บทที่ 16 ปีศาจเลือดโบราณ
นกกระเรียนสองตัวยืนอยู่ตรงหน้า รูปร่างของพวกมันใหญ่มาก ตัวใหญ่สูงกว่าห้าเมตร และตัวเล็กก็สูงราวสามเมตร
บนหัวของพวกมันมีจุดสีแดงและหัวกับแผงคอยังมีสีขาวบริสุทธิ์ ขนบนปีกและลำตัวมีลายสีดำ
เย่ฉางชิงรู้ทันทีว่านี่คือนกกระเรียนระดับสูงที่เลี้ยงโดยสำนักเต๋าอี้ นกกระเรียนเป็นพาหนะที่ยอดเยี่ยมสำหรับการบิน ตามปกติแล้วศิษย์ธรรมดาจะใช้ม้าเกล็ดดำเป็นพาหนะ
และมีเพียงศิษย์ระดับสูงหรือผู้ใหญ่ของสำนักเท่านั้นที่มีสิทธิ์นั่งบนหลังนกกระเรียน
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองตัวนี้เป็นนกกระเรียนที่หงจุ้นเลี้ยงเอง
เย่ฉางชิงมองหงจุ้นด้วยความไม่เชื่อ "ท่านผู้นำ นี่คือ..."
"ตัวเล็กนี้เป็นของเจ้าละ ตั้งแต่นี้ไปจะได้สะดวกขึ้นเมื่อออกไปหาซื้อวัตถุดิบไง"
หงจุ้นไม่สนใจอะไรเลย เขายังช่วยเย่ฉางชิงทำสัญญาครอบครองกับนกกระเรียนตัวเล็กด้วยตัวเอง
หลังจากทำสัญญาเสร็จ เย่ฉางชิงรู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่แปลกประหลาดระหว่างเขากับนกกระเรียนตัวเล็ก เขาไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นได้
นกกระเรียนเป็นพาหนะที่ยอดเยี่ยม เทียบได้กับเครื่องบินในชีวิตที่แล้วของเขา ใครจะไม่ตื่นเต้นกับสิ่งนี้? และยิ่งไปกว่านั้น นกกระเรียนตัวเล็กนี้ยังอายุน้อย หากถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจะได้ผูกพันกันลึกซึ้งในอนาคต
หลังจากทำสัญญาเสร็จ นกกระเรียนตัวเล็กก็ยิ้มและโน้มหัวมาแตะเย่ฉางชิง มันไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์เหมือน่ัสัตว์อสูรตัวอื่น แต่กลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของหญ้าแห้ง กลิ่นนี้ทำให้รู้สึกดี
เย่ฉางชิงลูบมันอย่างอ่อนโยน และนกกระเรียนตัวเล็กก็ส่งเสียงครางเบาๆ ด้วยความพอใจ
"ตั้งแต่นี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวไป๋"
เย่ฉางชิงจมอยู่ในความสุขจากการได้เสี่ยวไป๋ เย่ฉางชิงถึงกับตั้งชื่อมันแล้วโดยไม่สนใจความอิจฉาในดวงตาของหลูยูอูและหลิวชวง
"ฉางชิง เราจะไปก่อน แล้วจะกลับมาในตอนเย็น"
หงจุ้นไม่อยู่นาน หลังจากช่วยเย่ฉางชิงมอบเสี่ยวไป๋ให้แล้ว เขาก็พาหลูยูอูและหลิวชวงออกไป เย่ฉางชิงพาพวกเขาไปที่ประตู
และหลังจากบอกลา พวกเขาก็ขึ้นนกกระเรียนตัวใหญ่ซึ่งเป็นพ่อของเสี่ยวไป๋แล้ว มันก็พยักหน้าก่อนจะบินขึ้นไปในท้องฟ้าและหายไปอย่างรวดเร็ว หงจุ้นเคยบอกว่า นกกระเรียนตัวใหญ่ตัวนี้คือพ่อของเสี่ยวไป๋
"อาจารย์ ท่านลำเอียง"
ระหว่างทาง หลูยูอูพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น
"ทำไมล่ะ? เจ้าก็มีพาหนะของตัวเองแล้วไม่ใช่หรือ?"
"มันไม่เหมือนกันเลย"
เสี่ยวไป๋ไม่ใช่นกกระเรียนธรรมดา มันเป็นนกกระเรียนหัวแดงระดับสูงจากสำนักเต๋าอี้ ซึ่งมีสายเลือดของสัตว์อสูรในสำนักเต๋าอี้ นกกระเรียนแบ่งออกเป็นสามระดับ: นกกระเรียนธรรมดา, นกกระเรียนหัวดำ, และนกกระเรียนหัวแดง
นกกระเรียนธรรมดาเป็นระดับที่ธรรมดาที่สุด เมื่อโตเต็มวัยจะมีพลังแค่ระดับลมปราณเท่านั้น นกกระเรียนหัวดำแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย แต่ยังเป็นระดับหลอมกระดูกเท่านั้น บางตัวอาจจะเกินระดับหลอมกระดูกไปได้
แต่ นกกระเรียนหัวแดงนั้นอยู่ในระดับที่ต่างออกไป โดยการฝึกฝนอย่างดี มันอาจจะทัดเทียมกับท่านผู้นำของแต่ละภูเขา
ในสำนักเต๋าอี้มีนกกระเรียนหัวแดงไม่เกินสิบตัว นอกจากผู้นำสำนักและผู้เฒ่าผู้ยิ่งใหญ่แล้ว ในสามสิบห้าภูเขาอื่นๆ ก็มีเพียงหงจุ้นเท่านั้นที่มีนกกระเรียนหัวแดง และเสี่ยวไป๋ของเย่ฉางชิงก็เป็นลูกของนกกระเรียนของหงจุ้นและนกกระเรียนของผู้นำสำนัก จะเปรียบเทียบกันได้ยังไง?
พาหนะของหลูยูอูก็แค่เป็นนกกระเรียนหัวดำเท่านั้น ทำให้เธอรู้สึกอิจฉามาก
"เจ้าคิดว่าจะสามารถไม่กินอาหารของฉางชิงได้เหรอ?"
"แน่นอนว่า อาจจะไม่ได้"
"ถ้างั้นก็พอแล้ว ฉางชิงต้องออกไปทำธุระบ่อยครั้ง และด้วยพลังฝีมือของเขาที่ต่ำแบบนี้ การมีเสี่ยวไป๋คอยปกป้องจะปลอดภัยกว่า หากเจ้าคิดจะเสี่ยงอดกินอาหารของฉางชิงในอนาคตอีกหรือ?"
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลูยูอูก็ชะงักไปเล็กน้อย เมื่อคิดถึงเย่ฉางชิงอาจเกิดอันตราย ใจของเธอก็รู้สึกหนักหน่วง
เธอเคยชินกับฝีมือการทำอาหารของเย่ฉางชิงแล้ว หากวันหนึ่งไม่สามารถทานอาหารที่เขาทำได้อีก หลูยูอูก็ไม่อยากจะคิดต่อไป
เธอพยักหน้าเห็นด้วยทันที "อาจารย์คิดอ่านรอบคอบจริงๆ"
เธอไม่รู้ถึงความแตกต่างของนกกระเรียน เพราะด้วยพลังของเย่ฉางชิงในตอนนี้ ยังไม่สามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้
หลังจากพักผ่อนประมาณครึ่งชั่วโมง เย่ฉางชิงก็เตรียมตัวออกเดินทาง
เสี่ยวไป๋ก็มีความฉลาด มันยอมก้มตัวลงให้เย่ฉางชิงขึ้นไป
แต่เพียงแค่ปีกของมันกระพือ เย่ฉางชิงก็เกือบจะลื่นตกลงไป เขารีบคว้าคอของเสี่ยวไป๋ไว้และตัวเขาเองก็นั่งอยู่บนหลังของมัน
ก่อนหน้านี้ เขาเห็นเหล่าผู้อาวุโสของสำนักขี่นกกระเรียน พวกเขาโดดเด่นมาก แต่ละคนดูเหมือนจะยืนมั่นคงบนหลังนกกระเรียน
แต่ตอนนี้เย่ฉางชิงเพิ่งจะถึงระดับหลอมกาย ยังไม่มีพลังปราณในร่าง เขาจึงทำได้เพียงนั่งด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยงดงาม
"เสี่ยวไป๋ ช้าหน่อย ข้าหายใจไม่ทันแล้ว"
ในท้องฟ้า เสี่ยวไป๋เคลื่อนที่เร็วเกินไป เย่ฉางชิงจึงต้องขอให้มันชะลอความเร็ว
ระดับพลังบำเพ็ญของตนยังไม่พอ ไม่มีพลังปราณคุ้มครองกาย ไม่สามารถทนรับความเร็วของเสี่ยวไป๋ได้เต็มที่
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขี่นกกระเรียนบินในท้องฟ้า ความรู้สึกนี้แตกต่างจากการนั่งเครื่องบินในชีวิตที่แล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่ฉางชิงมองเห็นสำนักเต๋าอี้จากที่สูง
สามสิบหกภูเขาตั้งตระหง่าน ภูเขาทั้งหมดสร้างเป็นแผนผังธรรมชาติ ลำธารไหลเวียน ต้นไม้เขียวขจี และหมอกขาวปกคลุมระหว่างภูเขา สถานที่นี้เหมือนกับสถานที่ในฝันของผู้คน
นอกไปจากนี้ ยังมีหมู่บ้านหลายร้อยแห่ง ทุ่งข้าวกว้างใหญ่ มีควันไฟลอยขึ้นมา เป็นภาพที่สันติและงดงาม
ทิวทัศน์ที่สวยงามทำให้เย่ฉางชิงรู้สึกดีใจ นี่คือการเป็นผู้บำเพ็ญที่สามารถท่องเที่ยวดูโลก
แม้ว่าเย่ฉางชิงยังห่างไกลจากขั้นตอนนี้ แต่เขาก็รู้สึกมั่นใจ
เขาบินไปในทิศทางของเมืองอี้หยวน แม้จะชะลอความเร็ว แต่ยังคงเร็วกว่าเดินทางบนบก คาดว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็จะถึง
แต่หลังจากที่เย่ฉางชิงบินไปหลายร้อยลี้จู่ๆ ก็มีคลื่นพลังงานจากการต่อสู้และเสียงคำรามดังขึ้น
"ปีศาจเลือดโบราณ เจ้าหนีไม่รอดหรอก"
"ยอมแพ้ซะเถอะ เจ้าปีศาจ"
เมื่อหันไปมองเขาเห็นตรงขอบฟ้า มีศิษย์จากสำนักเต๋าอี้หลายคนกำลังไล่ตามชายในชุดคลุมดำที่มีผมสีแดงเลือดอย่างเร่งรีบ
"เกิดการต่อสู้อะไรกันเนี้ย"
เห็นเช่นนี้เย่ฉางชิงรู้สึกตกใจ ทันทีที่ออกจากบ้านก็เจอปีศาจซะแล้ว
จอมยุทธ์ที่มีวิชาเหาะเหินสำหรับเย่ฉางชิงตอนนี้ เป็นศัตรูที่ไม่สามารถต่อกรได้
แต่ในขณะนั้น ปีศาจเลือดโบราณกลับพุ่งตรงมาที่เขา ขณะที่ศิษย์ของสำนักเต๋าอี้เห็นเสี่ยวไป๋แล้ว สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นดีใจ และพวกเขาก็ตื่นเต้นทันที
"นกกระเรียนหัวแดง?"
"ท่านอาวุโสโปรดช่วยจับปีศาจตนนี้"
"ปีศาจเลือดโบราณ วันนี้เจ้าหาทางหนีไม่ได้"
ศิษย์เหล่านี้เต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ปีศาจเลือดโบราณมองไปที่เสี่ยวไป๋ด้วยสายตาเย็นชา
ช่วงเวลานี้เขาถูกไล่ล่ามาโดยตลอด สำนักเต๋าอี้ไม่ปล่อยให้เขาหนีไปไหน ตอนนี้ถึงขั้นมีอาวุโสขี่นกกระเรียนมาขวางทางเขา ทำให้เขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าและพูดว่า
"หาที่ตาย!"
พูดจบ เขาก็ยกมือออกไปเป็นคลื่นการโจมตีพลังสีเลือดจากฟ้าลงมา
เมื่อเห็นฉากนี้ เย่ฉางชิงรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในฝัน ออกมาทำธุระวันแรกก็เจอปีศาจ
แถมเจ้าปีศาจยังจะโจมตีเขาอีก มันไม่รู้จักคำว่า 'โดนลากไปเอี่ยว' อีกหรอ?
เขากำลังคิดว่านี่อาจเป็นจุดจบของเขาหรือไม่?