MDB ตอนที่ 490 ป้ายไม้หมายเลขสอง
ที่ไหนสักแห่งในสถาบันเกลียวสวรรค์ ผู้ประเมินหยางหมิงกำลังพลิกดูหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง โดยมีของชิ้นหนึ่งวางรออยู่บนโต๊ะของเขา
มันเป็นป้ายไม้เก่าและดูเรียบง่าย สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือผิวสัมผัสของมันดูคล้ายกับไม้และโลหะผสมกัน ถ้าหลินจินอยู่ที่นี่ เขาคงจะจำได้ทันทีว่ามันคือป้ายไม้สำหรับเข้าสู่ห้องโถงเยี่ยมชม
ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเฉียวแห่งเมืองรี้ด
อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างเล็กน้อยอย่างหนึ่ง และนั่นคือตัวเลขที่แกะสลักไว้บนป้ายไม้อันนี้ ป้ายไม้ของตระกูลเฉียวมีหมายเลข '3' แต่ป้ายไม้ของหยางหมิงคือหมายเลข '2'
คิ้วของผู้ประเมินหยางหมิงขมวดเข้าหากันแน่น หลังจากใช้เวลานานที่สุด เขาก็วางหนังสือในมือลง
“ป้ายไม้ชิ้นนี้เก็บซ่อนความลับแบบไหนไว้กัน?” ผู้ประเมินหยางหมิงพึมพำกับตัวเอง
แต่ในระหว่างนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านนอกก่อนที่จะมีเสียงเข้ามาว่า
“ท่านอาจารย์ หลินจินได้ทำการยกเลิกการจองห้องโถงบรรยายที่หนึ่งของท่านเมื่อเช้านี้ขอรับ”
คนที่พูดข้างนอกคือหนึ่งในนักเรียนส่วนตัวของหยางหมิง ซึ่งเป็นผู้ประเมินระดับสองที่มีชื่อเสียงในสถาบันฯ ด้วยศักยภาพที่สูงของเขา เขาคงสามารถผ่านการประเมินระดับสามได้ในปีนี้
"อืม... เข้าใจแล้ว ถ้าไม่มีอะไร เจ้าช่วยออกไปได้แล้ว” หยางหมิงสั่งการอย่างไม่แยแส
ภายนอก นักเรียนของเขาตกตะลึงกับคำตอบของเขา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กระซิบว่า
“แต่ท่านอาจารย์ หลินจินเป็นผู้มาใหม่ และดูเหมือนเขาจะไม่รู้จักที่ของตัวเอง ท่านอาจทนเขาได้ แต่ในฐานะนักเรียนของท่าน เราจะทนดูเขาดูหมิ่นท่านได้อย่างไร?”
“ดังนั้น เราจึงวางแผนที่จะไปเผชิญหน้ากับหลินจินในชั้นเรียนถัดไป และท้าทายเขาต่อหน้าทุกคน เขาจะต้องอับอายขายหน้าอย่างแน่นอนขอรับ!”
พวกเขาตั้งใจจะพูดถึงการเลี้ยงสัตว์ที่หายาก และคำถามเทคนิคการประเมินอันซับซ้อน พวกเขามั่นใจว่าคำถามของเขาจะต้องทำให้หลินจินตกที่นั่งลำบาก แน่นอนว่าคงเป็นเรื่องน่าละอาย ถ้าหากอาจารย์ไม่ตอบคำถามของนักเรียนได้
หยางหมิงส่ายหัว
“ข้าอาจจะไม่พอใจเขา เพราะเขามาจากอาณาจักรมังกรหยก แต่หลินจินคนนี้มีความสามารถอย่างแท้จริง มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถผ่านการประเมินระดับสี่ได้อย่างราบรื่น
ถึงแม้ว่าตัวเจ้าในตอนนี้จะมีความสามารถของผู้ประเมินระดับสามแล้ว แต่เจ้าก็ยังด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับหลินจิน อย่าพยายามก่อเรื่องวุ่นวายเลย เจ้าไม่เพียงแต่จะต้องอับอายเท่านั้น แต่ข้าก็จะต้องอับอายเพราะเจ้าอีกด้วย”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ นักเรียนที่อยู่ข้างนอกก็ตกใจและเขาก็รีบยกเลิกความคิดนั้นไป
“การไม่ชอบเขาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การยอมรับความสามารถของเขาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อันที่จริง ข้าเองก็มีชั้นเรียนที่อยากจะสอนอยู่พอดี แต่สุดท้าย ข้าก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากเหตุผลบางประการ
หากสิ่งที่เกอดขึ้นได้ลุกลามจนกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ข้าคงจะอธิบายตัวเองให้ท่านชายจงกับอาจารย์คนอื่น ๆ ฟังไม่ได้
ดังนั้น เจ้าจงฟ้าข้าและปล่อยให้นี่เป็นจุดสิ้นสุดของการทะเลาะวิวาทของข้ากับหลินจิน”
เมื่อพูดจบ หยางหมิงก็รอให้นักเรียนส่วนตัวของเขากลับไป ก่อนที่จะหันเหความสนใจกลับไปที่ป้ายไม้บนโต๊ะของเขา
ป้ายไม้ถูกส่งถึงเขาโดยเพื่อนสนิทของเขาเมื่อคืนนี้ หยางหมิงเป็นผู้ประเมินระดับสี่ และข้อดีอย่างหนึ่งของสถานะของเขาคือการมีเครือข่ายเส้นสายที่กว้างขวาง
เนื่องจากไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาจะไม่ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ? ด้วยเหตุนี้ หลายคนหวังที่จะผูกมิตรกับผู้ประเมินที่มีประสบการณ์
ภายหลังจากทำงานในเมืองเกลียวสวรรค์มาหลายปี หยางหมิงก็เติบโตขึ้นจนมีเพื่อนฝูงมากมาย
เพื่อนที่ดีของเขาคนนี้เป็นนักบวชที่มีชื่อเสียง ผู้ชื่นชอบการเดินทางและมักจะค้นพบสมบัติล้ำค่า
ถ้าจะพูดให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ตัวเขานั้นเป็นผู้ปล้นสุสาน
ครั้งหนึ่ง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในหลุมศพผู้อมตะ และสัตว์เลี้ยงของเขาเกือบตาย หยางหมิงเป็นผู้ช่วยชีวิตเพื่อนของเขา ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา ชายทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ดังนั้นเมื่อคืนก่อน หลังจากที่หยางหมิงสั่งให้ลูกศิษย์เขียนจองห้องโถงบรรยายที่หนึ่ง เพื่อนคนนี้ก็ตัดสินใจไปเยี่ยมเขาด้วยความประหลาดใจ
เขาเข้ามาหยางหมิงด้วยท่าทีกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาบอกว่าเขาต้องการความช่วยเหลือจากหยางหมิงเพื่อดูแลบางสิ่งบางอย่าง
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผู้ปล้นสุสานเช่นเขาใช้ชีวิตอยู่กับการกระทำที่ชั่วร้าย ดังนั้นเขาจึงไม่มีเพื่อนที่ไว้ใจได้มากนัก
แม้ว่าหยางหมิงจะเป็นคนหยิ่ง แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็จริงใจต่อเพื่อนแท้ของเขา ดังนั้น ผู้ปล้นสุสานจึงเลือกที่จะพึ่งพาเขาในยามจำเป็น
ผู้ปล้นสุสานอธิบายว่านับตั้งแต่ได้รับป้ายไม้ประหลาดนี้มา เขาก็ถูกสะกดรอย และตามล่าโดยกองกำลังลึกลับ เขาได้ทำการปะทะกับอีกฝ่ายหลายครั้งก่อนที่จะมาถึงเมืองเกลียวสวรรค์ในที่สุด
เมื่อไม่มีใครให้เขาเชื่อใจอีกแล้ว เขาทำได้เพียงฝากป้ายไม้ไว้กับหยางหมิงเท่านั้น ในเวลาเดียวกัน เขาหวังว่าเพื่อนผู้ประเมินของเขาจะสามารถเปิดเผยความลับเบื้องหลังป้ายไม้ที่แสนจะดูธรรมดานี้ได้
“ผู้ประเมินหยาง ป้ายไม้นี้เกี่ยวข้องกับเต้าจวินผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกเมื่อห้าร้อยปีก่อน มีข่าวลือว่าใครก็ตามที่สามารถเปิดเผยความลับของมันได้ คน ๆ นั้นจะได้รับมรดกของเต้าจวิน
บางทีป้ายไม้นี้อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าต้องประสบพบเจอปัญหามากมาย แต่ข้าเป็นคนไม่มีการศึกษา ข้าไม่พบสิ่งใดในป้ายไม้นี้เลย ดังนั้นทำไมเจ้าไม่ลองช่วยข้าดูมันล่ะ? หากเจ้าพบอะไรก็ช่วยมาแบ่งปันข้าด้วยกันนะ”
นี่คือสิ่งที่ผู้ปล้นสุสานบอกกับหยางหมิงก่อนจะออกเดินทาง
เขาเชื่อใจหยางหมิงอย่างสุดหัวใจ มิฉะนั้น เขาคงไม่ทิ้งของมีค่าเช่นนี้ให้ตกอยู่มือของหยางหมิง
ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ หยางหมิงได้ค้นหาข้อความโบราณโดยหวังว่าจะพบต้นกำเนิดและความลับของป้ายไม้นี้ หลังจากการค้นคว้าตลอดทั้งคืน เขาก็พบเบาะแสบางอย่าง และป้ายไม้นี้ก็เกี่ยวข้องกับเต้าจวินจริง ๆ ด้วย
แน่นอนว่า หยางหมิงรู้ว่าเต้าจวินคือใคร ชื่อของเต้าจวินมีชื่อเสียงแม้กระทั่งในสถาบันสวรรค์ มีข่าวลือว่าไม่เพียงแต่เต้าจวินจะเป็นวายร้ายอันดับหนึ่งเมื่อห้าร้อยปีก่อน เขายังเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดที่มนุษย์รู้จัก แถมเขายังเป็นผู้ประเมินอันดับหนึ่ง และเป็นผู้บุกเบิกการศึกษาการประเมินสัตว์วิเศษอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ หยางหมิงจึงยืนกรานที่จะค้นหาความลับของป้ายไม้นี้
อย่างไรก็ตาม หยางหมิงพบข้อความในตำราโบราณเล่มหนึ่งว่า หนังสือเล่มนี้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยผู้ประเมินเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งพูดถึงเหตุการณ์หนึ่งเมื่อพบเพื่อนของเขา
เนื้อหาข้างในกล่าวว่า
'ป้ายไม้ที่มีหมายเลข มันจะทำหน้าที่เป็นกุญแจ เพื่อนของข้าได้หายตัวไปทางประตูอย่างลึกลับ และเมื่อเพื่อนของข้ากลับมา เขารู้สึกสบายใจและมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด'
ป้ายไม้ที่มีหมายเลขดังกล่าวเป็นไม้ชิ้นหนึ่งซึ่งมีหมายเลขแกะสลักอยู่ นั่นอธิบายสิ่งที่หยางหมิงถืออยู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แม้ว่าส่วนที่เกี่ยวกับการ 'หายไปทางประตู' นั้นน่าสับสนอย่างไม่น่าเชื่อ เขาสงสัยว่าประตูนี้อยู่ที่ไหน?
น่าเสียดายที่ข้อความโบราณให้ข้อมูลได้แค่นี้ และไม่มีเบาะแสอื่นใดอีก หยางหมิงจึงเริ่มสนใจเรื่องนี้มากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความดื้อรั้นและความเย่อหยิ่งของเขา หยางหมิงจึงแทบไม่ขอความช่วยเหลือจากใครเลย แต่หลังจากคิดดูอีกที เขาตัดสินใจถามเพื่อนผู้ปล้นสุสานโดยละเอียดเมื่อเขากลับมา เพื่อนของเขาต้องรู้เรื่องอะไรมากกว่านี้
ทันใดนั้น ความคิดของเขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงอันร่าเริง
“ผู้ประเมินหยางหมิง พวกเรารบกวนท่านด้วยการมาเยี่ยมโดยไม่แจ้งล่วงหน้าหรือเปล่า?”
หลังจากสิ้นเสียงนั้น อาจารย์ของสถาบันฯสองคนก็เข้ามา ซึ่งเป็นทั้งผู้ประเมินระดับสี่เช่นเดียวกับหยางหมิง
“โอ้ ผู้ประเมินหยานและผู้ประเมินโอหยาง ทำไมจู่ ๆ พวกท่านถึงมาเยี่ยมข้าล่ะ?”
หยางหมิงยืนขึ้นเพื่อรับพวกเขา
ในสถาบันเกลียวสวรรค์ ทั้งผู้ประเมินหยางกับผู้ประเมินโอหยางเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
เนื่องจากเขาต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ทุกคน ถึงนิสัยที่ยากจะรีบมือได้จะเป็นเช่นไร แต่หยางหมิงก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้อื่นได้
ส่วนผู้ประเมินหยานกับผู้ประเมินโอหยางมีนิสัยแตกต่างจากหยางหมิงโดยสิ้นเชิง เมื่อใดก็ตามที่เกิดวิกฤติ พวกเขาจะเป็นคนแรกที่เป็นสื่อกลางในการแก้ไขปัญหา
ผู้ประเมินหยานมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะเริ่มด้วยรอยยิ้ม
“อันที่จริง มีเหตุผลเล็กน้อยสำหรับการมาเยี่ยมของเรา ข้าได้ยินมาว่าผู้ประเมินหยางมีความขัดแย้งเล็กน้อยกับผู้ประเมินหลิน เนื่องจากการจองห้องโถงบรรยายที่หนึ่งที่ซ้อนทับกัน”
สีหน้าของหยางหมิงมืดลง และเขาก็เงียบไป
ผู้ประเมินโอวหยางกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้มว่า
“ข้าได้สอบถามจากนักเรียนมาแล้ว ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เราต่างก็เป็นอาจารย์ในสถาบันฯเดียวกัน และแทบจะพบเจอหน้ากันตลอดเวลา
ดังนั้นเราจะต้องไม่ทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พรรค์นี้ แถมผู้ประเมินหลินเพิ่งเข้ามาใหม่ ดังนั้นหากเขาทำเรื่องที่อาจผิดใจท่าน ได้โปรดช่วยอดทนกับเขาด้วย ผู้ประเมินหยาง”
หยางหมิงตอบอย่างไม่มีอารมณ์ใด ๆ
“ข้าไม่มีความแค้นใด ๆ กับผู้ประเมินหลิน และเป็นเรื่องจริงที่ข้าต้องการใช้ห้องโถงบรรยายที่หนึ่งเมื่อเช้านี้ แต่ข้าไม่สามารถไปทำการสอนได้เนื่องจากข้ามีธุระฉุกเฉิน
อันที่จริง ข้าได้สั่งให้ลูกศิษย์ของข้าไปยกเลิกการจองแล้วด้วย แต่มันคงจะช้าเกินไป ผู้ประเมินดันไปถึงห้องโถงบรรยายที่หนึ่งก่อน
แน่นอนว่าข้าสามารถยกโทษให้ความไม่รู้ของเขาได้ แต่ผู้ประเมินหลินได้ทำการยกเลิกการจองของข้าด้วยมือของเขาเอง พวกท่านแน่ใจจริง ๆ เหรอว่า เขาไม่มีความแค้นอะไรกับข้า?”
ด้วยเหตุนี้ ทั้งผู้ประเมินหยานและผู้ประเมินโอหยางถึงกับพูดไม่ออก
แท้จริงแล้ว หยางหมิงเป็นคนที่มีนิสับที่แปลกประหลาด และดูเหมือนว่าความขัดแย้งนี้ยังอีกยาวไกล
“ข้าขอย้ำอีกครั้งว่าข้าไม่มีความแค้นกับผู้ประเมินหลินเลย ตราบใดที่เขาไม่ยั่วยุข้า ข้าก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะยุ่งวุ่นวายกับใคร แล้วอีกอย่างตอนนี้ข้าไม่สะดวก ดังนั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอเชิญให้พวกท่านกลับไปเสีย”
หยางหมิงยกมือขึ้นโค้งคำนับเพื่อเป็นการกล่าวลาแขกของเขา
ผู้ประเมินหยานกับผู้ประเมินโอหยางต่างมองหน้ากัน พวกเขายิ้มแห้ง ๆ แล้วเดินจากไป
หยางหมิงก็นึกขึ้นได้ว่าป้ายไม้ยังบนโต๊ะ เขาจึงหันกลับไปหยิบมัน และซุกมันไว้ในแขนเสื้ออย่างปลอดภัย