บทที่ 73 สายลมพัด
“ตราบใดที่ทางไป่เฉ่าถังสามารถจัดหาพันธุ์พืชวิญญาณระดับสองและสามให้ข้าอย่างเพียงพอ ข้าก็จะตั้งใจปลูกพืชวิญญาณเหล่านั้นอย่างเต็มที่”
ลู่เซวียนตอบอย่างตรงไปตรงมา
เรื่องวาดฝันใคร ๆ ก็ทำได้ หากเขาได้พันธุ์พืชวิญญาณที่หายากจริง ๆ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องทัศนคติในการปลูก
หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก ลู่เซวียนก็หาเหตุผลเพื่อขอตัวออกไป
ก่อนจะจากไป เขาได้บอกลาผู้ดูแลเหอและเดินทางไปยังตลาดของเหล่าผู้ฝึกตนอิสระ
ผู้ฝึกตนในตลาดมีมากกว่าเมื่อก่อน หลายคนดูรีบเร่งและเหนื่อยล้า ดูเหมือนพวกเขาจะเพิ่งกลับมาจากการผจญภัยในป่าไม่นาน
บนแผงขายของ มีวัสดุจากสัตว์อสูรและพืชสมุนไพรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ลู่เซวียนมองหาพันธุ์พืชวิญญาณที่หายาก ขณะเดียวกันก็เงี่ยหูฟังการสนทนาของเหล่าผู้ฝึกตนที่เดินผ่านไปมา
จากการสนทนาเหล่านั้น เขารู้ว่าเพิ่งมีกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระที่กลับมาจากการบุกเบิกดินแดนลับใหม่
“ไม่รู้ว่าพี่จางจะกลับมาคราวนี้หรือเปล่านะ?”
ลู่เซวียนคิดในใจ เขานึกถึงครอบครัวของจางหง ผู้ที่เคยดูแลเขาอย่างดี
เดิมทีเขาตั้งใจจะไปซื้อเตาหลอมโอสถที่หอว่านเป่า เพื่อเตรียมสำหรับการฝึกหลอมโอสถในอนาคต แต่เมื่อได้ยินข่าวนี้ เขาก็เปลี่ยนเส้นทางไปยังย่านที่เหล่าผู้ฝึกตนอิสระอาศัยอยู่ทางตอนเหนือ
ตั้งแต่ลู่เซวียนย้ายออกจากที่นั่น เขาก็แทบไม่กลับไปที่ย่านนั้นเลย
เขาสนิทกับครอบครัวของจางหงเท่านั้น ถ้าจางหงไม่อยู่ เขาก็ไม่สะดวกที่จะไปหา แม้ว่าจางซิ่วหยวนลูกชายของจางหงเคยแวะมาหาเขาเล่นบ้างในช่วงแรก แต่หลังจากที่ปีศาจบุกรุกและเริ่มมีผู้ฝึกตนที่แปรสภาพเป็นปีศาจมากขึ้น แม่ของเขาสวี่หว่านก็ไม่อนุญาตให้เขาออกไปข้างนอก พวกเขาจึงไม่ได้พบกันมาหลายเดือนแล้ว
ลู่เซวียนซื้อเนื้อสัตว์วิญญาณจำนวนหนึ่งจากตลาด แล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านของจางหง
เมื่อเขาเคาะประตู บ้านก็เปิดออกเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าของจางซิ่วหยวนที่ดูตื่นเต้น
“อาลู่! ท่านมาหรือขอรับ?!”
“พ่อ! แม่! อาลู่มาแล้ว!”
เมื่อเห็นลู่เซวียน จางซิ่วหยวนก็ตะโกนเรียกพ่อแม่ด้วยความดีใจ
“เจ้าซิ่วหยวน โตขึ้นมากเลยนะ”
ลู่เซวียนยิ้มขณะก้าวเข้าไปในบ้าน เขาเห็นจางหงกับสวี่หว่านออกมาต้อนรับ
“พี่จาง พี่สะใภ้ ไม่ได้เจอกันนานเลย!”
ลู่เซวียนกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ลู่เซวียน นี่ดีจริง ๆ ที่ได้เจอเจ้าอีก! ตอนกลับมาข้าได้ยินจากซิ่วหยวนว่าเจ้าย้ายออกไปแล้ว ข้ายังนึกถึงเจ้าอยู่เลย ไม่คิดว่าเจ้าจะมาเยี่ยมถึงที่!”
จางหงจับแขนลู่เซวียนด้วยความอบอุ่น และดึงเขาเข้าไปในบ้าน
“พี่จาง แขนของท่านเกิดอะไรขึ้น?”
ลู่เซวียนสังเกตเห็นความผิดปกติที่แขนของจางหง ใต้แขนเสื้อ แขนของเขาดูผอมลงมาก
จางหงยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะถลกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นแขนที่เหี่ยวแห้งเหมือนต้นไม้แก่ เนื้อและเลือดถูกดูดไปจนเห็นกระดูกสีขาว
“คราวนี้ข้าไปบุกดินแดนลับใหม่ แต่โชคร้ายเจอปีศาจตัวหนึ่ง ข้าไม่ทันระวังมันจึงดูดเลือดและเนื้อที่แขนของข้าไป”
“แต่ก็ยังดีที่ข้ายังมีชีวิตรอด และได้พบเจ้าอีกครั้ง”
“สามารถรักษาได้ไหม? มีอะไรให้ข้าช่วยไหม?”
ลู่เซวียนถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พักฟื้นไปสักระยะก็น่าจะดีขึ้นเจ็ดแปดส่วน แต่จะให้หายขาดก็คงยาก”
จางหงตอบด้วยท่าทีมองโลกในแง่ดี
ลู่เซวียนพยักหน้า น่าเสียดายที่ ยาเม็ดเลือดวิญญาณ ที่เขาเพิ่งได้มานั้นใช้เพื่อฟื้นฟูพลังเลือดอย่างรวดเร็ว แต่ไม่สามารถช่วยในการรักษาบาดแผลที่ต้องสร้างเนื้อขึ้นมาใหม่ได้
“แม้ว่าคราวนี้ข้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังถือว่าโชคดีเพราะข้าได้ทะลวงพลังถึงระดับฝึกปราณขั้นสี่”
“ข้ายังคิดเลยว่าจะได้อวดเจ้าบ้างเมื่อเจอหน้า ไม่คิดว่าเจ้าที่อยู่ในตลาดหลินหยางมาตลอดกลับบำเพ็ญถึงฝึกปราณขั้นสี่ก่อนข้าเสียอีก”
ทั้งสองนั่งสนทนากันอย่างผ่อนคลาย ขณะที่สวี่หว่านกับจางซิ่วหยวนเตรียมอาหารในครัว แมวป่าทะยานเมฆก็เดินอย่างเชื่องช้าในสวนวิญญาณของบ้านจาง
“พืชวิญญาณที่ข้าปลูกเมื่อเร็ว ๆ นี้มีคุณภาพดีไม่น้อย ข้าจึงทำกำไรได้มากจากการร่วมมือกับไป่เฉ่าถัง”
“ก่อนหน้านี้ ข้าพบว่าข้าปลูกพืชได้ไม่มากเพราะพลังวิญญาณไม่เพียงพอ ข้าจึงตัดสินใจใช้หินวิญญาณทั้งหมดเพื่อซื้อยาเพิ่มพลังและบำเพ็ญจนทะลวงถึงฝึกปราณขั้นสี่ในเวลาไม่นาน”
ลู่เซวียนพูดไปเรื่อย เพราะไม่ว่าจะเป็นรางวัลจากลูกกลมแสงสีขาวหรือการกินยาเพิ่มพลังจนบำเพ็ญได้นั้น เขาก็เพียงแค่เลือกข้อแก้ตัวที่คนอื่นจะเชื่อได้ง่ายที่สุด
หลังจากกินอาหารเสร็จ ลู่เซวียนกับจางหงก็นั่งคุยกันในสวน ขณะที่จางซิ่วหยวนกำลังเล่นกับแมวป่าทะยานเมฆ
แมวป่าทะยานเมฆดูเย็นชา ดวงตาสีเขียวของมันไร้ความรู้สึกใด ๆ แต่ถึงแม้มันจะไม่สนใจการหยอกล้อของจางซิ่วหยวน แต่ก็ยังคงอยู่ใกล้ ๆ เขาเสมอ
ในสวน ต้นซื่อเยว่สองต้นที่ลู่เซวียนมอบไว้ให้ครอบครัวจางก่อนหน้านี้เจริญเติบโตดี กิ่งก้านใบเขียวชอุ่ม และผลสีเงินรูปจันทร์เสี้ยวก็เริ่มปรากฏขึ้นท่ามกลางใบหนาแน่น
“หลังจากข้ากลับจากดินแดนลับใหม่ ข้าโชคดีรอดตายมาได้ ทำให้ข้าเริ่มคิดอะไรบางอย่าง”
จางหงเริ่มเปิดใจ
“ก่อนหน้านี้ข้ามักจะคิดว่า ถึงแม้การออกสำรวจดินแดนลับจะเสี่ยง แต่ข้าก็คงไม่โชคร้ายพอที่จะเจออันตราย ข้ายังหวังลึก ๆ ว่าข้าจะพบโอกาสสำคัญ”
“แต่ความจริงก็มักจะให้บทเรียนเจ็บแสบ ในขณะที่ข้าเดินทางลึกเข้าไปในดินแดนลับ ความอันตรายที่ข้าเผชิญก็เพิ่มมากขึ้น ข้าถึงขั้นเห็นทั้งทีมถูกปีศาจฆ่าตายทั้งหมดกับตา”
“ผู้ฝึกตยสิบกว่าคน มีอยู่หลายคนที่อยู่ในระดับฝึกปราณขั้นกลาง แต่พวกเขากลับถูกปีศาจระดับประหลาด สังหารอย่างง่ายดาย”
แววตาของจางหงแสดงความหวาดกลัว เขาหายใจเข้าลึก ๆ และค่อย ๆ สงบลง
“บางทีข้าคงต้องเริ่มคิดใหม่ ข้าอาจจะทำตัวเหมือนเจ้าลู่เซวียน เป็นเพียงนักปลูกพืชวิญญาณธรรมดา อยู่กับครอบครัวอย่างสงบสุขตลอดชีวิต”
“ก็ดีอยู่แล้ว ท่านได้พักฟื้นร่างกายไปพร้อมกัน และมีเวลาคิดทบทวนอนาคต”
ลู่เซวียนกล่าว เขาไม่ได้ชี้นำว่าจางหงควรเลือกทางใด ทุกทางเลือกไม่มีถูกหรือผิด
“พี่จาง เล่าให้ข้าฟังหน่อยเถอะ ดินแดนลับเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าไม่คิดจะไปผจญภัย แต่ก็อยากฟังเรื่องราวดู”
“ได้สิ ความรู้เกี่ยวกับปีศาจไม่มีวันเกินจำเป็น”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ลมพัดพาใบของต้นซื่อเยว่ให้สั่นไหวอย่างแผ่วเบา
……
ตระกูลหวัง ที่ใจกลางตลาดหลินหยาง
บนยอดตึกสูงตระหง่าน หัวหน้าตระกูลหวัง กำลังมองดูตลาดหลินหยางอย่างเงียบ ๆ
“ฉงอัน ศิษย์สำนักสองคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้?”
ชายหนุ่มหล่อเหลา ที่ยืนอยู่ข้างหลังหัวหน้าตระกูล เดินเข้ามาข้างหน้าและตอบด้วยความเคารพ
“ด้วยความช่วยเหลือของศิษย์พี่ทั้งสอง ตอนนี้พวกปีศาจและผู้ฝึกตนที่แปรสภาพเป็นปีศาจในตลาดหลินหยางได้ถูกกำจัดไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงปีศาจระดับประหลาดตัวหนึ่งที่ยังไม่พบ ไม่แน่ว่ามันอาจซ่อนตัวได้เก่งเกินไป หรืออาจจะกลับเข้าไปในดินแดนลับแล้ว”
“เจ้าไม่ต้องกังวลกับเรื่องนั้น แค่ดูแลพวกเขาให้ดีเท่านั้นพอ”
“เมื่อค่ายกลในใจกลางดินแดนลับถูกทำลาย เราจะหาจังหวะนำพวกเขาเข้าไปในดินแดนลับด้วย และใช้พลังของพวกเขากำจัดปีศาจในนั้นให้หมด”
“ขอรับ”
ชายหนุ่มตอบเสียงหนักแน่น
ลมแรงพัดผ่านบนยอดตึกสูง เสื้อคลุมสีเขียวดำสะบัดโบกสะบัดไปตามสายลม