บทที่ 19 หมู่บ้านลั่ว
บทที่ 19 หมู่บ้านลั่ว
ท่ามกลางสายลมแผ่วเบา ร่างของหลินหลี่เคลื่อนไหวไปทางทิศใต้ด้วยความรวดเร็ว ร่างเขาวูบไหวผ่านป่า แต่ละก้าวเขาข้ามระยะทางเป็นกิโลเมตรโดยไม่ติดขัดใดๆ จากต้นไม้หรือพุ่มไม้
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เขาเดินออกจากชายป่าอย่างโล่งใจ เบื้องหน้าคือพื้นที่แห้งแล้ง และมีเส้นทางเล็กๆ ข้างๆ น่าจะเป็นทางสำหรับรถม้าหรือผู้เดินทาง นอกเหนือจากนั้นยังมีไร่นาที่กว้างขวางอีกด้านของเส้นทาง และมีถนนเล็กๆ พาดผ่านไร่นาไปจนถึงหมู่บ้านที่อยู่ไกลออกไป หลินหลี่มองเห็นกลุ่มบ้านเรือนเล็กๆ ปรากฏขึ้นที่มุมทางเดินแต่ละสาย ดูราวกับเป็นหมู่บ้านเล็กๆ
หลินหลี่เดินตามทางไปยังหมู่บ้านนั้น พลางมองไปที่ทุ่งข้าวสาลีสุกงอมรอบๆ ตัวเขา เขารู้สึกแปลกใจที่ข้าวสาลีแต่ละเม็ดใหญ่ขนาดเท่าหัวแม่มือ
“นี่คือพลังแห่งฟ้าและดินอย่างแท้จริง ที่สามารถส่งเสริมและพัฒนาพืชผลได้เช่นนี้” หลินหลี่ครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจ
เมื่อใกล้ถึงหมู่บ้าน เขาหยุดข้างชายชาวนาที่กำลังทำงานในทุ่งกว้าง คนนั้นนั่งเก็บเกี่ยวข้าวอยู่ หลินหลี่จึงเอ่ยขึ้น “ขอโทษนะ”
ชาวนาเป็นชายวัยกลางคน ร่างใหญ่แข็งแรง ผิวสีน้ำผึ้ง และผมสั้น เขาหยุดทำงานและลุกขึ้นยืน มองหลินหลี่ด้วยความประหลาดใจที่เห็นเครื่องแต่งกายของเขา จากนั้นจึงเดินเข้ามาหาและถามด้วยความสงสัย “นายท่านต้องการอะไรหรือ?”
หลินหลี่นิ่งงัน 'ทำไมถึงเรียกข้าว่านายท่าน?' เขาไม่ใส่ใจแล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ท่านพอจะบอกทิศทางไปยังเมืองใหญ่ใกล้ๆ นี้ได้ไหม?”
ชาวนานั้นดูตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าและชี้ไปทางทิศตะวันออก “นายท่านสามารถไปทางทิศตะวันออกได้ ไม่นานท่านจะถึง ‘เมืองหลวงช้างทองคำ’”
หลินหลี่พยักหน้ารับอย่างสงบ ขอบคุณชาวนา แล้วจึงหันหลังเดินไปตามเส้นทาง
“นายท่าน รอก่อน” ชาวนานั้นร้องเรียกเขา
หลินหลี่หันกลับมามองด้วยความสงสัยพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น
ชาวนานั้นลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “นายท่าน หากท่านจะไปเมืองหลวง ท่านสามารถไปพร้อมกับข้าและคนในหมู่บ้านได้ ข้าจะนำผลผลิตและสมุนไพรไปส่งที่นั่น ท่านสามารถพักที่บ้านของข้าได้” เขากล่าวด้วยความจริงใจ
หลินหลี่รู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะมองชายคนนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ 'ก็ไม่เลว ข้าจะได้ถามอะไรเกี่ยวกับอาณาจักรนี้เพิ่ม' เขาจึงพยักหน้ารับอย่างใจเย็น และเดินเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมกับชาวนา
“ข้าชื่อลั่วจิน หมู่บ้านของข้าชื่อหมู่บ้านลั่ว” ชาวนาผู้นั้นแนะนำตนเองด้วยใบหน้าจริงจัง
หลินหลี่พยักหน้าแล้วแนะนำตัวกลับ “ข้าชื่อหลินหลี่ มาจากตระกูลหลิน”
ลั่วจินดูตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะเงียบลง 'ตระกูลงั้นรึ? เฉพาะผู้ฝึกยุทธขั้นสูงเท่านั้นที่สามารถก่อตั้งตระกูลได้ นายท่านผู้นี้คงเป็นผู้ฝึกยุทธแน่ แต่ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีตระกูลหลินอยู่ใกล้ๆ นี้' เขาเก็บความสงสัยไว้ แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมาจากที่ใดหรือ ข้าไม่เคยเห็นเนื้อผ้าแบบนี้มาก่อน”
หลินหลี่นิ่งงันเล็กน้อย ก่อนตอบกลับอย่างสงบ “ข้ามาจากอาณาจักรใกล้เคียง”
ลั่วจินพยักหน้าอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเดินนำทางต่อ และบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านและอาณาจักรนี้ให้หลินหลี่ฟัง
เมื่อเดินเข้าไปในหมู่บ้าน หลินหลี่สังเกตเห็นว่าทุกสิ่งดูเก่าแก่และเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ขณะที่ชาวบ้านเดินผ่าน พวกเขาต่างก้มตัวและทำความเคารพลั่วจิน เขาจึงคิดในใจว่า 'ดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านนี้'
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในบ้าน ลั่วจินให้หลินหลี่นั่งในห้องรับแขกก่อนเดินจากไป
ไม่นานนัก เด็กหญิงอายุราว 13 ถึง 14 ปี ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมถาดใส่ชามซุป “นี่นายท่าน ซุปสดๆ ขอเชิญดื่ม” เธอพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำและเขินอาย วางถาดลงบนโต๊ะ
หลินหลี่พูดไม่ออกเมื่อเห็นท่าทีของเธอ 'นี่หรือคือเด็กสาวผู้เขินอายแห่งหมู่บ้าน' เขาจึงยกชามขึ้นพร้อมกับสูดกลิ่นหอม “หอมจริงๆ” เขายิ้มและกล่าวขอบคุณ
เขาดื่มซุปอย่างช้าๆ และรู้สึกถึงรสชาติสดใหม่ของพืชผลและเนื้อสัตว์ “อร่อยมาก” เขากล่าวด้วยความประหลาดใจ
เด็กหญิงพยักหน้ารับและพูดอย่างเขินอาย “ข้าชื่อลั่วลี่ บิดาข้าบอกว่า หากนายท่านต้องการสิ่งใด สามารถบอกข้าได้”
หลินหลี่พยักหน้า 'เป็นลูกสาวของเขานี่เอง' เขามองไปที่เด็กหญิง เธอเป็นสาวน้อยที่งดงาม มีใบหน้าเรียวรูปไข่ ผิวสีน้ำผึ้งเหมือนบิดาของเธอ รูปร่างผอมเพรียว สวมใส่เสื้อผ้าแบบโบราณที่ดูเก่าเล็กน้อย ผมยาวถูกหวีเรียบร้อยพร้อมปอยผมที่ตกลงมาข้างใบหน้า
'เธอดูมีเสน่ห์ในแบบของเธอเอง' หลินหลี่คิดในใจ
ลั่วลี่รู้สึกเขินอายอย่างมากเมื่อเห็นหลินหลี่จ้องมอง รีบวิ่งออกจากห้องไป หลินหลี่มองตามหลังเธออย่างพูดไม่ออก 'ข้าไม่ได้คิดจะกินเธอเสียหน่อย'
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็ตกไปอยู่ที่ร่างเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่หลังประตู แอบมองเขาอยู่
หลินหลี่จ้องมองกลับไป ทันใดนั้น ร่างนั้นก็รีบวิ่งหนีไป 'ดูเหมือนข้าจะเป็นสัตว์ประหลาดกินเด็กเสียแล้ว' เขาคิดพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ
...
หลินหลี่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย 'ทำไมเด็กน้อยคนนี้ถึงเอาแต่จ้องมองข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า?' จากนั้นเขานึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ ร่างของเขาหายวับไปในพริบตา
"เอ๊ะ!" เด็กหญิงสะดุ้งด้วยความตกใจ รีบโผล่ตัวออกมา เธอวิ่งเข้ามาในห้องรับแขกด้วยขาสั้น ๆ ผมหางม้าสองข้างสั่นไหวตามจังหวะ เธอจ้องมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัยและตื่นเต้น
“เจ้ากำลังมองหาอะไรอยู่หรือ น้องสาวน้อย?” เสียงหนึ่งดังขึ้นทันทีจากด้านหลังของเธอ ทำให้เธอกระโดดตัวลอยด้วยความตกใจ "อ๊าาา!"
เด็กหญิงเริ่มร้องไห้ น้ำตาเอ่อเต็มดวงตาของเธอขณะมองหลินหลี่อย่างหวาดกลัวปนด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย
“อย่าร้องไห้เลย นี่ เจ้าจงรับไป” หลินหลี่มองดวงตาเปี่ยมน้ำตาของเธอด้วยความรู้สึกผิด เขาคว้าอัญมณีสีสันสดใสจากที่เก็บของ (ซึ่งเขาได้มาหลังจากสังหารอสรพิษปีศาจขั้นต้นในป่า) และยื่นให้เด็กหญิงคนนั้น
ดวงตาของเด็กหญิงสว่างขึ้นราวกับดวงดาว เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะคว้ามันมา แล้วรีบวิ่งออกจากห้องรับแขกไป
หลินหลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกลับไปนั่งดื่มซุปที่เหลือจนหมด
หลังจากดื่มซุปเสร็จ เขานั่งเอนหลังและหลับตาลงพักผ่อน
ไม่นานนัก เด็กหญิงคนเดิมก็กลับมา เธอยืนอยู่ข้างหน้าเขาด้วยท่าทีลังเล
หลินหลี่ลืมตาขึ้น มองเด็กหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าสลดเล็กน้อย เขานั่งตัวตรงขึ้น ยกคิ้วเล็กน้อยแล้วลูบหัวเธอ ถามด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ น้องสาวน้อย?”
“พี่ชาย คนเลวพวกนั้นมาที่นี่แล้ว พวกเขาจะพาตัวพี่สาวข้าไป ช่วยพี่สาวของข้าด้วยนะ ข้าจะให้นี่เป็นของตอบแทน” เด็กหญิงพูดเสียงเบา น้ำตาคลอเบ้า ยื่นของเล่นไม้ในมือมาให้หลินหลี่
หลินหลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขามองไปที่ของเล่นในมือเธอด้วยความคิดคำนึง จากนั้นจึงลูบหัวเธอเบา ๆ เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าเธอ และยิ้มให้ด้วยความมั่นใจ “ไม่ต้องห่วง พี่สาวของเจ้าจะปลอดภัยแน่นอน ว่าแต่เจ้าน่ะชื่ออะไรหรือ?” เขาถามด้วยความสงสัย
เด็กหญิงดูตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยยิ้มของหลินหลี่ ใบหน้าของเธอแดงขึ้นเล็กน้อย เธอตอบเสียงเบา ๆ ด้วยความเขินอาย “ข้าชื่อลั่วมี่ พี่ชาย”
หลินหลี่พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นเด็กหญิงแสดงท่าทางขี้อายอีกครั้ง จากนั้นเขาใช้พลังรับรู้ทางจิตของตนตรวจสอบสถานการณ์ภายนอก
‘ระดับนักรบขั้น 10 กับนักรบขั้น 5’ เขาครุ่นคิด
“ไปกันเถอะ” เขาจับมือลั่วมี่เดินออกไปข้างนอก
ที่หน้าบ้านลั่ว
“ลูกข้า!” หญิงวัยกลางคนกำลังนั่งอยู่ข้างโลงศพ ร้องไห้คร่ำครวญอย่างปวดร้าว มีร่างของชายหนุ่มนอนอยู่ภายในโลง ลั่วลี่เองก็นั่งร้องไห้อยู่ข้างโลง กระซิบกระซาบกับศพของพี่ชายว่า “พี่ชาย…”
ลั่วจินยืนอยู่ข้างร่างไร้วิญญาณของลูกชายด้วยสีหน้าเศร้าสลด แต่สายตาของเขาจ้องมองไปที่ชายหนุ่มวัยประมาณ 20 ปีซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า และมีชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหลังชายหนุ่มผู้นั้น
“ลูกชายของเจ้าโง่เขลา เขาไม่ควรลบหลู่ฮูหยินรอง เขาถูกลงโทษด้วยการทุบตีจนตาย และข้ามาที่นี่เพื่อทำลายครอบครัวของเจ้า เพราะบ่าวที่ดีควรตระหนักในสถานะของตน หากตระกูลซือหม่าไม่สร้างบทเรียนให้ดู สุดท้ายพวกบ่าวก็จะขึ้นมาหัวเรา” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเย็นชา ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวธรรมดาๆ จากนั้นเขาก็ปรายตามองลั่วลี่ ก่อนจะออกคำสั่งแก่ชายชราข้างกาย
“เฒ่าหยาว ข้าจะมอบเรื่องนี้ให้ท่าน อย่าทำลายหญิงสาวนั่น ส่วนที่เหลือทำลายทิ้งให้หมด”
ชายชราที่ชื่อเฒ่าหยาวพยักหน้า ยกมือขึ้นและเริ่มปลดปล่อยพลังออกมา
สีหน้าของลั่วจิน ลั่วลี่ และมารดาของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่ร้องไห้อีกต่อไป ต่างตกตะลึงด้วยความสิ้นหวัง
ชาวบ้านที่ยืนมองเหตุการณ์รอบๆ ต่างพากันหน้าซีดเผือด ความสิ้นหวังปกคลุมบรรยากาศ ‘หมู่บ้านของเราคงจบสิ้นแล้ว’
แต่ในวินาทีต่อมา ทุกคนก็หยุดนิ่ง สายตาของชายหนุ่มตระกูลซือหม่าและเฒ่าหยาวเปลี่ยนไปทันที
ทันใดนั้น พลังอันหนักหน่วงกดทับลงบนร่างของพวกเขา
พรึ่ด!!!
ทั้งชายหนุ่มและเฒ่าหยาวกระอักเลือดออกจากปาก ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น และเริ่มไอเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง
‘ระดับก่อกำเนิด’ ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของทั้งสองคน...
...จบบท...