บทที่ 21 เลือกวิชายุทธ์
เมื่อเฉียนโหยวไฉเห็นหงจุ้น เขาก็แทบจะลืมเรื่องการกินไปเลย แม้ว่าท้องจะร้องครวญครางเพราะความหิว แต่เมื่อเห็นท่านเจ้าสำนักเขาเองจะไม่รีบเข้าไปกล่าวทักทายได้อย่างไร?
เฉียนโหยวไฉรีบก้าวเท้าเข้าไปหาหงจุ้น ทว่าพอเดินไปถึงตรงหน้า หงจุ้นกำลังก้มหน้าก้มตาโซ้ยข้าว กลับตักคำสุดท้ายเข้าปากแล้วลุกขึ้นยืนทันที
“ท่านเจ้าสำนั...”
เฉียนโหยวไฉเพิ่งจะเอ่ยปากพูด แต่หงจุ้นไม่แม้แต่จะชายตามองเขา
เพราะในขณะนั้นเองศิษย์รับใช้คนหนึ่งได้วิ่งตรงไปยังโต๊ะอาหารใหญ่ ซึ่งบนโต๊ะเหลือเพียงข้าวกับหมูผัดและเต้าหู้ผัดพริกอย่างละนิดหน่อย พอแค่สำหรับคนเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ หงจุ้นถึงกับตาแดงก่ำขึ้นมาทันที
“เจ้าเด็กบ้า เหลือข้าวไว้บ้าง!”
เมื่อคำพูดจบ ร่างของหงจุ้นก็หายวับไปจากที่เดิม ในชั่วพริบตาเดียวเขาก็ปรากฏตัวอยู่หน้าศิษย์รับใช้ คว้าอาหารที่เหลืออยู่ได้ก่อนอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลที่จะตักข้าวทั้งหมดที่เหลือมาเก็บไว้ในจานตัวเอง
“ท่านเจ้าสำนัก ท่าน...”
“จะอะไรอีกเล่า? ฝีมือเจ้าไม่ถึงขั้นเท่าข้าจะโทษใครได้?”
ศิษย์รับใช้ด้านหลังถึงกับตาเบิกกว้าง พูดไม่ออก ได้แต่ยืนมองหงจุ้นที่ไม่เหลือแม้แต่ข้าวไว้ให้ใคร พลางบ่นในใจ
“ท่านเจ้าสำนัก อย่างน้อยทิ้งน้ำซุปไว้หน่อยก็ยังดี”
แต่หงจุ้นไม่คิดสนใจแม้แต่น้อย แถมยังตักข้าวลงไปในชามอาหารเพื่อซับน้ำซุปจนหมดเกลี้ยง แล้วจึงตักกลับมาใส่ในชามตัวเองอีกครั้ง
เขาไม่เหลืออะไรไว้ให้ใครจริงๆ
แต่หงจุ้นก็ไม่สนใจอะไรเลย ‘ถ้าแย่งไม่ได้ก็ต้องโทษตัวเอง ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว แต่ยังแย่งข้าไม่ทันเอง ก็สมควรอดข้าวแล้วล่ะ’
หงจุ้นถือชามข้าวเต็มเปี่ยมเดินยิ้มร่าออกไป เหลือไว้เพียงศิษย์รับใช้หลายคนที่มองชามข้าวกับถาดอาหารว่างเปล่าด้วยความโมโหในใจ ต่างด่าทอในใจว่า ‘ไอ้แก่ตะกละ!’
ศิษย์รุ่นพี่ไม่ค่อยประหลาดใจนักเพราะเคยชินแล้ว หงจุ้นเป็นคนชอบทำแบบนี้ทุกครั้งที่มาที่โรงครัว แต่สำหรับศิษย์หน้าใหม่ พวกเขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
“ห๊า ข้าวหมดแล้ว?”
“ข้าเพิ่งจะได้ลิ้มรสเองนะ”
“ข้าก็ยังไม่อิ่มเลย!”
พวกศิษย์หน้าใหม่ต่างไม่อยากเชื่อสายตา ศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับหัวเราะเยาะ
“เลิกฝันเถอะ พวกเจ้าช้าแบบนี้ คงได้แต่ยืนหิว ข้าเองก็ยังไม่อิ่มเหมือนกัน”
การกินข้าวที่โรงครัวของภูเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ มันต้องรวดเร็ว แม่นยำและอำมหิต หากไม่เช่นนั้นอย่าหวังได้กินชามที่สองเลย! ฝันไปเถอะ!
เมื่อมื้ออาหารจบลง ท่ามกลางความรวดเร็วและความหิว
แต่คนที่น่าสงสารที่สุดคงเป็นเฉียนโหยวไฉ
ก่อนหน้านี้เขามัวแต่คิดจะทักทายหงจุ้น สุดท้ายก็ไม่ได้กินอะไรสักคำ พอตั้งสติได้ ศิษย์คนอื่นๆ ก็มาตักถาดอาหารของเขาที่ตั้งทิ้งไว้จนสะอาดเอี่ยมแล้ว
เฉียนโหยวไฉได้แต่มองด้วยความตกตะลึง
หลังมื้ออาหารเสร็จ ทุกคนก็ล้างจานและทำความสะอาด ศิษย์หน้าใหม่ก็ถูกศิษย์รุ่นพี่สอนให้รู้กฎเกณฑ์ และเริ่มเลียนแบบการทำความสะอาดอย่างมีระเบียบ
ในที่สุด เฉียนโหยวไฉก็ได้คุยกับหงจุ้นเสียที
หงจุ้นที่ดูอารมณ์ดี ยิ้มให้เฉียนโหยวไฉและกล่าวว่า “เจ้าไม่เลวนี่ โรงครัวที่เจ้าดูแลถือว่าดีมาก”
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก”
“จากนี้ไปเจ้าต้องฟังคำสั่งของศิษย์ฉางชิงไว้นะ มีอะไรต้องช่วยก็ทำให้เต็มที่เข้าใจหรือไม่?”
ตอนแรกเฉียนโหยวไฉรู้สึกพอใจกับคำชม แต่คำพูดต่อมาของหงจุ้นกลับทำให้เขาชะงักไป
ต่อไปต้องฟังคำสั่งเย่ ฉางชิงอย่างนั้นหรือ? ข้าเป็นถึงผู้ดูแลโรงครัว จะต้องไปฟังคำสั่งศิษย์รับใช้ด้วยหรือ?
ใครจะคิดว่าแค่เข้ามาที่โรงครัวครั้งนี้จะทำให้ตัวเองต้องติดพันแบบนี้
แต่ในเมื่อเป็นคำพูดจากหงจุ้นเอง แม้จะรู้สึกขัดใจ เฉียนโหยวไฉก็ทำได้แค่พยักหน้าอย่างเคารพ
“ขอรับ”
“ดี!”
หงจุ้นพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็พูดคุยเล่นกับเย่ ฉางชิงอีกสองสามประโยค ก่อนจะพากลุ่มศิษย์ของเขาเดินจากไป
ระหว่างทางกลับมา ซูเจี้ยนที่ได้ลิ้มรสฝีมือการทำอาหารของเย่ ฉางชิง บ่นกับหลู ยูอูและหลิวซวงไม่หยุด
“ศิษย์พี่รอง ศิษย์น้องหญิง พวกเจ้าไม่จริงใจเลย พวกเราต่างเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันทั้งนั้น มีของอร่อยแบบนี้กลับไม่ชวนข้า?”
หลู ยูอูหัวเราะตาหยีตอบกลับไปด้วยความขบขัน
“แต่ก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่สามไม่ได้บอกข้าหรอกหรือว่า พวกเราผู้ฝึกตนควรมีสมาธิในการฝึกฝนอย่างเดียว ไม่ควรปล่อยตัวให้หลงไหลเพราะสิ่งภายนอก ข้านึกว่าศิษย์พี่สามไม่สนใจเรื่องพวกนี้เสียอีก”
“แน่นอนสิ แต่ฝีมือการทำอาหารของศิษย์น้องฉางชิงนั้นต่างออกไป นี่เปรียบเสมือนยาบำรุงที่มีประโยชน์ต่อการฝึกฝน”
ซูเจี้ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง โดยไม่แสดงอาการเขินอายแต่อย่างใด
จนถึงตอนนี้ ซูเจี้ยนยังคงติดใจรสชาติอาหารที่เขาเพิ่งกินไปอยู่เลย
และไม่เพียงแค่รสชาติเท่านั้น อาหารที่เย่ ฉางชิงทำขึ้นยังมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนอีกด้วย ในจุดนี้ซูเจี้ยนไม่ได้พูดเกินจริง
หมูผัดสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ส่วนเต้าหู้ผัดพริกก็ช่วยเสริมสร้างและขัดเกลาร่างกาย เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ฝึกตนในขั้นตอนการหลอมร่างกาย
เมื่อกลับมาถึงลานเล็กๆ ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป เหลือแต่เฉียนโหยวไฉที่ไม่ได้กินอะไรเลย ทำอะไรไม่ได้จึงต้องเดินกลับไปอย่างหงุดหงิดและวางแผนว่าจะกลับมาใหม่วันพรุ่งนี้
เหลือเพียงเขากับเสี่ยวไป๋เท่านั้น เย่ ฉางชิงก็ฝึกฝนวิชาของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลงแช่ในน้ำสมุนไพรก่อนจะเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ
ชีวิตของเขาดำเนินเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและเย่ ฉางชิงก็ชอบชีวิตแบบนี้มากกว่าเต็มไปด้วยความท้าทายเสียอีก เขาชอบความสงบสุข
ทั้งคืนผ่านไปโดยไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น จนกระทั่งเช้าวันถัดมา บริเวณเขตศิษย์รับใช้ก็เห็นศิษย์หลายร้อยคนตื่นแต่เช้ากันมากมาย จำนวนคนเพิ่มขึ้นกว่าวันก่อนๆ ถึงเท่าตัว
ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ พอทุกคนตื่นล้างหน้าเสร็จ ต่างก็วิ่งตรงไปยังโรงครัวโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ภาพนี้ดูแปลกมาก ไม่มีใครพูดอะไรเลย แค่ก้มหน้าแล้ววิ่งอย่างเดียว
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
“ไม่รู้สิ ทักไปก็ไม่ตอบ เอาแต่วิ่งกันอย่างเดียว”
“ละเมอหรือไง?”
“เจ้าจะเคยเห็นคนละเมอพร้อมกันเป็นร้อยคนหรือ? แถมยังละเมอตอนฟ้าสาง?”
แม้จะดูแปลก แต่ศิษย์เหล่านั้นไม่สนใจสิ่งใดเลย ในหัวคิดถึงแต่บะหมี่ผัดซอสเพียงอย่างเดียว
เหมือนทุกครั้ง เมื่อประตูโรงครัวเปิดออก ศิษย์มากมายก็มารออยู่ก่อนแล้ว
เช่นเคย พวกเขาแย่งกันกินอาหารเช้าอย่างโกลาหล แต่กระแสตอบรับที่เย่ ฉางชิงได้รับในวันนี้ทำให้การบ่มเพาะพลังของเขาเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดอีกครั้ง
【ผู้ใช้: เย่ ฉางชิง】
【ตำแหน่ง: ศิษย์รับใช้ของนิกายเต๋าอี้】
【ระดับการฝึกตน: ขั้นลมปราณขั้นสูง (10/1000)】
【ชื่อเสียง: ยังไม่มีชื่อเสียง】
【พรสวรรค์: ระดับกลางขั้นต่ำ (260/1000)】
【รากฐาน: ระดับกลางขั้นต่ำ (320/1000)】
【ปัญญา: ระดับสูงขั้นกลาง (430/100000)】
ในโรงครัวระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นหลอมร่างขั้นสูงในที่สุด และขั้นต่อไปก็คือการทะลวงเข้าสู่ระดับขั้นลมปราณ
แต่การจะบรรลุขั้นลมปราณได้ จำเป็นต้องเริ่มฝึกฝนวิชาอย่างจริงจัง เพื่อที่จะสามารถสัมผัสพลังลมปราณฟ้าดินได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียงการฝึกฝนวิชาเท่านั้นที่จะสามารถใช้พลังลมปราณแห่งฟ้าดินมาเติมเต็มเส้นลมปราณภายในร่างกาย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทะลวงเข้าสู่ขั้นชงม่าย (การเปิดเส้นลมปราณ)
“ตามกฎของนิกายเต๋าอี้ ศิษย์รับใช้ ที่มีระดับพลังถึงขั้นหลอมร่างขั้นสูงแล้ว สามารถไปยังหอตำราเพื่อรับวิชาฝึกเบื้องต้นได้”
เย่ ฉางชิงคิดว่าวันนี้หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เขาจะหาเวลาว่างไปหอตำราวเพื่อรับวิชาเบื้องต้นมาใช้ฝึกฝน
แต่ในขณะนั้นเอง หงจุ้นที่ยังไม่ไปไหนก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเลือดลมในร่างของเย่ ฉางชิง ซึ่งแสดงถึงการบรรลุระดับใหม่ เขาพูดด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าหนุ่มฉางชิง เจ้าทะลวงระดับได้แล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่ ฉางชิงยิ้มแล้วตอบอย่างถ่อมตัว
“โชคดีที่ทะลวงระดับได้ครับ”