บทที่ 22 ได้เคล็ดวิชาลมปราณ
เมื่อมองเห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเย่ฉางชิง หงจุ้นเริ่มคิดว่าเขาอาจประเมินพรสวรรค์ของเจ้าเด็กคนนี้ต่ำไป แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขายิ้มแล้วถามขึ้น
“ถึงขั้นหลอมร่างขั้นสูงแล้ว เจ้าคงจะคิดไปที่หอตำราเพื่อเลือกเคล็ดวิชากระตุ้นพลังลมปราณสินะ?”
เย่ฉางชิงไม่ได้ปิดบังอะไรกับคำถามของหงจุ้น เพราะมันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบัง
“ขอรับ ศิษย์มีความคิดเช่นนั้นจริงๆ”
“อย่าไปเลย เจ้าเป็นแค่ศิษย์รับใช้ ไปที่หอตำราก็ไม่ได้รับเคล็ดวิชาดีๆ หรอก ให้ข้าสอนเจ้าเองดีกว่า” หงจุ้นพูดขึ้นโดยไม่ลังเล
เนื่องจากฐานะของเย่ฉางชิง การไปหอตำราก็จะได้เพียงแค่เคล็ดวิชากระตุ้นพลังลมปราณขั้นพื้นฐาน ซึ่งก็ไม่มีประโยชน์มากนัก ขณะที่เคล็ดวิชาที่หงจุ้นจะสอนให้นั้นแน่นอนว่าดีกว่ามากมาย เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย
พูดจบ หงจุ้นไม่รอให้เย่ฉางชิงตอบโต้ เขาใช้ปลายนิ้วชี้ปล่อยพลังปราณเข้าสู่สมองของเย่ฉางชิงทันที
ในชั่วพริบตาเดียว เคล็ดวิชา "มิ่งซินเจวี่ย" ก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเย่ฉางชิง
ระดับของเคล็ดวิชาแบ่งออกเป็นสี่ขั้นตามลำดับคือ ทั่วไป, หายาก, โบราณ, และ ตำนาน แต่ละขั้นก็แบ่งออกเป็นสามระดับคือ สูง กลาง และ แรก
ส่วนเคล็ดวิชามิ่งซินเจวี่ยที่หงจุ้นสอนให้เย่ ฉางชิงนั้นเป็นเคล็ดวิชากระตุ้นพลังลมปราณขั้นทั่วไประดับกลาง ไม่เพียงช่วยให้สามารถรับรู้พลังลมปราณแห่งฟ้าดินได้ง่ายขึ้น
แต่ยังมีวิธีการใช้พลังที่พิเศษเพื่อเดินเส้นลมปราณ และยังช่วยให้เข้าใจสภาวะรู้แจ้งได้อย่างชัดเจน
เย่ฉางชิงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตา เคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ หงจุ้นกลับสอนให้เขาอย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นสายตาของเย่ฉางชิง หงจุ้นก็หัวเราะแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องคิดมาก ข้าให้เจ้าแล้วก็จงฝึกฝนให้ดี หากมีอะไรไม่เข้าใจก็มาถามข้าได้”
การเริ่มต้นเข้าสู่ขั้นลมปราณทำให้เย่ฉางชิงถือว่ากำลังเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนที่แท้จริง และในช่วงเวลาต่อจากนี้ เขาก็ได้เรียนถามหงจุ้นในเรื่องต่างๆ มากมาย
ในระหว่างการสอน หงจุ้นก็ค้นพบว่า เย่ฉางชิงมีความสามารถในการเรียนรู้สูง ความรู้ที่เขาสอนไปเพียงครั้งเดียว เย่ฉางชิงก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด แม้จะยังไม่เทียบเท่าศิษย์สืบทอดอย่างหลู ยูอู แต่ความสามารถในการเข้าใจของเขาก็อยู่ในระดับยอดเยี่ยม
“เด็กคนนี้มีความสามารถในการเข้าใจสูงขนาดนี้เชียวหรือ?” หงจุ้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยความเข้าใจแบบนี้ การจะเป็นศิษย์สายนอกไม่ใช่เรื่องยาก แต่เหตุใดเขาถึงยังเป็นแค่ศิษย์รับใช้?
ไม่นานนัก หงจุ้นก็พบปัญหาที่แท้จริง ทฤษฎีเขาเข้าใจดี แต่เมื่อถึงการฝึกปฏิบัติกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เขาเตะถูกร่างหลายครั้ง และเคล็ดวิชาบางอย่างต้องให้หงจุ้นสาธิตหลายรอบ
แม้ว่าเย่ฉางชิงจะมีความเข้าใจที่ดี แต่พรสวรรค์และรากฐานของเขายังอ่อนแอเกินไป อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เขาชื่นชอบอาหารของเย่ฉางชิง หงจุ้นจึงตัดสินใจที่จะสอนเคล็ดวิชามิ่งซินเจวี่ยให้เย่ฉางชิงอย่างเต็มที่ต่อไป
การได้รับคำชี้แนะจากเจ้าสำนักโดยตรงและตัวต่อตัวเป็นสิ่งที่แม้แต่ศิษย์สืบทอดยังต้องอิจฉา
หลังจากฝึกฝนไปสองชั่วยาม เย่ฉางชิงก็สามารถเข้าใจเคล็ดวิชามิ่งซินเจวี่ยได้ในระดับพื้นฐาน
“ต่อจากนี้ต้องพึ่งตัวเจ้าเองแล้ว ครูแค่พาเข้าไปที่ประตู การฝึกฝนเป็นหน้าที่ของตัวเจ้า” หงจุ้นที่เหน็ดเหนื่อยจากการสอนก็พูดขึ้น
ผลลัพธ์ที่เย่ฉางชิงจะสามารถฝึกฝนมิ่งซินเจวี่ยได้ถึงระดับไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขาเอง หงจุ้นคิดว่า หากเย่ฉางชิงสามารถฝึกจนบรรลุถึงขั้นแรกๆได้ก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
เย่ฉางชิงพยักหน้ารับคำพูดของหงจุ้น โดยไม่รู้สึกท้อแท้ เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปมากพอสมควรแล้ว เขาจึงเริ่มเตรียมอาหารมื้อกลางวันต่อ
เมื่อพูดถึงการกินหงจุ้นกลับตื่นตัวขึ้นมาในทันที เขาสังเกตว่าตัวเองได้ใช้เวลาทั้งเช้าอยู่กับเย่ฉางชิงโดยไม่รู้ตัว เพราะเจ้าเด็กนี่บางครั้งก็ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายจนลืมเวลาไป
“ไม่ได้การ วันนี้ข้าต้องกินเพิ่มอีกสองชาม”
อาหารกลางวันยังคงเป็นหมูผัดและเต้าหู้ผัดพริกเหมือนเดิม ไม่มีเมนูใหม่ เนื่องจากยังไม่มีวัตถุดิบ ต้องรอให้เฉียนโหยวไฉส่งของมาในช่วงบ่ายก่อนถึงจะทำได้
เต้าหู้ผัดพริกได้รับคะแนนชื่นชมถึง 100 คะแนนเมื่อวานนี้ ซึ่งทำให้ระบบให้รางวัลเมนูใหม่คือ "ขาหมูตุ๋นซีอิ๊ว" เมื่อของมาถึงในช่วงบ่าย เย่ฉางชิงก็จะเริ่มทำได้ ส่วนตอนนี้ต้องทำอาหารกลางวันแบบเรียบง่ายไปก่อน
เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวันเย่ฉางชิงถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นจำนวนคนที่มา มากถึงหนึ่งพันคนในวันนี้
ขณะที่เย่ฉางชิงยังอยู่ในครัว หงจุ้นอยู่คนเดียวที่ลานโรงครัว เขาได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายดังมาจากทางเข้า จำนวนคนมากเกินกว่าที่เขาคาดไว้ หงจุ้นใช้พลังปราณตรวจสอบและเขาก็ต้องตกใจ
“ทำไมวันนี้คนมาเยอะขนาดนี้?”
เมื่อวานมีเพียงสองร้อยคน แต่วันนี้กลับมีคนมากถึงหนึ่งพันคน เขากระพริบตาและก้าวไปยืนอยู่ที่โต๊ะใหญ่เป็นคนแรก ตามมาด้วยเสี่ยวไป๋ และทันใดนั้น กลุ่มคนก็พากันกรูกันเข้ามาในลานบ้าน
“โธ่โว้ย ทำไมวันนี้คนถึงเยอะขนาดนี้?”
“ไม่รู้เหมือนกัน มีทั้งศิษย์สายนอกและศิษย์สายในมาเพียบเลย”
“ใครมันปากโป้งบอกเรื่องนี้ออกไปวะ?”
“จำได้ว่าเมื่อวานหลี่ต้าจุ้ยมากินด้วยนี่นา”
“ต้องเป็นหมอนั่นแน่ๆ ปากของมันไม่มีประตูกั้นเลยสักนิด”
หลี่ต้าจุ้ยเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ศิษย์รับใช้ของยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์น เพราะปากของเขาปากไวเป็นพิเศษ เรื่องไหนที่เขารู้ วันรุ่งขึ้นก็จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งยภูเขา
เหล่าศิษย์รับใช้ต่างพากันด่าหลี่ต้าจุ้ย ส่วนศิษย์สายนอกและศิษย์สายในท่มาใหม่ครั้งแรกต่างพากันสงสัย
“อร่อยจริงตามคำร่ำลือหรือเปล่านะ?”
“ไม่น่าจะเลวร้ายหรอก ดูศิษย์รับใช้พวกนั้นสิ ตื่นเต้นกันมากเลย”
เหล่าศิษย์ยืนเบียดเสียดกันอยู่หน้าประตู ขณะเดียวกันซูเจี้ยน หลิวซวง และหลูยูอู สามคนมาช้าและตกใจกับจำนวนคนในวันนี้ที่มากเกินไป
แต่เพียงครู่เดียว ซูเจี้ยนก็เป็นคนแรกที่ตั้งสติได้
“ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง ใช้ทักษะเคลื่อนที่เร็วกันเถอะ ช้าเดี๋ยวอดกิน”
เมื่อวานถ้ามาช้าก็แค่พลาดของเติมเพิ่ม แต่วันนี้มีคนมากกว่าหนึ่งพันคน ถ้าช้าไปจริงๆ คงอาจไม่ได้กินเลยก็เป็นได้
พูดจบ ซูเจี้ยนก็ลงมือทันที
“พริบยาก้าวไร้ร่องลอย”
“ย่างก้าวพริ้วดอกไม้ร่วง”
ทั้งสามคนเร่งความเร็วแซงฝูงชนและเข้าสู่ลานโรงครัวในทันที
ศิษย์รับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ ยังไม่ทันได้ตอบสนอง แต่เหล่าศิษย์สายในบางคนที่มองเห็นก็อุทานออกมา
“ทักษะเคลื่อนที่หรือ?”
“เร็วมาก ข้าดูไม่ทัน”
“อย่าไปสนใจเลย พวกนั้นใช้ทักษะเคลื่อนที่เพื่อแย่งที่นั่งแล้ว!”
เมื่อทุกคนรู้ตัว ก็เริ่มเลียนแบบกันบ้าง เหล่าศิษย์สายนอกและศิษย์สายในต่างพากันดิ้นรนเคลื่อนที่ให้ไวที่สุดเพื่อแย่งที่นั่ง
“โธ่โว้ย เกือบโดนพวกมันชิงไปแล้ว”
“รีบลุยเข้าไป!”
“บ้าจริง ใครมันเตะข้าวะ? ไม่รักษามารยาทเลยใช่มั้ย!”
ท่ามกลางความชุลมุนหน้าประตูโรงครัว ศิษย์หลายคนไม่เพียงแต่ใช้ทักษะเคลื่อนที่ บางคนยังใช้กำลังเพื่อแย่งชิงที่นั่งหน้าสุด
ขณะที่ในลานบ้าน หงจุ้น เสี่ยวไป๋ ซูเจี้ยน และศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งที่ได้ที่นั่งแล้ว ต่างนั่งสงบนิ่งรออาหาร โดยไม่สนใจความวุ่นวายที่เกิดขึ้น