ตอนที่ 205 จิตยุทธ์แห่งชูร่า (ฟรี)
ตอนที่ 205 จิตยุทธ์แห่งชูร่า
โลกปาหวงไม่อาจยอมรับการดำรงอยู่ของจิตยุทธ์แห่งชูร่า ทันทีที่มันปรากฏขึ้น มันจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก ราวกับว่าสวรรค์ต้องการทำลายล้างให้สิ้นซาก
สีหน้าของลู่ซุนยังคงไม่แปรเปลี่ยน แต่ชูร่าที่อยู่ข้างหลังเขากลับแข็งแกร่งขึ้น และร่างของมันก็กว้างขึ้น และสูงใหญ่ขึ้น เกือบจะสามารถพูดได้ว่าสูงเสียดฟ้าอย่างแท้จริง
เปรี้ยง
มังกรอัสนีจำนวนมากคำราม และพุ่งทะยานลงมาจากท้องฟ้า ราวกับว่าพวกมันกำลังฉีกมิติออกจากกัน และโจมตีชูร่าด้วยเจตจำนงแห่งการทำลายล้าง
พลังแห่งทัณฑ์อัสนีเหล่านั้นมีอานุภาพมากขนาดแม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตมหายานก็ยังต้านทานมังกรอัสนีแม้แต่หนึ่งตนได้ยาก
แต่ชูร่าที่อยู่ด้านหลังลู่ซุนกลับเพิกเฉยต่อมังกรอัสนีที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้น ราวกับมันกำลังอาบอยู่ในทะเลสายฟ้า ดูผ่อนคลาย และสบายใจ
ทัณฑ์อัสนีที่สามารถทำลายฟ้าดินได้ไม่ได้ส่งผลเสียใดๆ กับชูร่าเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่ไม่อาจทำลายได้เท่านั้น แต่ยังทำให้มันดูดูดุร้าย และสง่างามยิ่งขึ้นอีกด้วย
หวังเย่จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับไข่ห่าน
จิตยุทธ์แห่งชูร่าเป็นสุดยอดจิตยุทธ์ที่เขาโหยหามาทั้งชีวิต และวิถีสังหารก็เป็นหนึ่งในวิถียุทธ์ที่เขาเคารพนับถือมากที่สุดเช่นกัน
เดิมทีเขาคิดว่าเขาเดินไปในเส้นทางนี้ได้ไกลกว่าใคร แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในยุคเดียวกันนี้จะมีผู้อาวุโสที่รุดหน้าไปไกลยิ่งกว่าอย่างไม่เห็นฝุ่น
“ผู้อาวุโส!” หวังเย่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หลังจากที่ลู่ซุนเห็นสิ่งนี้ เขาก็ค่อยๆ หยุดสิ่งที่ทำ จากนั้นมองตรงไปที่หวังเย่
“เจ้าเต็มใจติดตามข้าหรือไม่?” ลู่ซุนถาม
ร่างขนาดใหญ่ของชูร่าที่อยู่ด้านหลังลู่ซุนค่อยๆ หายไป และจิตสังหารที่หนัหน่วงก็ค่อยๆ เบาบางลง และจางหายไป
เมฆแห่งทัณฑ์อัสนีบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ คลายตัว และแสงอาทิตย์ก็ตกลงมาจากหมู่เมฆ ส่องแสงกระทบใบหน้าของเขา ทำให้เขาดูเหมือนเทพโบราณแห่งยุคบรรพกาล
“ข้าเต็มใจ!” หวังเย่ไม่มีความลังเลใดๆ ในใจ เขาตอบเสียงดังกับลู่ซุน หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ดี ลุกขึ้น” ลู่ซุนพยักหน้าแล้วพูดกับอีกฝ่าย
“ผู้อาวุโส ตอนนี้ข้าไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ ข้าลุกขึ้นไม่ไหวจริงๆ” หวังเย่ดูเขินอายไม่น้อย เขาพยายามอย่างหนักที่จะขยับร่างกายแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถยืนขึ้นได้ ราวกับว่าเต่าที่ถูกพลิกตัว มันดูน่าขันไม่น้อย
ลู่ซุนโบกมือ และแสงสีทองก็พุ่งออกจากแขนเสื้อของเขา และหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของหวังเย่
ทันใดนั้นดวงตาของหวังเย่ก็เบิกกว้างขึ้น เขารู้สึกได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ และน่าสะพรึงกลัวหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของตน เริ่มหล่อเลี้ยงร่างกายของเขาที่สูญเสียพละกำลังส่วนใหญ่ไปนานแล้ว
หวังเย่สูดหายใจเข้าลึกๆ และเขาก็ลุกขึ้นจากพื้นในพริบตา เขาดูเต็มไปด้วยพลังราวกับว่าถูกฉีดด้วยเลือดไก่
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” หวังเย่ยิ้มอย่างทึ่มทื่อให้กับลู่ซุน เขาพยายามโค้งตัวคำนับ แต่ท้องของเขาใหญ่เกินไป ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทำได้
“ถ้าข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนเจ้าจะเป็นขุนนางแห่งจักรวรรดิต้าเฉียนใช่หรือไม่?” ลู่ซุนเดินไปหาหวังเย่
รู้สึกเหมือนเขาจะได้ยินคำเรียกประมาณนี้ จากบทสนทนาของคนอื่นๆ
“ขอรับ ข้าคือแม่ทัพจ้าวหวู่แห่งจักรวรรดิต้าเฉียนซึ่งเป็นขุนนางขั้นสาม” หลังจากที่หวังเย่ได้ยินคำพูดของลู่ซุน เขาก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วแล้วจึงรีบตอบ
“ถ้าเจ้ากลับไปกับข้าเช่นนี้จะมีปัญหาอะไรตามมาหรือไม่?” หลังจากที่ลู่ซุนได้ยินคำพูดของหวังเย่ เขาก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามอย่างสบายๆ
“นี่…” หวังเย่ตกตะลึงเล็กน้อย เขาลังเลอยู่นาน และไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นขุนนางขั้นสามของจักรวรรดิต้าเฉียน เป็นถึงแม่ทัพจ้าวหวู่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก หากเขาออกจากจักรวรรดิต้าเฉียนไปเช่นนี้จะต้องมีเรื่องปวดหัวตามมาอย่างแน่นอน
“ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินกลบ หากเกิดอะไรขึ้นจริงก็ค่อยหาทางจัดการ ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก” ลู่ซุนพูดอย่างใจเย็น
“ผู้อาวุโส เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ข้าจะไปเพื่อลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการก่อนแล้วค่อยกลับมา ท่านคิดว่าดีหรือไม่” หลังจากที่หวังเย่ลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็ถามลู่ซุนด้วยความรู้สึกกังวลไม่น้อย
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะยืนเฉยๆ แต่เขาก็ยังรู้สึกประหม่า และหวาดกลัว
ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือผู้ที่ครอบครองจิตยุทธ์แห่งชูร่า เป็นเทพสังหารตัวจริงเสียจริง ระดับพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายก็คงสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง และมีต้นกำเนิดที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
ตัวตนแบบนี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจของหวังเย่ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงให้ความเคารพลู่ซุนมากถึงขนาดนี้
เขาไม่ได้เป็นคนฉลาด แต่ไม่ใช่คนโง่ และหลักการบางอย่าง เขายังคงเข้าใจเป็นอย่างดี
เนื่องจากนี่เป็นโชคชะตา เมื่อไม่อาจต้านทานได้ก็แค่ต้องคล้อยตามไป
“บรรพบุรุษ ท่านวางแผนที่จะรับชายคนนี้เป็นศิษย์ของท่านงั้นรึ?” ลู่เหยาเหลือบมองหวังเย่ด้วยความรังเกียจ จากนั้นจึงหันไปหาลู่ซุนแล้วถาม
“รอดูไปก่อนว่าหลังจากนี้เขาจะทำตัวยังไง หากเขาทำตัวดี และมีความสามารถจริงๆ มันก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่ที่จะรับเขามาเป็นศิษย์ แต่ถ้าเขาไม่มีความสามารถอย่างที่ข้าคิดเอาไว้ เขาก็จะเป็นได้แค่ผู้ติดตามของข้าไปตลอดชีวิตเท่านั้น” ลู่ซุนตอบคำถามของลู่เหยาโดยไม่ลังเลเลย
"..." มุมปากของหวังเย่กระตุกเล็กน้อย เขาอยากจะพร่ำบ่น แต่หลังจากลังเลอยู่นาน เขาก็ยังไม่กล้าพูดอะไร
“แม่ทัพหวัง ผู้อาวุโส พวกข้าของตัวก่อนได้หรือไม่?” เจ้าเมืองเจียงหนานเดินเข้ามาหาอย่างระมัดระวัง และถามพวกเขาทั้งสองด้วยดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการสวดภาวนา
“บัดซบ เจ้าจะเรียกชื่อข้าก่อน ผู้อาวุโสได้ยังไง เจ้าอยากตายหรือยังไงกัน?” หลังจากที่หวังเย่ได้ยินคำพูดของเจ้าเมืองเจียงหนาน ใบหน้าของเขาก็มืดลง จากนั้นเขาก็สูดจมูกอย่างเย็นชา แทบจะอยากจะหยิบค้อนขึ้นมาทุบหัวอีกฝ่ายตรงๆ
ป๋อม!
เจ้าเมืองเจียงหนานตกใจกับท่าทีของหวังเย่ เขาคุกเข่าลง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และความไม่สบายใจ และเขาก็เกือบจะฉี่ราดออกมา
“ผู้อาวุโส...ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ท่านขุ่นเคือง โปรดอภัยให้ข้าด้วย!” เจ้าเมืองเจียงหนานรีบมองไปที่ลู่ซุน แล้วพูดอย่างถ่อมตัว
“ไม่ใช่ข้าที่เจ้าทำให้ขุ่นเคืองใจ สำหรับเรื่องนี้ มันควรไปถามเถ้าแก่ฮวงมากกว่า” ลู่ซุนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นหันไปหาฮวงหลี่แล้วกล่าว
“ฮวงหลี่ เจ้าและข้ารู้จักกันมาหลายปีแล้ว โปรดเห็นแก่สายสัมพันธ์ของเรา ยกโทษให้ข้าด้วยในครั้งนี้!” เจ้าเมืองเจียงหนานคำนับฮวงหลี่หลายต่อหลายครั้ง เขามองเธอด้วยใบหน้าอาบน้ำตา และพูดด้วยความเสียใจ
อาวุธเซียนสวรรค์อะไร ช่างไร้สาระจริงๆ ถ้าเขารู้ว่ามันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาคงไม่เดินทางมาที่นี่แล้วย่ำน้ำโคลนเป็นแน่
ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้นจริงๆ เขากลัวว่าแม้แต่ชีวิตของตนก็จะถูกพรากไป
เจ้าเมืองเจียงหนานรู้จักฮวงหลี่เป็นอย่างดี หากเธอตั้งใจแน่วแน่ที่จะตอบโต้ก็ไม่มีทางที่เธอจะปล่อยเขาไป