(ฟรี) บทที่ 260 นักฆ่าบนถนน
เช้าวันรุ่งขึ้น
สวี่ชิวเหวินไปกับหนิงว่านชิวและซื้อ Hyundai Elantra ตัวท็อปโดยทันที ค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมประกันภัย ป้ายทะเบียน และสิ่งต่างๆอยู่ที่ 160,000 หยวน
สวี่ชิวเหวินชำระเงินด้วยบัตรของเขา
เมื่อพนักงานขายเห็นสวี่ชิวเหวินจ่ายเงินเธอก็ประหลาดใจ เธออยากรู้อยากเห็นมากและถามหนิงว่านชิวทันที
หนิงว่านชิวภูมิใจในตัวลูกชายของเธอมากและอดไม่ได้ที่จะบอกพนักงานขายว่าลูกชายของเธอทำเงินได้มากมาย
หลังจากได้ยินดังนั้น พนักงานขายก็ชื่นชมสวี่ชิวเหวินและทำให้หนิงว่านชิวมีความสุขมาก
จนกระทั่งพวกเขาออกจากโชว์รูมรอยยิ้มบนใบหน้าของหนิงว่านชิวไม่เคยจางหายไปเลย
เมื่อออกมาด้านนอก หนิงว่านชิวเป็นคนขับและสวี่ชิวเหวินนั่งอยู่บนเบาะผู้โดยสาร เขาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “แม่ ทำไมแม่ถึงบอกพนักงานขายมากขนาดนั้น”
หนิงว่านชิวกลอกตาใส่เขา “ลูกไม่อยากให้แม่บอกญาติกับเพื่อนๆ พอแม่พูดกับคนแปลกหน้าสองสามคำก็ยังมาบ่นอีก?”
สวี่ชิวเหวินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะๆ ผมไม่ยุ่งแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”
หนิงว่านชิวก้มศีรษะลงและเริ่มจัดการกับรถยนต์ราวกับมือใหม่
สวี่ชิวเหวินเห็นดังนั้นก็คาดเข็มขัดนิรภัยอย่างเงียบๆแล้วถามอย่างกังวล “แม่ยังไม่ลืมวิธีขับรถใช่ไหม?”
หนิงว่านชิวขมวดคิ้ว “เลิกบ่นเสียที แม่ใช้เวลาคิดก่อนไม่ได้หรือไง?”
สวี่ชิวเหวินยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก
หนิงว่านชิวได้รับใบขับขี่เมื่อปีก่อน แต่เมื่อเห็นท่าทางปัจจุบันของแม่ เธออาจจะลืมไปเกือบหมดแล้ว
สวี่ชิวเหวินเสียใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาควรจะขับด้วยตัวเองแล้วไปหาพื้นที่โล่งเพื่อสอนหนิงว่านชิวก่อน
“แม่ ทำไมไม่ให้ผมขับก่อนล่ะ? ครั้งหน้าแม่ค่อยขับเอง”
หนิงว่านชิวหันมาจ้องมองเขา “แม่ขับได้ หยุดจู้จี้จุกจิกได้แล้ว ถ้าจะงอแงก็ลงจากรถแล้วเดินกลับบ้านไป”
สวี่ชิวเหวินรู้สึกตกใจกับออร่าของแม่และหุบปากทันที เพราะเขารู้หนิงว่านชิวหมายความอย่างนั้นจริงๆ
ไม่นานรถก็สตาร์ทและค่อยๆแล่นไปตามถนน
ระหว่างทางกลับบ้าน ความเร็วรถอยู่ที่ประมาณ 20-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น และยังเบรกกะทันหันเป็นครั้งคราว
สวี่ชิวเหวินกังวลมากจนแทบจะอาเจียนออกมา
ในที่สุดเมื่อรถมาถึงบ้าน สวี่ชิวเหวินก็เปิดประตูทันทีและกระโดดลงไป
ยืนอยู่บนพื้นแข็ง ขาของเขาสั่นเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้... การขับรถของหนิงว่านชิวน่ากลัวเกินไป
หนิงว่านชิวก็ลงจากรถเช่นกัน เมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกชายใบหน้าของเธอก็เริ่มแดง แต่เธอยังคงพูดอย่างเย็นชา “เป็นอะไรไป เราก็ถึงบ้านอย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือไง?”
สวี่ชิวเหวินทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น เขาจะไม่นั่งรถที่แม่ขับอีกเป็นครั้งที่สอง
—
บ่ายสามโมง
สวี่ชิวเหวินรับหน้าที่ขับรถพาแม่ไปบ้านคุณยาย
ครอบครัวของคุณยายอาศัยอยู่ในชนบท หากเดินทางด้วยรถประจำทางต้องใช้เวลากว่าสามชั่วโมง ในขณะที่การขับรถเองเพียงชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้ว
ระหว่างการเดินทาง หนิงว่านชิวเฝ้าดูการขับรถอันนุ่มนวลของลูกชาย จากนั้นก็นึกถึงการขับของตัวเองในตอนเช้า... เธอจึงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างเพื่อพยายามปกปิดความละอาย
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงบ้านคุณยาย
หนิงว่านชิวซื้อของมามากมาย ทั้งขนม โยเกิร์ต และเสื้อผ้า
หลังจากหยุดรถ คุณยายก็ออกมาทักทาย ใบหน้าของเธอยังคงมีรอยเหี่ยวย่น แต่เมื่อเห็นลูกสาวและหลานชาย เธอก็ยิ้มออกมาทันที
สวี่ชิวเหวินและแม่ของเขายุ่งอยู่กับการขนย้ายสิ่งของ ในขณะที่คุณยายพึมพำอยู่ด้านข้างว่าทำไมต้องซื้อของมามากมาย
หนิงว่านชิวพูดด้วยรอยยิ้ม “ใกล้จะปีใหม่แล้ว เราต้องซื้อของมาให้คุณแม่สิคะ”
บ้านของคุณยายเป็นแบบที่พบได้ทั่วไปในชนบท ด้านหน้ามีบ้านหลังคากระเบื้องขนาดใหญ่ ถัดไปเป็นบ้านขนาดเล็กอีกสาม ซึ่งล้อมลานบ้านตรงกลางไว้
ในสวนมีต้นทับทิม ต้นแพร์ รวมทั้งไก่และเป็ด
เมื่อเดินผ่านประตูบ้าน คุณจะเห็นภาพ “เมสสิยาห์[1]” แขวนอยู่เต็มไปหมดบนผนังตรงข้ามกับทางเข้า
ภาพเหมือนของเมสสิยาห์อยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว ในความเป็นจริงหลายครอบครัวในหมู่บ้านก็มีภาพเหล่านี้เช่นกัน แม้คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจมากนัก แต่ปู่ของสวี่ชิวเหวินมักจะเช็ดรูปเหมือนและจุดธูปทุกวัน
สวี่ชิวเหวินเคยได้ยินปู่ของเขาพูดถึงว่าได้พบกับเมสสิยาห์ที่กรุงปักกิ่งในช่วงกองทัพแดง[2]ได้อย่างไร
ปู่ของเขาเป็นครูในโรงเรียนมัธยมต้น ในช่วงปิดเทอมเขามักจะใช้เวลาช่วงบ่ายเล่นไพ่นกกระจอกกับชายชราคนอื่นในหมู่บ้าน
ส่วนคุณยายมักจะยุ่งอยู่ที่โรงเก็บของด้านหลัง ตั้งแต่วัยเด็กสวี่ชิวเหวินรู้สึกสงสัยกับสิ่งหนึ่งมาโดยตลอด... นั่นคือดูเหมือนคุณยายจะไม่เคยว่างเลย เธอมีกิจกรรมมากมายให้ทำอยู่เสมอ
หลังจากมาถึงบ้านคุณยาย คุณยายก็นำลูกแพร์และทับทิมมาให้ พร้อมทั้งถามว่าหิวน้ำหรือเปล่า
จริงๆแล้วสวี่ชิวเหวินไม่ได้หิวหรือกระหายน้ำ แต่เพื่อให้หญิงชราสบายใจ เขาจึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นคุณยายและหนิงว่านชิวก็เริ่มเตรียมอาหารเย็นในครัวด้านหลังบ้านเล็กๆ
หนิงว่านชิวมีพี่สาวทั้งหมดสามคนและพี่ชายอีกหนึ่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างห้าพี่น้องไม่ค่อยดีนัก
ป้าและลุงของสวี่ชิวเหวินมีผลการเรียนไม่ดีและส่วนใหญ่จบมัธยมต้นเท่านั้น มีเพียงหนิงว่านชิวที่มีผลการเรียนดีและไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย
หลังจากแต่งงาน บรรดาป้าๆก็อาศัยอยู่ในชนบท เผชิญกับลมและฝน ทำงานท่ามกลางแสงแดดในฟาร์ม พวกเขาจึงดูแก่กว่าหนิงว่านชิวมาก นอกจากนี้รูปร่างหน้าตาของพี่สาวทั้งสามก็ไม่ดีเท่าหนิงว่านชิว
เนื่องจากมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในอดีต ความสัมพันธ์ของหนิงว่านชิวกับเหล่าพี่สาวของเธอจึงไม่ค่อยดีนัก
สำหรับลุงคนเดียวของสวี่ชิวเหวิน ความสัมพันธ์นั้นยิ่งแย่ลงไปอีก
ก่อนแต่งงานลุงเป็นคนมีเมตตามาก แต่หลังจากแต่งกับภรรยา เขาก็ราวกับกลายเป็นคนละคน
พวกเขาโต้เถียงกันมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สวี่ชิวเหวินจำได้ว่าตอนที่เขายังเป็นเด็ก ป้าของเขาชี้หน้าและดุคุณตาคุณยาย ในขณะที่คุณลุงยืนฟังอยู่ข้างๆโดยไม่พูดอะไรสักคำ
กล่าวโดยสรุปคือ ความสัมพันธ์ของหนิงว่านชิวกับพี่ชายพี่สาวของเธอนั้นไม่ดีเลย... และเนื่องจากผู้อาวุโส ความสัมพันธ์ของสวี่ชิวเหวินกับลูกพี่ลูกน้องของเขาจึงไม่ค่อยดีนักเช่นกัน
โดยปกติแล้วหนิงว่านชิวจะไม่กลับบ้านในช่วงเทศกาล มีเพียงวันพิเศษอย่างปีใหม่เท่านั้น
เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ...
ไม่นานก็ห้าโมงเย็น
ครอบครัวของลุงเป็นคนแรกที่มาถึงหลังจากสวี่ชิวเหวิน บ้านของพวกเขาอยู่ใกล้ที่สุดเมื่อเทียบกับป้าๆคนอื่นๆ
แต่เมื่อเวลาหกโมงเย็น ครอบครัวของป้าคนอื่นๆก็มาถึงเช่นกัน
นี่เป็นประเพณีของครอบครัว ทุกๆปีพวกเขาทั้งหมดจะกลับมาบ้านในช่วงสองวันก่อนปีใหม่ แต่มีเพียงลุงและหนิงว่านชิวเท่านั้นที่อยู่ต่อ ในขณะที่ป้าคนอื่นๆจะไปอยู่กับครอบครัวของสามี
เมื่อผู้คนกลับมามากขึ้นเรื่อยๆ ลานที่ครั้งหนึ่งเคยว่างเปล่าก็มีชีวิตชีวา
แม้ว่าสวี่ชิวเหวินจะมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับลุงๆป้าๆและลูกพี่ลูกน้อง แต่เขาก็รู้วิธีปฏิบัติตนต่อหน้าผู้อาวุโส... เขาทักทายผู้อาวุโสแต่ละคนอย่างสุภาพ
/////
[1] พระเมสสิยาห์ (救世主) หมายถึง พระผู้ช่วยให้รอด ตามความเชื่อในกลุ่มศาสนาอับราฮัม ได้แก่ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม
[2] กองทัพแดงของกรรมกรและชาวนาจีน หรือเรียกอย่างย่อว่า กองทัพแดง (红军) เป็นกองกำลังทหารของพรรคคอมมิวนิสต์จีนระหว่างปี พ.ศ. 2471–2480 ถือกำเนิดขึ้นจากการแตกแยกและการก่อกบฏของทหารคอมมิวนิสต์บางส่วนในกองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีน