บทที่ 137-138
[แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ]
บทที่ 137 หนี้ (IV)
ชายอาภรณ์สีดำถามย้ำด้วยความสงสัย "...เท่าไหร่นะ?!"
"หินวิญญาณขั้นเก้าสามก้อน และหินวิญญาณขั้นแปดห้าร้อยก้อน" ผู้บ่มเพาะแก่นทองคำทวนคำอย่างใจเย็น
มือที่ถือถุงผ้าไหมแข็งค้างทันที นี่มันช่างเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจจริงๆ เขาไม่สามารถโยนถุงให้กับคนทวงหนี้เหล่านั้นได้ หรือจะเก็บมันกลับคืนมาก็ไม่ได้ หากเป็นก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บและถูกบังคับให้หลบหนี ไม่ต้องพูดถึงหินวิญญาณขั้นเก้าสามก้อน แม้แต่สามร้อยก้อนก็เป็นเพียงจำนวนเล็กน้อยสำหรับเขา
แต่ตอนนี้ ภายในถุงผ้านี้มีหินวิญญาณขั้นแปดเพียงสองร้อยก้อนเท่านั้น เขาหนีออกมาจากที่นั่นแทบจะมือเปล่า นอกจากวัตถุวิเศษช่วยชีวิตสามชิ้นและหินวิญญาณขั้นแปดไม่กี่ร้อยก้อน เขาก็ไม่ได้นำอะไรติดตัวมาเลย หลังจากที่เขาหลบหนี เขาก็จำเป็นต้องใช้หินวิญญาณไปพอสมควร และที่เหลืออยู่ก็มีไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะนำทั้งหมดออกมา ก็ยังไม่เพียงพอที่จะจ่ายหนี้ของลู่ชิงหรันแม้แต่หนึ่งในห้า แม้ว่าเขาจะยังมีวัตถุวิเศษสามชิ้น แต่มันไม่อาจให้คนจากสหพันธ์ผู้บ่มเพาะเห็นได้เด็ดขาด
ชายอาภรณ์ดำนิ่งค้างอยู่กับที่ ภายใต้อาภรณ์คลุมสีดำ แก้มที่ซีดเซียวอยู่แล้วเริ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ มือของเขากำถุงผ้าไหมแน่น เขาไม่สามารถเก็บมันกลับคืนมาได้ หรือจะโยนมันทิ้งไปก็ไม่ได้เช่นกัน
"นางช่างหาเงินเก่งนัก!"
น้ำตาไหลอาบแก้มของลู่ชิงหรันอีกครั้ง และนางพยักหน้าอย่างสิ้นหวัง
ชายอาภรณ์ดำสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วโยนถุงผ้าไหมในมือให้คนจากสหพันธ์ผู้บ่มเพาะ "รับนี่ไปก่อน ส่วนที่เหลือ..."
"ข้าเสียใจ" ผู้บ่มเพาะแก่นทองคำกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "สหายร่วมทางเหมิงได้จ่ายค่าธรรมเนียมพิเศษให้กับพวกเรา และพวกเราต้องเก็บหนี้ของสหายเต๋าลู่ให้ได้ก่อนเย็นวันพรุ่งนี้"
ชายอาภรณ์ดำรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที "พวกเราไม่มีหินวิญญาณมากขนาดนั้น"
นี่คงเป็นสิ่งที่พวกเขาหมายถึง 'มังกรที่ลงเล่นน้ำในแม่น้ำตื้น ถูกกุ้งเล็กๆ จับได้' เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่ง เขาจะถูกบังคับให้เป็นเหมือนคนพาลที่ต้องการเบี้ยวหนี้เพียงไม่กี่ก้อนหินวิญญาณขั้นเก้า!!
เหมิงฉี ใช่ไหม?! เขาจะจำชื่อนางไว้!
"ถ้าเช่นนั้น..." ผู้บ่มเพาะแก่นทองคำยิ้มและพูดว่า "พวกเราจะไม่บังคับท่านมากเกินไป ตามขั้นตอน พวกเราสามารถจ่ายล่วงหน้าในส่วนที่สหายเต๋าลู่เป็นหนี้สหายเต๋าเหมิง เมื่อนางมาเก็บเงินพรุ่งนี้" จากนั้นเขาก็หยิบขวดกระเบื้องใบเล็กออกมา "นี่คือโอสถประทับตราวิญญาณ สหายเต๋าลู่ โปรดรับไป หลังจากนั้น พวกเราจะมอบหมายงานให้ท่านทำจนกว่าท่านจะได้รับหินวิญญาณเพียงพอที่จะชำระหนี้ที่ท่านติดค้างพวกเรา" ชายผู้นั้นหยุดชั่วครู่ "เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราจะมอบยาแก้พิษให้ท่านตามธรรมเนียม"
ลู่ชิงหรันถือขวดกระเบื้องไว้ ร่างกายของนางสั่นเทาไปทั้งตัว โอสถประทับตราวิญญาณจะฝากรอยประทับไว้ในทะเลวิญญาณของผู้บ่มเพาะ และมีเพียงผู้ปรุงโอสถเท่านั้นที่สามารถลบรอยประทับนั้นออกได้ในภายหลัง หากนางรับโอสถนี้ไป หมายความว่าจากนี้ไปนางจะอยู่ภายใต้การควบคุมของสหพันธ์ผู้บ่มเพาะและต้องเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของพวกเขา
ลู่ชิงหรันกำแขนชายอาภรณ์ดำแน่นขึ้น นางกลัวเหลือเกิน! น้ำตาไหลพรากยิ่งกว่าเดิม นางไม่อยากกินโอสถประทับตราวิญญาณ...นางกลัวเหลือเกิน!
ชายผู้นั้นถอนหายใจเบาๆ เขาสงบลงแล้ว และสายตาของเขาก็คมชัดยิ่งกว่าเดิม "ให้ข้าหนึ่งเม็ด" เขากล่าวกับผู้บ่มเพาะแก่นทองคำ "ข้าจะทำภารกิจนี้กับนาง"
"ตกลง" ผู้บ่มเพาะแก่นทองคำพยักหน้าและหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ อีกขวดหนึ่งออกมา
ชายอาภรณ์ดำกลืนโอสถประทับตราวิญญาณโดยไม่ลังเล "บอกภารกิจให้พวกเรา" เขาพูดอย่างเย็นชา "ข้าอยู่ในขั้นก่อกำเนิดวิญญาณขอบเขตที่เจ็ด มอบหมายภารกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่พวกท่านมีให้พวกเรา"
"เช่นนั้นพวกเราก็ขอรบกวนท่าน" ผู้บ่มเพาะแก่นทองคำยิ้มเล็กน้อย เขาดูลู่ชิงหรันกลืนโอสถประทับตราวิญญาณ จากนั้นก็หยิบไม้ไผ่ออกมา "ตำหนักซวนหยุนได้ส่งคำร้องขอความช่วยเหลือ ผู้บ่มเพาะมารกำลังออกอาละวาดอยู่รอบๆ ตำหนักฮวาเจียง โจมตีผู้คน พวกเราต้องการให้พวกท่านปราบปรามผู้บ่มเพาะมารเหล่านั้น สำหรับภารกิจนี้ รางวัลจะคิดตามจำนวนผู้บ่มเพาะมารที่ท่านสังหาร สำหรับผู้บ่มเพาะมารขั้นสี่แต่ละคน เราจะจ่ายหินวิญญาณขั้นแปดหนึ่งร้อยก้อน"
บทที่ 138 วงเวทอาคมสี่ขั้ว (I)
เหมิงฉีได้รับหินวิญญาณที่ลู่ชิงหรันเป็นหนี้นางจากสหพันธ์ผู้บ่มเพาะแห่งตำหนักฮวาเจียงอย่างรวดเร็ว
"สหายเต๋า โปรดตรวจสอบจำนวนด้วย" ผู้บ่มเพาะแก่นทองคำยื่นถุงผ้าไหมให้นางพร้อมกับรอยยิ้ม "ตามกฎแล้ว สิบส่วนถูกหักไว้โดยสหพันธ์"
เหมิงฉีพยักหน้า นางมองหินวิญญาณภายในถุงอย่างรวดเร็ว อันที่จริง จำนวนนี้ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่นางเหลือเวลาอีกเพียงวันเดียวและยังหาทางอื่นในการหาเงินไม่ได้
"ซูเฉียน นี่คือแก่นพลังจากผู้บ่มเพาะมารขั้นสามสองคน และยังมีเถาวัลย์กลืนวิญญาณที่พวกมันนำมาด้วย" ขณะที่เหมิงฉีกำลังจะจากไป ก็มีบุคคลอื่นเข้ามา แม้กระทั่งก่อนที่เขาจะเดินเข้ามา เสียงดังของเขาก็ดังขึ้นแล้ว "มันแปลกมาก! ตำหนักฮวาเจียงอยู่ไกลจากอาณาจักรมาร เหตุใดจึงมีผู้บ่มเพาะมารจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นที่นี่โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย?! และพวกมันยังมีอาวุธแบบนี้ด้วย น่าตายนัก! โชคดีที่ข้าเตรียมตัวมาอย่างดี ไม่เช่นนั้น พวกสารเลวนั่นคงเล่นงานข้าไปแล้ว...หา? มีคนอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?!"
เมื่อคำพูดสุดท้ายของเขาหลุดจากปาก ชายผู้นั้นก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง เหมิงฉีหันไปมอง เขาเป็นผู้บ่มเพาะที่ดูแข็งแรง ท่าทางราวสามสิบปี รูปลักษณ์ของเขาค่อนข้างหล่อเหลา คิ้วหนา ตาโต ผมดำสั้น ทำให้เขาดูมีความเป็นป่าเถื่อนเล็กน้อย ชายผู้นี้มีหนวดเคราและสวมชุดนักสู้แบบสั้น ซึ่งเข้ากับน้ำเสียงและคำพูดที่ห้าวหาญของเขาเมื่อครู่นี้
"ซูเฉียน" ที่บุรุษผู้นี้เรียก คือ ผู้บ่มเพาะแก่นทองคำผู้ยิ้มแย้มที่เพิ่งทำตามคำสั่งของเหมิงฉีเสร็จ เขาคุ้นเคยกับผู้มาใหม่อย่างเห็นได้ชัด "จีเหวินหยวน ข้าบอกเจ้าแล้ว ระวังคำพูดของเจ้าเมื่ออยู่ในสหพันธ์"
"ขออภัย ขออภัย" ผู้บ่มเพาะชายชื่อจีเหวินหยวนกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา คำขอโทษนี้มีไว้สำหรับเหมิงฉี "ตำหนักฮวาเจียงเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ มีผู้คนไม่มากนัก ข้าไม่ทราบว่าสหายเต๋ามาเยือนสำนักงานของเรา ข้าเสียมารยาทแล้ว" เขาเกาหัวอย่างเขินอาย
เหมิงฉีส่ายหน้าและยิ้มอย่างสุภาพ สายตาของนางจับจ้องไปที่เถาวัลย์กลืนวิญญาณสองต้นบนพื้น ในฐานะอาวุธ พวกมันดูแปลกตามาก รูปร่างของมันคือเถาวัลย์ที่เต็มไปด้วยใบไม้สีเขียวและดอกไม้บานสะพรั่งด้วยสีที่สอดคล้องกับระดับพลังของมัน อย่างไรก็ตาม เถาวัลย์ที่อยู่ตรงหน้านางกลับกลายเป็นเถ้าถ่านไปครึ่งหนึ่ง ราวกับถูกเผาด้วยบางสิ่ง
"นี่ จ่ายเงินข้ามา" จีเหวินหยวนพูดกับซูเฉียน "ผู้บ่มเพาะมารขั้นสามสองคน คราวนี้ข้ายังนำเถาวัลย์กลืนวิญญาณของพวกมันกลับมาด้วย รางวัลน่าจะมากกว่านี้"
ซูเฉียนส่ายหัวอย่างขบขันและโยนถุงผ้าไหมให้ "รับไปสิ"
"ขอข้าดูหน่อย..." จีเหวินหยวนล้วงเข้าไปในถุงและพึมพำ "ผู้บ่มเพาะมารขั้นสามหนึ่งคนได้หนึ่งร้อยหินวิญญาณระดับเจ็ด...เอ๊ะ? สี่ร้อย? ว้าว! เถาวัลย์กลืนวิญญาณนี่มีค่าขนาดนี้เชียวหรือ? ถ้าเจ้าบอกข้าก่อนหน้านี้ ข้าคง...เอ่อ ไม่สิ ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ ข้าคงจะเอามันกลับมาตั้งนานแล้ว!"
"ขอบคุณ" จีเหวินหยวนโยนถุงเข้าไปในมิติเก็บของของตัวเอง หลังจากประสานมือคำนับเหมิงฉีอย่างรวดเร็ว เขาก็หันหลังและก้าวออกจากประตูไป
หัวใจของเหมิงฉีเต้นแรงขึ้นมาทันที หลังจากที่จีเหวินหยวนจากไป นางก็เป็นฝ่ายถามซูเฉียน "ขออภัย สหายเต๋า ข้าขอถามหน่อย สหพันธ์ให้รางวัลเป็นเงินสำหรับผู้ที่ตามล่าผู้บ่มเพาะมารและเถาวัลย์กลืนวิญญาณหรือไม่?"
"ใช่" ซูเฉียนยังคงยิ้มให้เหมิงฉี แต่ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ผู้บ่มเพาะที่ยังอยู่ในขั้นสร้างรากฐานเพิ่งจะได้รับชำระหนี้เป็นหินวิญญาณระดับเก้าไม่กี่ก้อน แต่นางยังไม่รู้สึกพอหรือ?
ซูเฉียนเป็นผู้บ่มเพาะที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิดวิญญาณ ถึงกระนั้น เขาก็จะมีความสุขมากหลังจากได้รับหินวิญญาณระดับเจ็ดไม่กี่ร้อยก้อน เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงยิ้ม "รางวัลสำหรับผู้บ่มเพาะมารขั้นสามหนึ่งคนคือหินวิญญาณระดับเจ็ดหนึ่งร้อยก้อน สำหรับขั้นสี่ จะเป็นหินวิญญาณขั้นแปดหนึ่งร้อยก้อน หากท่านนำเถาวัลย์กลืนวิญญาณกลับมาด้วย รางวัลจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า" หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาลังเลและหยุดไป "สำหรับผู้บ่มเพาะมารขั้นสอง จะเป็นหินวิญญาณระดับหกหนึ่งร้อยก้อน อย่างไรก็ตาม ผู้บ่มเพาะมารในระดับนี้คงจะไม่นำเถาวัลย์กลืนวิญญาณเข้ามาในสามภพ"
"ขอบคุณ" เหมิงฉีประสานมือคำนับอย่างสุภาพ จากนั้นนางก็หันหลังและออกจากอาคารสหพันธ์
ฉินซิวโม่และฉู่เทียนเฟิง ทั้งคู่สวมชุดผู้บ่มเพาะสีดำ กำลังพิงกำแพงด้านนอกของอาคารสหพันธ์ รอคอยนางอยู่ ซูจุนโม่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของเขาเป็นปกติ แต่ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่อีกสองคนอย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า พวกเขาก็หันไปหาเหมิงฉีพร้อมกัน
"เอ่อ..." เหมิงฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง "ข้าต้องการตามล่าผู้บ่มเพาะมารที่กำลังโจมตีผู้คนรอบๆ ตำหนักฮวาเจียง" นางพูดกับฉินซิวโม่ตรงๆ "สหพันธ์ผู้บ่มเพาะจะจ่ายเงินให้เราตามจำนวนแก่นพลังมารและเถาวัลย์กลืนวิญญาณที่เรานำกลับมา ถือว่าข้าจ้างพวกท่านก็แล้วกัน นอกจากนี้ เราจะแบ่งรางวัลเท่าๆ กันตามผลงาน"
ฉินซิวโม่ลังเล "รางวัลเท่าไหร่?"
"ผู้บ่มเพาะมารขั้นสามหนึ่งคนได้หนึ่งร้อยหินวิญญาณระดับเจ็ด" เหมิงฉีกล่าว นางเป็นแค่ผู้บ่มเพาะขั้นสร้างรากฐาน และฉินซิวโม่ก็ยังไม่หายดี ระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาอยู่แค่ขั้นที่สามหรือสี่ของระดับแก่นทองคำ การล่าผู้บ่มเพาะมารขั้นสามถือเป็นขีดจำกัดของพวกเขา
ฉินซิวโม่ลังเล ถ้าเขาไม่ระวัง เป็นไปได้ไหมว่าหนี้ของเขาจะถูกชำระหมดในคราวเดียว? นี่มันไม่ดีเลย
"เฮ้? เจ้าอยากจะตามล่าผู้บ่มเพาะมารและเถาวัลย์กลืนวิญญาณงั้นรึ?" ฉู่เทียนเฟิงเห็นฉินซิวโม่ลังเลและเยาะเย้ยอยู่ในใจ เขารู้ดีว่าเจ้าหมอนี่กำลังคิดอะไรอยู่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกลัวว่าจะทำเกินไปโดยไม่ได้ตั้งใจและชำระหนี้ของเขาหมดในคราวเดียว เมื่อเห็นว่าเหมิงฉีไม่ได้มองเขาแม้แต่น้อย ฉู่เทียนเฟิงก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า "ถ้าเขาไม่กล้าไป ข้าจะไปกับเจ้าเอง!"
ช่วงเวลานี้ ฉู่เทียนเฟิงได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับนิสัยใจคอของเหมิงฉี "แน่นอน หลังจากที่สหพันธ์จ่ายรางวัลให้เราแล้ว เราจะแบ่งหินวิญญาณอย่างยุติธรรมตามระดับของผลงาน"
ฉู่เทียนเฟิงมองออกว่าเหมิงฉีกำลังขาดแคลนหินวิญญาณในช่วงนี้ ในฐานะคุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน เขาได้รับทรัพยากรมากมายจากสำนักของเขา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฉู่เทียนเฟิงจะไม่ขาดแคลนทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียร แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขามีเงินมากมาย จำนวนหินวิญญาณที่เขามีนั้นไม่ได้มากมายนัก เขายังมีวัตถุวิเศษล้ำค่ามากมายที่มอบให้โดยสำนักของเขา แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นหินวิญญาณได้ตามต้องการ เหมิงฉีได้รับชำระหนี้จากลู่ชิงหรัน ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาลในระดับหินวิญญาณระดับเก้า ถึงกระนั้นนางก็ยังขาดเงิน...
ฉู่เทียนเฟิงไม่กล้าตบหน้าอกตัวเองและบอกว่าเขาจะจ่ายส่วนที่เหลือให้ อย่างมากที่สุด เขาก็ทำได้เพียงหยิบหินวิญญาณขั้นแปดออกมาไม่กี่ร้อยก้อน แต่เหมิงฉีจะต้องปฏิเสธที่จะรับมันไปเปล่าๆ แน่นอน แถมดูจากการที่นางเร่งรีบเช่นนี้ จำนวนเท่านี้คงจะไม่เพียงพอ