บทที่ 25 แม้กระดูกก็ไม่เหลือ...
เมื่อเห็นหลูยูอู, ซูเจี้ยน, และหลิวซวงสามคนเริ่มใช้วิชาการเคลื่อนไหวเพื่อพุ่งเข้าไปในลาน
ศิษย์ทั้งหมดต่างไม่ยอมถอยสำหรับการได้กินอาหารรสเลิศในโรงครัวนี้ เป็นใครก็ไม่ยอมให้คนอื่นเข้าก่อนตน
ทันทีที่มีการตะโกนให้ร่วมมือกัน ทุกคนก็เริ่มเล็งเป้าหมายไปที่ศิษย์เอกทั้งสามหลูยูอู, ซูเจี้ยน และหลิวซวง และเห็นได้ชัดว่ามีการใช้วิชาต่างๆปะทะไปที่ทั้งสามคน
“เวรเอ๊ย พวกเจ้า……”
ซูเจี้ยนเพิ่งเริ่มพูดยังไม่ทันจบคำ เขาก็ถูกศิษย์คนหนึ่งจับขอบเสื้อและลากเข้าไปในกลุ่ม
“อย่าให้พวกเขาไปถึงก่อนพวกเราได้!”
“ร่วมมือกันไว้ พวกเราต้องยอมให้พวกท่านได้ไปก่อนด้วย? หยุดพี่ซูเจี้ยนให้ได้!”
รู้ดีว่าการสู้คนเดียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูเจี้ยนและพวกเขา แต่ด้วยจำนวนคนมากก็สามารถล้อมพวกเขาได้
การหยุดยั้งที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้พวกซูเจี้ยนตกใจมาก แต่เมื่อเห็นว่ามีศิษย์บางคนใช้โอกาสนี้วิ่งเข้าลานอยู่ ซูเจี้ยนตาแดงและพุ่งออกไป
“ย๊ากก! ที่หนึ่งต้องเป็นของข้า”
ไม่แปลกใจเลยที่เป็นศิษย์เอกจากท่านผู้นำ แม้จะมีศิษย์ภายในจำนวนมากร่วมมือกัน ก็ยังไม่สามารถหยุดซูเจี้ยนได้ลง
เช่นเดียวกับหลูยูอูและหลิวซวงก็เริ่มใช้วิชาเพื่อขับไล่ศิษย์ที่ขวางทางและพุ่งไปที่ลาน
ในช่วงเวลานี้ความแข็งแกร่งของพวกเขาในฐานะศิษย์เอกถูกแสดงออกอย่างชัดเจน ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อแย่งที่นั่งในการได้กินอาหารของฉางชิงให้ได้!
การปะทะรุนแรงเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของศิษย์อื่นๆโดยรอบบนภูเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไม่ไกล
“มีคนต่อสู้กันหรือเปล่า?”
“ไม่น่าเชื่อ ใครกล้าประลองวิชาบนภูเขาดาบศักดิ์สิทธิ์?”
การประลองวิชาการต่อสู้นอกลานฝึกลายเป็นสิ่งต้องห้ามภายในสำนัก เว้นแต่ว่าจะอยู่บนเวทีการประลอง
แต่ตอนนี้มีการแผ่กระจายของพลังปราณที่หนาแน่นและชัดเจน ว่าต้องมีกลุ่มคนต่อสู้กันเป็นวงกว้างด้วย
เรื่องนี้ทำให้เกิดความสงสัย ศิษย์จำนวนมากจึงตามแหล่งปล่อยพลังปราณไปยังโรงครัว
เมื่อมาถึงที่ประตูของโรงครัว พวกเขาเห็นศิษย์จำนวนมากที่กำลังทำการต่อสู้
ศิษย์รับใช้ ศิษย์ภายนอก ศิษย์ภายใน และแม้แต่ศิษย์เอก ต่างก็ระส่ำระสายและสาปแช่งกัน
“ไอ้เวร ใครให้ข้าเข้าไปก่อน ข้าจะมอบสิบหินวิญญาณให่เลย”
“บ้าหรือไง เมื่อวานมีคนให้สิบห้าหินวิญญาณ จะให้สิบก้อน?ฝันไปเถอะ!”
“อย่าพูดมาก มาสู้กันตัดสินไปเลย”
“ศิษย์น้อง อย่าต่อว่าข้าเลยถ้าเจ้าแพ้ขึ้นมา”
“พี่ใหญ่ ยังไม่ตัดสินสักหน่อยว่าใครชนะ”
ศิษย์ทุกคนสับสนวุ่นวาย ทำให้ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งมาถึงรู้สึกตกใจ
“พวกเขากำลังทำอะไรอยู่?”
“ข้าได้ยินว่ามันเป็นการแย่งที่นั่งในการกิน ดังนั้นพวกเขาจึงสู้กัน”
“เพื่ออาหาร?”
เมื่อทราบว่าพวกเขาสู้กันเพื่อแย่งที่นั่งในการกิน ทำให้ศิษย์ที่มาใหม่ทั้งหมดรู้สึกอึ้งไปเลย
นี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง แม้แต่ศิษย์รับใช้ ศิษย์ภายนอก ศิษย์ภายใน และแม้แต่ศิษย์เอก ต่างต้องเคยทานอาหารมากมาย ทำไมถึงมาสู้กันเพื่ออาหารมื้อเดียว?
และยังเป็นอาหารจากโรงครัวของภูเขาดาบศักดิ์สิทธิ์?
“พวกเขาทั้งหมดเป็นบ้ากันไปหมดแล้วหรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิ บางทีเราอาจจะต้องเข้าไปดูใกล้ๆ?”
“ไปเถอะ”
บางคนที่อยากรู้อยากเห็นก็พยายามเข้าไปใกล้ แต่พอถึงหน้าประตูโรงครัว ก็มีศิษย์คนหนึ่งพูดออกมาทันที
“มาอีกแล้วเหรอ?”
“ไม่มีใครสามารถไปก่อนข้าได้ทั้งนั้น!”
“พี่ใหญ่ท่านทำอะไรอยู่? ข้า–ไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาแย่งตำแหน่งแต่อย่างใด แค่เข้ามาดูเฉยๆ”
ไม่ให้โอกาสอธิบาย ศิษย์ที่เข้ามาก็ถูกลากเข้าไปในความวุ่นวาย
หลังจากการแย่งชิงอย่างดุเดือด สุดท้ายผู้ชนะก็ได้กินอาหารที่เตรียมไว้
เย่ฉางชิงคาดการณ์ว่าค่ำนี้จะมีคนมามาก ดังนั้นเขาจึงเตรียมปริมาณไว้มาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนศิษย์ที่หลั่งไหลมาวันนี้ ก็ยังไม่เพียงพอแถมวันนี้ยังมีเมนูใหม่ ขาหมูตุ๋น
มองดูขาหมูตุ๋นที่เต็มไปด้วยสีและกลิ่นหอม ศิษย์ที่ได้ที่นั่งต่างก็ยิ้มกว้างจนปากแทบจะปิดไม่มิด ขณะที่ศิษย์ที่ไม่ได้ที่นั่งต้องนั่งมองอย่างอิจฉา
“หอมมาก!”
ซูเจี้ยนกัดขาหมูขนาดใหญ่ จนเต็มปากไปด้วยน้ำเนื้อในตัวขาหมูที่ทะลักออกมา ส่วนหลิวซวงและหลูยูอูก็ทำเช่นเดียวกัน
แค่เห็นภาพการกินของทั้งสาม คนที่ไม่ได้รับอาหารต้องกลืนน้ำลายกันเป็นแถว
จำนวนคนมากขึ้น จึงไม่มีการเพิ่มอาหารได้ทุกคนได้เพียงแค่ข้าวหนึ่งชาม
อย่างไรก็ตาม ศิษย์ที่ไม่ได้ที่นั่งยังไม่ยอมไปไหน พวกเขายืนอยู่ข้างๆมองศิษย์ที่กำลังกินอาหาร
“ถึงจะกินเนื้อไม่ได้ แต่ได้แทะไขกระดูกก็ยังดี”
พวกเขาหวังว่าจะได้แทะกระดูกแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีเพื่อให้ได้ลิ้มลองรสชาติ
แต่เมื่อเห็นศิษย์ที่กินเสร็จเริ่มเก็บกระดูกกลับอย่างระมัดระวัง ในนั้นมีศิษย์คนหนึ่งได้กระดูกไปใส่ในแหวนมิติ ศิษย์ที่เฝ้ารออยู่ก็ตกตะลึง
“ไม่ได่สิ! เจ้ากินเนื้อแล้ว ยังไม่ทิ้งกระดูกไปด้วยเหรอ?”
“ก็จะทำไมล่ะ? เอาไปแทะกินเป็นของว่างได้”
“เจ้า... เจ้าทำเกินไปแล้ว”
เฝ้ารอมาเป็นเวลานานพวกเขากินเนื้อไปแล้ว ยังไม่ยอมทิ้งกระดูกไปอีก?
แย่ยิ่งกว่านั้น เมื่อเห็นศิษย์คนนี้ทำเช่นนั้น ศิษย์คนอื่นๆก็เริ่มทำตามเก็บกระดูกที่เหลืออย่างระมัดระวัง
แม้แต่ซูเจี้ยนหลังจากกินเสร็จ ก็พูดเบาๆกับหลิวซวงและหลูยูอู
“พี่สาวและน้องสาว กระดูกอย่าทิ้ง นำกลับไปเป็นของว่างยามดึก ลิ้มรสสักหน่อยก็ดีนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากที่เป็นเทพธิดาของเหล่าศิษย์ในสำนัก หลิวซวงและหลูยูอูก็ไม่มีการลังเลและพยักหน้าเห็นด้วย
“พี่ชายพูดได้ถูกต้องแล้ว ควรทำเช่นนั้นจริงๆ”
หลังจากนั้น ทั้งสามก็เริ่มเก็บกระดูกที่เหลือไปด้วยและไม่ไกลจากนั้น ผู้ดูแลเฉียนโหยวไฉก็เริ่มทำตาม เก็บกระดูกที่เหลืออย่างเงียบๆ
“เยี่ยมไปเลย! คืนนี้มีของว่างแล้ว”
คนหนึ่งนั่งอยู่ในมุม เก็บกระดูกเสร็จแล้ว เฉียนโหยวไฉก็ยิ้มอย่างพอใจ
เห็นฉากนี้ศิษย์ที่ไม่เคยมาเยี่ยมที่โรงครัวก็รู้สึกตกตะลึง
นี่มันอะไร? ต่อสู้เพื่ออาหารก็ยังไม่พอ ตอนนี้กินเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ยอมทิ้งกระดูกไป? นี่มันหมายความว่าอะไร?
อาหารนี้ทำมาจากสมุนไพรหายากหรือยังไง?
โดยเฉพาะเมื่อเห็นศิษย์เอกซูเจี้ยนและคนอื่นๆ ทำเช่นนี้ มีศิษย์ภายในคนหนึ่งเริ่มสงสัย
“อาหารนี้ใช้ยาอายุวัฒนะหรือเปล่า? หรือทำจากเนื้อสัตว์หายาก?”
“ทำไมพี่สาวหลิวซวงและน้องสาวหลูยูอูถึงทำแบบนี้?”