางจับจ้องไปที่มู่ไป๋ไป่ด้วยสายตากินเลือดกินเนื้ออยากจะฉีกทึ้งอีกฝ่ายออกเป็นชิ้น ๆ เสียเดี๋ยวนั้น
ทว่าสิ่งที่เด็กหญิงไม่คาดคิดก็คือ เด็กคนนั้นหันมาจ้องตานางกลับ
ยามนี้มู่เทียนฉงไม่ทันได้สังเกตเห็นการวิวาทกันผ่านสายตาของลูกสาวทั้ง 2 ในขณะที่เขากล่าวว่า “วันนี้เจ้าบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม เราจะลงโทษเจ้า เจ้ากลัวหรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ในเรื่องนี้เธอเป็นเหยื่อ และเธอก็ถูกหลอกให้มาที่นี่
มันควรเป็นคนที่วางแผนที่สมควรจะถูกลงโทษ!
แต่ตอนนี้ท่าทีของผู้เป็นฮ่องเต้ที่มีต่อเธอนั้นดูเหมือนจะอ่อนโยนลงแล้ว หากจู่ ๆ เธอโพล่งไปว่ามู่เชียนใส่ร้ายตน ไม่เพียงแต่ฝ่าบาทจะไม่ฟังเท่านั้น เขาอาจจะตำหนิที่เธอใส่ร้ายลูกสาวสุดที่รักของเขาด้วย
เด็กหญิงจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับน้อย ๆ ขณะมือขาวนวลที่ดึงเสื้อคลุมมังกรของบิดายังคงกำแน่น “เช่นนั้นท่านพ่อก็ลงโทษหม่อมฉันเถอะ…”
ในน้ำเสียงของเจ้าตัวเล็กมีร่องรอยของความโกรธเจืออยู่ไม่น้อย
แล้วใครจะไปทนกับท่าทางนั้นได้กัน?
หัวใจของมู่เทียนฉงสั่นไหว ตอนแรกเขาที่คิดอยากจะลงโทษนางรู้สึกหนักใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินนางเปิดปากพูดออกมาเช่นนั้น เขาก็รู้สึกใจอ่อนจนไม่กล้าที่จะลงโทษอีกฝ่าย
แล้วฮ่องเต้หนุ่มก็เงียบลงสักพักก่อนจะพูดออกมาว่า
“ในวังมีสหายร่วมเรียนกับองค์หญิงอยู่หลายคน เจ้าโตป่านนี้แล้วยังไม่ได้เข้าสำนักศึกษาเลย จากนี้ไปให้เจ้าไปศึกษาเล่าเรียนกับองค์หญิงใหญ่ ให้องค์หญิงใหญ่คอยดูแลเจ้า แล้วบทลงโทษที่เรามอบให้เจ้าก็คือคัดพระคัมภีร์”
“...”
“...”
ในสายตาของคนนอก นี่มันไม่ใช่การลงโทษ มันเป็นการประทานรางวัลเสียมากกว่า
แต่ในมุมมองของมู่ไป๋ไป่ นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย
ถ้าเธอจะต้องไปร่ำเรียนกับมู่เชียน ปล่อยให้เธอถูกเสือกินยังจะดีเสียกว่า!
เด็กคนนั้นจะต้องหาวิธีกลั่นแกล้งให้เธอต้องอับอายอย่างแน่นอน แล้วเธอก็จะต้องตกที่นั่งลำบากเพราะกลอุบายใหม่ ๆ ของอีกฝ่ายทุกวัน จนกระทั่งนางอาจจะฆ่าเธอและฝังร่างเอาไว้ในที่ที่ไม่มีใครสังเกตเห็นโดยที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ก็เป็นได้
อีกทั้งเธอก็ถูกสั่งให้คัดพระคัมภีร์ด้วย เด็กอายุเพียง 4 ขวบครึ่งจะรู้อักษรกี่ตัวกัน? แม้แต่จะให้จับพู่กันเขียนหนึ่ง, สอง, สาม, สี่, ห้าก็ยังไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ บทลงโทษนี้ช่างหนักหนามากจริง ๆ!
นอกจากนี้ยังมีองค์หญิงใหญ่ผู้มีจิตใจคับแคบคอยดูแลการคัดพระคัมภีร์อีก… ถ้าเธอเขียนได้ไม่ดี เธอจะไม่ถูกพี่สาวคนนี้ทุบตีจนตายเลยหรือ?
เมื่อมู่ไป๋ไป่คิดถึงเรื่องนี้ ขนทั่วทั้งร่างก็พากันลุกซู่ เพราะดูท่ามู่เชียนจะมีวิธีฆ่าเธอได้เป็นพัน ๆ วิธี
หลังจากเด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงใหญ่ บนใบหน้าของอีกฝ่ายก็เหมือนจะถูกเขียนเอาไว้ว่า ‘เจ้ากำลังตกอยู่ในกำมือของข้า’ และ ‘คอยดูเถอะ!’
มันทำให้เด็กน้อยต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอเสียงดังเอื๊อก
ดูเหมือนว่าถนนที่ทอดสู่วังหลวงนั้นจะยาวไกลยิ่งนัก…
ถัดมา เด็กหญิงผงกหัวเล็ก ๆ ขึ้นลงด้วยท่าทางเชื่อฟังเต็มที่ “เพคะ ท่านพ่อ หม่อมฉันจะตั้งใจคัดพระคัมภีร์ให้ดี”
มู่เทียนฉงไพล่มือไปที่ด้านหลังแล้วมองดูเด็กหญิงตัวเล็กตรงหน้าด้วยดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่ง
เป็นเด็กดียิ่งนัก
อีกทั้งนางก็ดูน่ารักมาก
จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้าว่า “ทหาร พวกเจ้าไปส่งองค์หญิงหกกลับไปยังตำหนักของนาง เชียนเชียน เจ้าเองก็พาคนติดตามของเจ้ากลับตำหนักของตัวเองไปก่อน เรายังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ”
ฉับพลัน ใบหน้าที่เคยถมึงทึงของมู่เชียนก็เหี่ยวเฉาเหมือนมะเขือยาวถูกเผาไฟ
ชั่วครู่หนึ่ง ความรู้สึกขัดใจ ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยาและความโกรธก็พุ่งเข้ามาในหัวใจของนาง
เหตุใดเสด็จพ่อถึงสั่งให้คนไปส่งมู่ไป๋ไป่ถึงตำหนัก?
แต่ตัวนางกลับไม่มีใครไปส่งเลย? ...ทำไม!
วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเสด็จพ่อ! เดิมทีนางเป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานมากกว่าใคร ๆ ในบรรดาพี่น้อง! แต่วันนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปเสียหมด
มู่เชียนกัดฟันพร้อมกับดวงตาที่มืดมนเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้าย หากสายตาของนางสามารถฆ่าคนได้ มู่ไป๋ไป่คงจะถูกเชือดเฉือนจนตายไปหลายครั้งแล้ว
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ที่เห็นสีหน้าราวกับคนท้องผูกของผู้เป็นพี่สาว เธอก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา
สะใจจริง ๆ ที่ได้เห็นนางโกรธจนทนไม่ไหวแต่ก็ทำอะไรฉันไม่ได้อยู่ดี ฮ่าๆๆ!
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่ทำความเคารพฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินตามทหารรักษาพระองค์ไปทีละก้าว
ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวไปได้เกิน 3 ก้าว มู่เชียนก็ตะโกนตามหลังเธอมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “น้องหก เจอกันพรุ่งนี้!”
มู่ไป๋ไป่หันกลับไปก่อนจะขยิบตาข้างหนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงยียวนว่า “ไว้เจอกันพรุ่งนี้น้า~”
คนทำผิดจะต้องถูกลงโทษ ถึงแม้ว่าลึก ๆ ในใจจะรู้สึกกลัว แต่เธอจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด!
เมื่อมู่เชียนเห็นท่าทางยียวนกวนประสาทของอีกฝ่าย นางก็ถูกความโกรธครอบงำจนร่างแทบจะระเบิด และนางก็กระทืบเท้าอย่างขัดใจ
หลังจากใช้เวลาเดินเลี้ยวไปตามถนนอยู่พักหนึ่ง มู่ไป๋ไป่ก็ได้เห็นกับตาตัวเองเป็นครั้งแรกว่าวังหลวงแห่งนี้ใหญ่โตมากเพียงใด
อิฐทุกก้อน กระเบื้องทุกแผ่นดูเหมือนจะทำจากทอง เงินและอัญมณี ทั้งวังนั้นถูกตกแต่งคล้ายกับสรวงสวรรค์ มีกำแพงเป็นสีแดง กระเบื้องสีเหลืองดูงดงามอลังการ
หลังจากที่เด็กหญิงกลับมาถึงตำหนักของตนเอง เธอก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
เดิมทีเธอคิดว่าตอนนี้ตัวเองมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง ที่พักของเธอจะต้องหรูหราโอ่อ่าใช่หรือไม่? แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะมีสถานที่เหมือนที่พักของขอทานอยู่ในวังหลวงใหญ่โตมโหฬารแห่งนี้ด้วย
ประตูหน้าต่างของตำหนักทรุดโทรม พอโดนลมพัดก็มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่าสยดสยองดังขึ้น อีกทั้งตามมุมผนังแทบจะทุกตารางนิ้วก็มีใยแมงมุมอยู่เต็มไปหมด และเนื่องจากช่วงนี้เข้าหน้าฝนมาได้ไม่นาน จึงทำให้ชายคาทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยราดำหนาทึบ
ในตำหนักอื่น ๆ นั้นถูกตกแต่งอย่างประณีต คล้ายกับเป็นสถานที่พำนักของเทพมังกร
แต่ตำหนักของมู่ไป๋ไป่คนนี้กลับทรุดโทรม และว่างเปล่าไร้ของตกแต่งอันล้ำค่าเหมือนตำหนักอื่น ๆ
แค่เพียงก้าวผ่านกำแพงกั้นเล็ก ๆ นี้ มันเหมือนกับว่าเธอได้ก้าวผ่านโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จากนั้นเด็กหญิงก็เดินไปเปิดประตูห้องนอนของตัวเอง ก่อนที่อากาศหนาวเย็นจะพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของเธอ
เมื่อกวาดตามองไปทั่วห้องก็พบเพียงโต๊ะ, ม้านั่งยาว, ผ้าห่มผืนบาง, ชุดถ้วยชามที่ขอบปากบิดเบี้ยว ส่วนที่เหลือเป็นของที่แตกหักและตะเกียบคู่หนึ่งที่ซ่อนอยู่ใต้เตียง
โทรมมาก!
นี่เธอเป็นถึงองค์หญิงไม่ใช่หรือ ดูเหมือนว่าพ่อของเธอจะขี้เหนียวเกินไปแล้ว!
ในขณะที่เด็กน้อยกำลังจะนั่งลง ก็มีหนูตัวอ้วนตัวหนึ่งวิ่งมาใต้เท้าของเธอ มันวิ่งไปที่รูขนาดใหญ่บนกำแพงแล้วก็คลานออกไป
หนูตัวนั้นดูอ้วนท้วนสมบูรณ์ ตัวใหญ่ยิ่งกว่าแมวด้วยซ้ำ
“...”
พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าเริ่มสายมากแล้ว เธอจึงลงมือทำความสะอาดตำหนักของตัวเอง
โครกคราก~
แล้วท้องของเด็กหญิงก็เริ่มคำราม
ในขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้น จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
ก๊อก ๆ!
ร่างเล็กอดไม่ได้ที่จะเกร็งตัวขณะตะโกนถามออกไปว่า “นั่นใครน่ะ!?”
“นังเด็กบ้า ได้เวลากินข้าวแล้ว!” หากฟังจากน้ำเสียงก็สามารถบอกได้เลยว่าคนที่มานั้นให้ความเคารพกันมากแค่ไหน
“นังเด็กบ้าอย่างนั้นหรือ?”
มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเอง นี่อีกฝ่ายกำลังเรียกเธอหรือไม่?
พอคิดถึงตำหนักที่เหมือนวัดร้างแห่งนี้ เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของร่างเดิม
มันคงเป็นพวกขี้ข้าที่เห็นว่านางเป็นองค์หญิงที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจึงกล้ารังแกกัน เธอที่เข้ามาสิงร่างนี้จึงต้องอยู่ในตำแหน่งที่น่าสังเวชเช่นนี้
“รู้แล้ว เจ้าวางไว้ที่หน้าประตูได้เลย”
มู่ไป๋ไป่ถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
“บ้าชะมัด ทำไมข้าจะต้องโชคร้ายมาส่งอาหารให้นังเด็กบ้านี่ทุกวันกันนะ!”
ว่าไงนะ?
อะไรที่ว่าโชคร้าย?
ทันใดนั้นเด็กหญิงก็ยืดตัวตรง พร้อมกับดวงตาที่เคยสดใสของเธอเปลี่ยนเป็นเย็นชา
เธอเป็นถึงองค์หญิงที่สูงศักดิ์ แล้วคนรับใช้ที่ต่ำต้อยพวกนี้จะกล้าดูถูกเธอได้อย่างไร?
ทันทีที่ขันทีวางอาหารเย็นของมู่ไป๋ไป่ไว้ที่พื้นหน้าประตู เขาก็จ้องมองเด็กน้อยด้วยสายตารังเกียจ และกลัวว่าเนื้อตัวของตนนั้นจะแปดเปื้อนความโชคร้ายของนางเข้า
“แค่หมั่นโถวเองหรือ?”
ครั้นมู่ไป๋ไป่ก้าวเท้าพ้นประตูออกไป เธอก็เห็นชามที่วางอยู่แทบเท้าของตัวเอง ในนั้นมีหมั่นโถว 2 ลูก และมีผักกาดขาว 1 ชาม ซึ่งหน้าตาอาหารที่ได้เห็นนั้นไม่ทำให้เธอรู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย
เด็กหญิงแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่านี่คือสิ่งที่องค์หญิงลำดับที่ 6 ของราชวงศ์กิน
ไม่ว่ามู่ไป๋ไป่จะไม่ได้รับความโปรดปรานมากเพียงใด แต่เธอก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์อยู่ดี แล้วทำไมเธอถึงได้กินอาหารที่แย่ยิ่งกว่าอาหารสุนัขเสียอีก แม้แต่สุนัขก็ยังมีน้ำแกงให้ได้ซดให้อุ่นท้อง
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมร่างนี้ที่มีอายุเพียง 4 ขวบครึ่งกลับมีร่างกายผอมแห้งถึงเพียงนี้
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: สภาพตำหนักน้องคือโทรมมาก แล้วอาหารก็อย่างกับคนคุก อันนี้ก็เกินไป๊!