บทที่ 20 ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์และข้าราชการ
บทที่ 20 ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์และข้าราชการ
การที่ซ่งซือเป็นลมจนหมดสติไปหนึ่งวันหนึ่งคืนในระหว่างที่ได้รับตำแหน่งขุนนางผู้สูงศักดิ์เป็นเรื่องที่กระจายไปทั่วเมืองหลวง แม้แต่พวกศัตรูทางการเมืองของพรรคซ่งก็พากันหวังว่าเธอจะจากไปเสียโดยเร็ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นซ่งจื้อหยวนลูกชายของเธอ จะต้องถูกบังคับให้ลาออกเพื่อไว้ทุกข์
แต่โชคไม่เป็นใจ
ข่าวการฟื้นขึ้นมาของซ่งซือก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วโดยคนที่คอยเฝ้ารอข่าวอยู่หน้าตำหนักของตระกูลซ่ง
ในช่วงเช้าหลังการประชุมราชการ มีขุนนางหลายคนเข้ามาแสดงความยินดีกับซ่งจื้อหยวน และบางคนก็เริ่มคิดว่าจะส่งของขวัญอะไรไปแสดงความยินดีดี
ฝานเซียงขุนนางฝ่ายซ้าย เดินเข้ามาพร้อมยกมือขึ้นอย่างสุภาพและกล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ของท่านปลอดภัยดี ช่างน่ายินดียิ่งนัก ท่านซ่ง ตอนนี้ท่านคงจะหลับสบายและกินอิ่มเสียที แม้แต่ข้าที่ยังเป็นห่วงมาตลอดก็รู้สึกโล่งใจเสียจริง”
*แม่ของเขายังไม่ตายเลย จะไม่โล่งใจได้อย่างไร* เขาคิดในใจ
ซ่งจื้อหยวนตอบกลับด้วยการยิ้มอ่อนๆ “ท่านฝาน ขอบคุณท่านที่มีน้ำใจ ข้าได้ยินว่าท่านแม่ของท่านก็ล้มป่วยเพราะเป็นไข้หวัด ท่านแม่ของท่านอายุมากกว่าท่านแม่ของข้าเล็กน้อย อากาศในเดือนเมษายนก็เปลี่ยนแปลงบ่อย ร่างกายผู้สูงอายุต้องได้รับการดูแลอย่างดี”
*แม่ของข้าป่วย แต่แม่ของเจ้าก็ดีหรือ? แม่เจ้าก็อายุมากกว่าแม่ข้า แถมตัวเจ้าก็อายุมากกว่าอีกด้วย ควรเป็นห่วงตัวเองก่อนดีกว่า*
ฝานเซียงยิ้มเกร็งเล็กน้อย แต่ในใจด่าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า *คนอายุสี่สิบยังเย่อหยิ่งเสียจริง*
ไม่ไกลจากนั้นโจวกงกงขันทีผู้สนิทของจักรพรรดิเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม
“ขอคารวะท่านซ่งเซียง ท่านฝานเซียง”
เขาเป็นขันทีผู้ใกล้ชิดกับจักรพรรดิ แม้แต่ซ่งจื้อหยวนยังต้องเคารพและโค้งคำนับตอบกลับอย่างสุภาพ
“ท่านซ่งเซียง จักรพรรดิมีรับสั่งให้ท่านไปที่ห้องทรงพระอักษรเพื่อหารือเรื่องราชการ” โจวกงกงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
ซ่งจื้อหยวนตอบรับอย่างเร่งด่วน ก่อนจะกล่าวลาและเดินจากไปพร้อมกับโจวกงกง คำพูดเกี่ยวกับท่านผู้เฒ่าก็ลอยตามลมไปถึงหูของฝานเซียง
รอยยิ้มบนใบหน้าของฝานเซียงหุบลงเล็กน้อย เขาพ่นลมหายใจเบาๆ
หวังต้าเหรินขุนนางแห่งกรมโยธาเดินเข้ามาหาฝานเซียงและมองดูเงาของซ่งจื้อหยวนที่ค่อยๆ ห่างออกไป เขาพูดเบาๆ ว่า “ท่านซ่งช่างภาคภูมิใจจริงๆ”
ฝานเซียงเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อยาวและตอบเบาๆ “คนหนุ่มที่ได้ตำแหน่งสูงย่อมต้องหยิ่งผยองเป็นธรรมดา”
“เสียดายจริงๆ ข้านึกว่า...” หวังต้าเหรินหุบปากทันทีเมื่อเห็นฝานเซียงมองเขาด้วยสายตาดุดัน เขามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง แล้วจึงยิ้มแหยๆ
ฝานเซียงพูดว่า “กลับไปพูดที่บ้านเถอะ”
“ขอรับ”
...
ที่ห้องทรงพระอักษร
ซ่งจื้อหยวนถวายคำนับต่อจักรพรรดิฉู่ผู้ทรงอยู่ในฉลองพระองค์สีเหลืองอ่อน เมื่อได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้น เขาจึงยืนประจำที่
‘’หยุ่นจือท่านแม่ของท่านอาการดีขึ้นแล้วหรือ?” ฉู่ตี้ถามพลางเรียกชื่อรองของซ่งจื้อหยวน
ซ่งจื้อหยวนยิ้มตอบ “ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท แม่ของข้าฟื้นขึ้นมาแล้วและมีสติครบถ้วน แต่ยังต้องพักฟื้นอีกสักระยะ”
แม้ว่าฉู่ตี้จะได้ทราบเรื่องนี้จากหมอหลู่แล้ว แต่ก็อยากฟังจากซ่งจื้อหยวนอีกครั้งเพื่อความสบายใจ เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “ก็ดี ข้าเกือบจะคิดว่าข้าไปทำลายบุญของท่านแม่ของท่านเสียแล้ว”
ซ่งจื้อหยวนรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยและรีบตอบ “ฝ่าบาททรงยกย่องพวกเรามากเกินไปแล้ว พระองค์ทรงมีพระชนม์มายุยาวนาน เราเป็นเพียงประชาชนที่ได้พึ่งพาพระมหากรุณาธิคุณ จะมีใครบังอาจพูดเรื่องที่ฝ่าบาทไปทำลายบุญใครได้?”
“ที่นี่มีแค่เราสองคน เจ้าก็ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์มากนัก” ฉู่ตี้พูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าเรียกแม่ของเจ้าเป็น 'อา' เจ้าน่าจะเข้าใจ”
ซ่งจื้อหยวนถอนหายใจอย่างจนใจและตอบว่า “ฝ่าบาท ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับข้าราชการนั้นแตกต่างกัน ไม่ว่าข้าหรือแม่ของข้า ต่างก็ไม่อยากให้ใครมีโอกาสมาว่าฝ่าบาทแม้แต่นิดเดียว การที่แม่ของข้าหมดสติไปครั้งนี้ สาเหตุหนึ่งคือเพราะความดีใจมากเกินไป อีกสาเหตุ...” เขาหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะร่างกายของแม่ข้าที่อ่อนแอมานาน”
เมื่อฉู่ตี้ได้ยินเช่นนั้น ความทรงจำก็ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ทุกข์ยากที่สุดในชีวิตของเขา