ตอนที่แล้วบทที่ 18 ดาวห้าดวงเรียงกัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 20 ฉันยังไหวอยู่

บทที่ 19 ถ้าไม่ใช่ความบังเอิญล่ะ?


บทที่ 19 ถ้าไม่ใช่ความบังเอิญล่ะ?

“ชื่อ”

“ไป๋อวี้”

“อายุ”

“สิบเจ็ด”

“เชื้อชาติ”

“ฮั่น”

“...” ไอหลี่ เงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง “เธอนี่ไม่เรียนรู้เลยหรือไง? ทำไมยังตอบผิดเหมือนครั้งก่อนอีก?”

“ฉันแค่คิดว่าฉันมาทำบันทึกครั้งที่สองแล้ว ยังต้องทำตามขั้นตอนเดิม ๆ แบบนี้มันน่าเบื่อมากนะ คุณไอ” ไป๋อวี้ยกมือขึ้นด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย

“ขั้นตอนก็คือขั้นตอน” ไอหลี่แค่นเสียงเบา ๆ “บอกมาว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ก็แค่พื้นเกิดรอยแยก ฉันเกือบจะเหยียบมัน แต่หาวนรสู้  ผลักฉันออกไปช่วยฉันไว้ จากนั้น...” ไป๋อวี้เล่าเรื่องคร่าว ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงแรก “หลังจากนั้นฉันก็กระโดดลงไปในรอยแยก พบว่าหาวนรสู้หมดสติอยู่ แล้วฉันก็พาเธอไปซ่อน”

“เธอไม่เห็นอสูรปอบเหรอ?”

“ไม่เห็นจริง ๆ แต่ได้ยินเสียงต่อสู้กับเสียงปืนน่ะ” ไป๋อวี้รู้ดีว่าพูดมากจะเสียหาย เขาจึงยืนยันว่าไม่เห็น

ไอหลี่จดบันทึกลงไป โดยไม่แสดงอาการสงสัยมากนัก เพียงแต่ถามว่า “แล้วเกี่ยวกับคนคนนั้นล่ะ เธอไม่เห็นเลยเหรอ?”

ไป๋อวี้พยักหน้า

ไอหลี่ถามต่อด้วยความสงสัย “เธอไม่คิดจะลองแอบดูบ้างเหรอ?”

ไป๋อวี้ตอบกลับ “พูดตามตรงนะ ฉันได้ยินเสียงปืน รู้ว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่แถวนั้น ฉันจะยังกล้าไปดูอีกเหรอ? ต้องเป็นคนแบบไหนกันถึงจะมีจิตวิญญาณที่ยอมเสียสละขนาดนั้น?”

ไอหลี่คิดสักครู่แล้วก็พยักหน้า “นั่นสิ”

ไป๋อวี้พูดต่อ “แต่ฉันก็ได้ยินบางอย่างนอกจากเสียงปืนนะ”

“อะไรล่ะ?”

“ก่อนที่เสียงต่อสู้จะหยุดลง ฉันได้ยินคำว่า ‘ถึงเวลาเที่ยงวันแล้ว’”

“ถึงเวลาเที่ยงวัน?” ไอหลี่หูตั้งขึ้นมา หางของเธอกระดิก “วันนี้วันพฤหัสใช่ไหม?”

ไป๋อวี้: ? ไอหลี่: ? ทั้งสองคนดูเหมือนจะเข้าใจผิดกันอยู่เล็กน้อย

ในตอนนั้นเอง ผู้กองหลิวก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางอ่อนโยน “ทำบันทึกเสร็จแล้วใช่ไหม? อยากพักสักหน่อยไหม? ฉันสั่งข้าวหน้าหมูทอดไว้ เธอคงยังไม่ได้กินข้าวเย็นสินะ”

ไอหลี่ถามว่า “แล้วของฉันล่ะ?”

“อยู่บนโต๊ะทำงานของเธอ ไปหยิบเอาเอง” ผู้กองหลิววางข้าวหน้าหมูทอดลงและเปิดกล่องยื่นให้ไป๋อวี้ “กินตอนร้อน ๆ เถอะ...กินเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันพาเธอกลับบ้าน”

ไป๋อวี้จ้องมองข้าวหน้าหมูทอด ในใจเกิดความคิดว่า ควรยอมบอกเรื่องทั้งหมดออกไปดีไหม เขาเริ่มคิดว่าตัวเองโดนจับได้แล้ว

“ข้าวหน้าหมูทอดนี่...”

“ทำไมหรือ? ไม่ถูกปากเหรอ?”

“หรือว่าต่อไปจะมีการสอบสวนพิเศษ?”

“แค่ก แค่ก...” ผู้กองหลิวสำลักน้ำลายแล้วหัวเราะ “เธอคิดอะไรไปถึงไหนกัน พวกเราจะสอบสวนเธอทำไมล่ะ? หรือเธอไปทำอะไรผิดมา? หรือแอบจับขาเด็กสาวคนนั้น? ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนั้นหรอก ฉันจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับให้”

“ข้าวหน้าหมูทอดที่สถานีตำรวจฟุซัง   เป็นเหมือนสัญลักษณ์บอกใบ้เรื่องการสอบสวนอยู่บ่อย ๆ” ไป๋อวี้พูดอย่างระแวง “และฉันไม่ได้แตะต้องขาเธอเลยนะ”

“เธอนี่รู้เรื่องพวกนี้ดีมากนะ ที่นั่นเคยมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง” ผู้กองหลิวเอนหลังพิงเก้าอี้ “แต่ที่นี่คือต้าฮวา ไม่มีธรรมเนียมแบบนั้น และที่ฟุซังก็เลิกทำแบบนั้นไปนานแล้ว”

“จริงเหรอ?”

“ใช่ เพราะการให้ผู้ต้องสงสัยกินข้าวหน้าหมูทอดอาจทำให้ถูกมองว่ากดดันจิตใจหรือพยายามปิดปาก”

ไป๋อวี้จึงโล่งใจ เขาเริ่มรู้สึกหิวแล้วเปิดกล่องข้าวออกมากินเพื่อฟื้นฟูพลังงาน

ความเหนื่อยล้าจากการใช้จิตวิญญาณนักรบในครั้งนี้ไม่หนักเท่าครั้งก่อน อาจจะเพราะเขาฝึกฝนลมปราณใจมังกร  อยู่ ซึ่งลมปราณในร่างกายก็ถูกใช้ไปบางส่วนระหว่างการต่อสู้

ยิ่งเขามีพลังมากเท่าไร ก็ยิ่งสามารถควบคุมจิตวิญญาณนักรบให้ใช้พลังได้มากขึ้น

แม้ว่าเขาเพิ่งจะผ่านการต่อสู้ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แต่จิตใจของไป๋อวี้ก็ไม่ได้สั่นคลอนมากนัก หลังจากผ่านการฆ่าฟันที่โหดร้ายมามาก เขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกเงาครั้งนี้ก็เหมือนกับการออกไปสำรวจป่าดึกดำบรรพ์พร้อมกับดาบพับในมือเสียมากกว่า

เขาอยากไปผจญภัยอีกหลายครั้ง เพราะ…

【สังหารอสูรปอบระดับ 17】

【ได้รับลูกตาอสูรปอบ X1】

【ได้รับแต้มโชคชะตา 3 แต้ม】

【ระดับความเข้ากันได้ระหว่างคุณกับจิตวิญญาณนักรบเพิ่มขึ้น】

มีวัตถุดิบ มีรางวัล มีการเพิ่มระดับความเข้ากันได้…แค่ล่าสัตว์ประหลาดก็แข็งแกร่งขึ้นได้

หลังจากผู้กองหลิวเห็นว่าไป๋อวี้กินข้าวเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มคุยถึงเรื่องอื่น

“ทางเราพึ่งได้รับแจ้งว่าเพื่อนของเธอผ่าตัดเสร็จแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โต เธอทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ดี กระดูกของเธอไม่แตกมากไปกว่าเดิม กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เส้นเลือดและเส้นเอ็นไม่ได้ขาด หลังจากที่นักบำบัดเข้ามาดูแลไม่เกินสามวันก็จะออกจากโรงพยาบาลได้ และภายในหนึ่งสัปดาห์ก็จะเดินได้ตามปกติ ครึ่งเดือนก็หายดีแล้ว”

ไป๋อวี้ตกใจ “ไม่ใช่ว่าบาดเจ็บถึงกระดูกต้องพักฟื้นเป็นร้อยวันเหรอ?”

“ร้อยวันน่ะเหรอ? นั่นมันจะกระทบกับการสอบเข้ามหาลัยพอดี” ผู้กองหลิวพูด “ไม่ต้องห่วง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ขาหักเท่านั้น…ต่อให้ขาแขนขาด ถ้ามีเงินมากพอก็สามารถรักษาให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ถ้าไม่โดนที่จิตวิญญาณหรือเสียชีวิตในทันที ก็สามารถรักษาได้หมด ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอะไรเลย”

ไป๋อวี้: “...”

เขารู้สึกเหมือนมีพายุในหัวเขาและเริ่มมีมุมมองใหม่เกี่ยวกับระบบการแพทย์ของโลกนี้

เพราะในโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้ที่มีพลังในด้านการรักษาก็สามารถเร่งความสามารถในการฟื้นฟูของเซลล์ ทำให้การรักษาเป็นเรื่องง่าย เหมือนกับการใช้เวทย์ฟื้นฟูในเกมที่ช่วยให้ฟื้นฟูพลังชีวิตได้ในทันที

ไป๋อวี้เคี้ยวข้าวช้า ๆ แต่เขาเริ่มไม่รู้สึกถึงรสชาติของมันอีกต่อไป

ความรู้สึกห่างเหินเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง

เขารู้สึกว่าตัวเองยังรู้จักโลกนี้น้อยเกินไป บางความรู้ที่เคยเชื่ออาจต้องถูกแทนที่หรือทิ้งไป

หากก่อนหน้านี้ตัวเขาตกลงไปในรอยแยกของโลกเงาและโดนอสูรปอบซุ่มโจมตี เขาอาจจะไม่รอดชีวิตมาได้ หากบาดเจ็บที่แขนขาหรือศีรษะ เขาอาจไม่สามารถสู้ได้ง่ายขนาดนี้

หาวนรสู้ช่วยชีวิตเขาไว้ ถ้าไม่มีเธอ ตอนนี้เขาคงนอนอยู่ที่โรงพยาบาลหรือนอนในโลงไปแล้ว

โลกนี้ไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด แม้แต่ในยามบ่ายที่แสงอาทิตย์ส่องสว่างก็ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้…

“ว่าไปแล้ว เธอนี่โชคไม่ค่อยดีเลยนะ” ผู้กองหลิวหยิบปากกาขึ้นมาและเกาหัวด้วยด้ามปากกา “โลกเงาเนี่ย คนธรรมดาเจอครั้งหนึ่งในชีวิตก็ถือว่าแปลกแล้ว…”

ไป๋อวี้เงยหน้าขึ้น “หืม?”

...ฉันเพิ่งเตรียมใจว่าจะคิดว่าโลกนี้เป็นเรื่องปกติที่คนธรรมดาจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ นายจะมาบอกฉันว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ และมันเพราะฉันโชคร้ายเกินไปเหรอ?

ผู้กองหลิวถอนหายใจ “ลองคิดดูสิ คนธรรมดาจะมีโอกาสเจออุบัติเหตุบนท้องถนนสักกี่ครั้งในชีวิต?”

ไป๋อวี้ตอบ “ปกติก็ครั้งเดียว”

“นั่นแหละ”

“เพราะครั้งหนึ่งก็ทำให้คนตายได้แล้ว ไม่มีโอกาสได้เจอครั้งที่สอง”

ผู้กองหลิวชะงัก

“นี่มันเรียกว่าอคติของผู้รอดชีวิต” ไป๋อวี้ดื่มเครื่องดื่มที่ให้มาพร้อมกับข้าวก่อนจะเสริมต่อ

“โอเค ยกตัวอย่างผิดไปหน่อย” ผู้กองหลิวพูดต่อ “แต่หมายความประมาณนั้นล่ะ ประชากรเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จะไม่เจอเรื่องแบบนี้เลยในชีวิต อัตราการเกิดมันก็เหมือนกับโอกาสที่คนจะโดนรถชน มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่มี แต่ก็น้อยมาก ในต้าฮวามีเกิดปีละ...แค่สักหมื่นกว่าครั้งเท่านั้น”

“นั่นก็ไม่น้อยนะ”

“ใช่ ดังนั้นคนธรรมดาถึงระวังเรื่องโลกเงาไว้มาก…ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จากการสำรวจ ทุกคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปี จะต้องมีคนรู้จักที่เสียชีวิตจากโลกเงาอย่างน้อยหนึ่งคน” ผู้กองหลิวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แล้วพูดต่อว่า “แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอนี่แปลกจริง ๆ”

ไป๋อวี้ครุ่นคิด “ถูกโจมตีจากโลกเงาสองครั้งในเวลาอันสั้น…แบบนี้มันปกติหรือ?”

“ไม่ปกติ”

“งั้นมีโอกาสเป็นการกระทำของมนุษย์หรือเปล่า?” ไป๋อวี้ถาม

สีหน้าของผู้กองหลิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะปฏิเสธว่า “ไม่น่าเป็นไปได้ เรื่องแบบนี้จะเป็นการกระทำของมนุษย์ได้ยังไง? ตอนนี้ยังไม่มีใครเข้าใจวิธีเปิดโลกเงาได้อย่างสมบูรณ์ การวิจัยก็ยังคงอยู่ในขั้นพื้นฐานเท่านั้น…”

ไป๋อวี้ไม่ถามต่อ

แต่เขาเก็บความสงสัยไว้ในใจ

เพราะเขาไม่ใช่คนของโลกนี้ เขาจึงไม่ยอมถูกครอบงำด้วยความเชื่อทั่วไป...ในเมื่อยังไม่มีการปฏิเสธแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่ามันอาจจะเป็นไปได้

การโจมตีสองครั้งติดกันแบบนี้ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?

ถ้ามันเป็นการกระทำของมนุษย์จริง ๆ สมมติว่า…เป้าหมายของพวกนั้นก็คือชีวิตของเขา…

แต่ไป๋อวี้เป็นแค่เด็กหนุ่ม เขาทำอะไรที่เป็นบาปหนักหนาไว้หรือไง?

ทำไมพวกนั้นต้องเอาชีวิตเขาด้วย? เพราะเป็นศัตรูส่วนตัวกับเขา?

หรือเพราะถ้าเขาตาย การสืบหาผู้รอดชีวิตในห้อง ม.6/1 ก็จะหมดหนทาง?

ความเย็นยะเยือกแผ่ขึ้นมาจากก้นบึ้งของใจไป๋อวี้ เขารู้สึกถึงภัยคุกคามถึงชีวิต เขาไม่แน่ใจว่านี่เป็นอาการระแวงไปเองหรือไม่…แต่ถ้าคนคนหนึ่งโดนรถชนถึงสองครั้งในหนึ่งสัปดาห์ รอดชีวิตทั้งสองครั้ง เขาก็คงไม่อยากออกไปไหนในระยะเวลาอันสั้นแน่ ๆ

พอเจอครั้งหนึ่งก็ระแวงไปตลอด…

ผู้กองหลิวออกไปพักหนึ่งแล้วกลับมา เขาเห็นว่าไป๋อวี้กินข้าวเสร็จแล้วจึงพูดว่า “ไปกันเถอะ ครูประจำชั้นของเธอรออยู่ข้างนอก บอกว่าจะพาเธอกลับบ้าน”

“เดี๋ยวก่อน” ไป๋อวี้ขัดขึ้น “ผู้กองหลิว ผมยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้”

“...เธอติดใจอะไรกับที่นี่นักเหรอ?” ผู้กองหลิวมองไป๋อวี้ด้วยสายตาแปลก ๆ “ที่นี่ไม่มีบริการเพื่อนคุยนะ ถ้าเธอมีปัญหาทางจิตใจ โรงเรียนก็มีครูแนะแนวให้คำปรึกษา”

“ไม่ใช่” ไป๋อวี้ขัดจังหวะการเดาใจของผู้กองหลิว เขาเป็นคนดี แต่ชอบพูดออกทะเลไปหน่อย

เขาบอกว่า “ผมอยากทำการย้อนความทรงจำ”

ผู้กองหลิวทำหน้าสงสัยเมื่อได้ยินคำนี้

“ผมจริงจังนะ” ไป๋อวี้แสดงสีหน้าจริงจังราวกับว่าเขาเองก็เชื่อเรื่องนี้จริง ๆ “เมื่อไหร่ที่ผมนึกถึงเพื่อนร่วมชั้นที่ยังไม่รู้ชะตากรรม ผมก็เจ็บปวดมาก…ขอให้ผมทำการย้อนความทรงจำเถอะ บางทีผมอาจจะนึกข้อมูลสำคัญอะไรขึ้นมาได้!”

...ในเมื่อมีคนต้องการชีวิตฉัน ฉันจะปล่อยไปไม่ได้ แนวทางเดียวที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้คือห้อง ม.6/1 ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือเร่งกระบวนการช่วยเหลือให้เร็วที่สุด…

“เธอ…” ผู้กองหลิวแสดงสีหน้าจริงจังขึ้น เขาตบไหล่ของไป๋อวี้ “เธอนี่…”

เขายกนิ้วโป้งขึ้น “เป็นลูกผู้ชายจริง ๆ”

ผู้กองหลิวตกลงทันที และรีบไปแจ้งเบื้องบน

ตอนนี้พวกเขายังไม่มีเบาะแสอะไรเลย ทุกคนทำงานกันอย่างวุ่นวายเหมือนมดที่ถูกน้ำร้อนลวก ไม่มีทางไหนที่ให้ความหวังได้เลย

ตอนนี้พวกเขาต้องการเบาะแสที่ชี้นำไปสู่ความจริงจริง ๆ การที่ไป๋อวี้เสนอข้อเสนอนี้ องค์กรยามราตรีไม่มีทางปฏิเสธได้เลย

ผู้กองหลิวรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายไปยังหน่วยงานภายใน “ติดต่อแผนกสอบสวนที บอกให้เรียกนักอ่านความทรงจำมาทำงานล่วงเวลา!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด